เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคมยังคงขยายตัวได้ดี การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนภาคเอกชน ทั้งการลงทุนในการก่อสร้างและเครื่องจักรขยายตัวในอัตราเร่ง ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูงทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.4 ในเดือนธันวาคม ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อเร่งส่งมอบตามคำสั่งซื้อในงานมอเตอร์โชว์ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนธันวาคมอยู่ที่ 110.9 จุด
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 245.6 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นผลจากการเร่งทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก่อนมาตรการลดหย่อนภาษีจะสิ้นสุด ณ สิ้นปี 2546 ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ต่อปี
- การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนธันวาคมขยายตัวที่ร้อยละ 72.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำที่ขยายตัวถึงร้อยละ 76.8 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ จำนวน 32,504 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.7 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากหลายหน่วยงานสามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ในเดือนธันวาคม มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวถึงร้อยละ 31.2 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบินมีมูลค่า 252 ล้านเหรียญ สรอ. และรถไฟฟ้าใต้ดินจำนวน 20 ล้านเหรียญ สรอ. ดังนั้น หากหักการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว มูลค่าการนำเข้าจะอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านเหรียญ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 39.3 ต่อปี จากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวสูงกว่ามูลค่าการส่งออกมาก ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนธันวาคมขาดดุล 59.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 16 เดือน อย่างไรก็ตาม หากหักรายการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดินจะทำให้ดุลการค้าเดือนธันวาคมเกินดุล 212.3 ล้านเหรียญ สรอ. ทั้งนี้ ตลอดปี 2546 มูลค่าการส่งออกทั้งสิ้นเท่ากับ 80.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าปี 2546 อยู่ที่ 75.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.7 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าปี 2546 เกินดุลทั้งสิ้น 5.2 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 7.4 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 67.0 ในเดือนพฤศจิกายน
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม เทียบกับเฉลี่ย 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤศจิกายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,085 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 256,876 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 24.5 เนื่องจากมีรายได้จากการขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์ จำนวน 25,075 ล้านบาท ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 301,075 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 22.8 เนื่องจากมีการเบิกจ่ายรายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 32,504 ล้านบาทให้กับข้าราชการบำนาญ ส่งผลให้ดุลเงิน งบประมาณขาดดุล 44,199 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,217 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 82,415 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 เท่ากับ 2,892.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.99 ของ GDP ลดลงจากเดือนกันยายน 25.3 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.43 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.02 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนธันวาคม 2546
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในระดับสูง โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 20.4 และ 21.8 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้งปี2546 ขยายตัวร้อยละ 14.3 ต่อปี 2) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนในเดือนธันวาคมกลับมาขยายตัวสูงอีกครั้งที่ร้อยละ 21.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อเร่งส่งมอบตามคำสั่งซื้อในงานมอเตอร์โชว์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 ต่อปี และทั้งปี 2546 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ต่อปี 3) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนธันวาคมทำสถิติสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 110.9 จุด สูงกว่า 100 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ระดับที่แข็งแกร่งตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 108.0 จุด ในไตรมาสที่ 4 และ97.4 จุดในปี 2546 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 17.6 และ 9.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูง ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร 1) รายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 245.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเร่งทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่มาตรการลดหย่อนทางภาษีจะสิ้นสุดลง ณ สิ้นปี 2546 ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 129.0 ต่อปี และทั้งปี 2546 ขยายตัวร้อยละ 68.7 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยในเดือนพฤศจิกายนมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 และ 20.1 ต่อปี ตามลำดับ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 51.1 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับ 50.0 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนธันวาคมอยู่ที่ 24.3 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 26.1 ต่อปี และในไตรมาสที่ 4 หดตัวร้อยละ 22.6 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 2546 มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวร้อยละ 20.6 ต่อปี 5) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 3.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนธันวาคมอยู่ที่ 134.5 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 72.8 ต่อปี ประกอบด้วยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.8 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากมีการเบิกจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนถึง 32,504 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากหลายหน่วยงานสามารถเร่งการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 รายจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 23.5 ต่อปี และรายลงทุนหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี สำหรับทั้งปี 2546 รายจ่ายงบประมาณขยายตัวร้อยละ 6.3 ต่อปี โดยเป็นรายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 10.3 ต่อปี และรายจ่ายลงทุนหดตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 31.2 ต่อปี โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรกล ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 มูลค่าการส่งออกเบื้องต้นอยู่ที่ 21.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 ต่อปี และทั้งปี 2546 อยู่ที่ 80.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี 2) การนำเข้าขยายตัวในระดับสูง โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบินจำนวน 252 ล้านเหรียญ สรอ. และรถไฟฟ้าใต้ดินจำนวน 20 ล้านเหรียญ สรอ. หากหักการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดิน มูลค่าการนำเข้าเดือนธันวาคมจะอยู่ที่ 7.1 พันล้านเหรียญ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 39.3 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อขยายการผลิตต่อไป โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่ไตรมาสที่ 4 มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 20.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.7 ต่อปี และทั้งปี 2546 อยู่ที่ 75.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 5.4 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนธันวาคมขาดดุล 59.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 16 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดิน ดุลการค้ายังคงเกินดุลทั้งสิ้น 212.3 ล้านเหรียญ สรอ. ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 ดุลการค้าเกินดุล 990.9 ล้านดอลลาร์ และทั้งปี 2546 เกินดุลทั้งสิ้น 5.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 7.4 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี ขณะเดียวกัน อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 67.0
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 และทั้งปี 2546 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 2) อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม เทียบกับเฉลี่ย 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน และเฉลี่ยทั้งปี 2546 อยู่ที่ 41.53 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ 43.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในระดับสูง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤศจิกายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,085 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเฉพาะการเกินดุลในดุลบริการ จากรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การจ่ายดอกเบี้ยและการส่งกลับกำไรและเงินปันผลมีไม่มากนัก 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2546 คิดเป็น 6.3 เดือนของมูลค่านำเข้าหรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนธันวาคม 2546 และช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 116,648 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 46,630 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 62.5) เนื่องจากมีรายได้จากการขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์จำนวน 25,075 ล้านบาท และมีรายได้สุทธิรวม 108,417 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 45,198 ล้านบาท หรือร้อยละ 71.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 65.8)
ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม - ธันวาคม 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 281,779 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 72,636 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 25.4) โดยมีรายได้สุทธิ 257,480 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 71,851 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 27.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนธันวาคม มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 131,577 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 83.3 เนื่องจากมีการเบิกจ่ายรายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 32,504 ล้านบาทให้กับข้าราชการบำนาญ) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 118,810 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 12,767 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46 - ธ.ค. 46) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น301,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22.8 (ไม่รวมรายจ่ายจากเงินคงคลังจำนวน 25,075 ล้านบาท) โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 266,607 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.93 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 34,468 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 254,715 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 30.6 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 11,892 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 6.1 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 106,017 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 131,577 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 25,560 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 326 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดขาดดุล 25,234 ล้านบาทสำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 256,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 50,558 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.5 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 301,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 55,847 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.8 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 44,199 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,217 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 82,415 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (1)
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 85,531 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 133,879 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 48,348 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 639 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 6,787 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 42,201 ล้านบาท
ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 237,869 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 305,550 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 67,681 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 1,779 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 16,831 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 52,630 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
3.3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 183,640 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,645 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,193,485 ล้านบาท (รวมงบประมาณกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุล 129,840 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 53,800 ล้านบาท
3.3.2 ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 137,234 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุล 10,646 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 เท่ากับ 2,892.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.99 ของ GDP ลดลงจากเดือนกันยายน 25.3 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.43 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,634.1 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 859.8 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 398.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้คงค้างที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.02 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 27.42 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 15.0 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 6.3 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลงสุทธิ 28.6 พันล้านบาท
หมายเหตุ: (1) ดุลตามระบบ สศค. เป็นการแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่สอดคล้องกับระบบบัญชีประชาชาติ (SNA) และครอบคลุมข้อมูลกว้างกว่าดุลตามระบบกระแสเงินสด โดยมีข้อแตกต่าง ๆที่สำคัญ ตือ 1) รายได้ตามระบบ สศค. จะไม่นับรวมรายได้จากส่วนเกินพันธบัตร รายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สิน ในขณะเดียวกัน รายจ่ายตามระบบ สศค. จะไม่นับรวมรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ 2) ดุลตามระบบ สศค. ได้ครอบคลุมถึงข้อมูลการใช้จ่ายเงินกู้ต่างประเทศด้วย 3) ดุลตามระบบ สศค. ได้กระจายดุลนอกงบประมาณให้เป็นรายได้และรายจ่าย ดังนั้น ดุลตามระบบ สศค. จึงไม่มีรายการดุลนอกงบประมาณ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 1/2547 26 มกราคม 2547--
-นห-
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.4 ในเดือนธันวาคม ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อเร่งส่งมอบตามคำสั่งซื้อในงานมอเตอร์โชว์ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนธันวาคมอยู่ที่ 110.9 จุด
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 245.6 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นผลจากการเร่งทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก่อนมาตรการลดหย่อนภาษีจะสิ้นสุด ณ สิ้นปี 2546 ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ต่อปี
- การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนธันวาคมขยายตัวที่ร้อยละ 72.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำที่ขยายตัวถึงร้อยละ 76.8 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ จำนวน 32,504 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.7 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากหลายหน่วยงานสามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ในเดือนธันวาคม มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวถึงร้อยละ 31.2 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบินมีมูลค่า 252 ล้านเหรียญ สรอ. และรถไฟฟ้าใต้ดินจำนวน 20 ล้านเหรียญ สรอ. ดังนั้น หากหักการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว มูลค่าการนำเข้าจะอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านเหรียญ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 39.3 ต่อปี จากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวสูงกว่ามูลค่าการส่งออกมาก ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนธันวาคมขาดดุล 59.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 16 เดือน อย่างไรก็ตาม หากหักรายการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดินจะทำให้ดุลการค้าเดือนธันวาคมเกินดุล 212.3 ล้านเหรียญ สรอ. ทั้งนี้ ตลอดปี 2546 มูลค่าการส่งออกทั้งสิ้นเท่ากับ 80.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าปี 2546 อยู่ที่ 75.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.7 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าปี 2546 เกินดุลทั้งสิ้น 5.2 พันล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 7.4 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 67.0 ในเดือนพฤศจิกายน
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม เทียบกับเฉลี่ย 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤศจิกายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,085 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 256,876 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 24.5 เนื่องจากมีรายได้จากการขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์ จำนวน 25,075 ล้านบาท ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 301,075 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 22.8 เนื่องจากมีการเบิกจ่ายรายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 32,504 ล้านบาทให้กับข้าราชการบำนาญ ส่งผลให้ดุลเงิน งบประมาณขาดดุล 44,199 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,217 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 82,415 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 เท่ากับ 2,892.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.99 ของ GDP ลดลงจากเดือนกันยายน 25.3 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.43 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.02 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนธันวาคม 2546
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในระดับสูง โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 20.4 และ 21.8 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้งปี2546 ขยายตัวร้อยละ 14.3 ต่อปี 2) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนในเดือนธันวาคมกลับมาขยายตัวสูงอีกครั้งที่ร้อยละ 21.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อเร่งส่งมอบตามคำสั่งซื้อในงานมอเตอร์โชว์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 ต่อปี และทั้งปี 2546 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ต่อปี 3) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนธันวาคมทำสถิติสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 110.9 จุด สูงกว่า 100 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ระดับที่แข็งแกร่งตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 108.0 จุด ในไตรมาสที่ 4 และ97.4 จุดในปี 2546 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนพฤศจิกายนขยายตัวสูงที่ร้อยละ 17.6 และ 9.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูง ทั้งการลงทุนในภาคก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร 1) รายได้จากภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 245.6 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเร่งทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่มาตรการลดหย่อนทางภาษีจะสิ้นสุดลง ณ สิ้นปี 2546 ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 129.0 ต่อปี และทั้งปี 2546 ขยายตัวร้อยละ 68.7 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่งติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยในเดือนพฤศจิกายนมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 และ 20.1 ต่อปี ตามลำดับ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 51.1 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับ 50.0 จุด ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนธันวาคมอยู่ที่ 24.3 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 26.1 ต่อปี และในไตรมาสที่ 4 หดตัวร้อยละ 22.6 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 2546 มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวร้อยละ 20.6 ต่อปี 5) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 3.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนธันวาคมอยู่ที่ 134.5 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 72.8 ต่อปี ประกอบด้วยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.8 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากมีการเบิกจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนถึง 32,504 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากหลายหน่วยงานสามารถเร่งการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 รายจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 23.5 ต่อปี และรายลงทุนหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี สำหรับทั้งปี 2546 รายจ่ายงบประมาณขยายตัวร้อยละ 6.3 ต่อปี โดยเป็นรายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 10.3 ต่อปี และรายจ่ายลงทุนหดตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 31.2 ต่อปี โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรกล ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 มูลค่าการส่งออกเบื้องต้นอยู่ที่ 21.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 ต่อปี และทั้งปี 2546 อยู่ที่ 80.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี 2) การนำเข้าขยายตัวในระดับสูง โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบินจำนวน 252 ล้านเหรียญ สรอ. และรถไฟฟ้าใต้ดินจำนวน 20 ล้านเหรียญ สรอ. หากหักการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดิน มูลค่าการนำเข้าเดือนธันวาคมจะอยู่ที่ 7.1 พันล้านเหรียญ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 39.3 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อขยายการผลิตต่อไป โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่ไตรมาสที่ 4 มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 20.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.7 ต่อปี และทั้งปี 2546 อยู่ที่ 75.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 5.4 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนธันวาคมขาดดุล 59.7 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 16 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมการนำเข้าเครื่องบินและรถไฟฟ้าใต้ดิน ดุลการค้ายังคงเกินดุลทั้งสิ้น 212.3 ล้านเหรียญ สรอ. ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 ดุลการค้าเกินดุล 990.9 ล้านดอลลาร์ และทั้งปี 2546 เกินดุลทั้งสิ้น 5.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนขยายตัวร้อยละ 7.4 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี ขณะเดียวกัน อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 67.0
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 และทั้งปี 2546 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 2) อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม เทียบกับเฉลี่ย 39.90 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน และเฉลี่ยทั้งปี 2546 อยู่ที่ 41.53 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ 43.00 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2545 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในระดับสูง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤศจิกายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,085 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเฉพาะการเกินดุลในดุลบริการ จากรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การจ่ายดอกเบี้ยและการส่งกลับกำไรและเงินปันผลมีไม่มากนัก 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 42.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2546 คิดเป็น 6.3 เดือนของมูลค่านำเข้าหรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนธันวาคม 2546 และช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 116,648 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 46,630 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 62.5) เนื่องจากมีรายได้จากการขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์จำนวน 25,075 ล้านบาท และมีรายได้สุทธิรวม 108,417 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 45,198 ล้านบาท หรือร้อยละ 71.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 65.8)
ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม - ธันวาคม 2546) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 281,779 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 72,636 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 25.4) โดยมีรายได้สุทธิ 257,480 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 71,851 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 27.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนธันวาคม มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 131,577 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 83.3 เนื่องจากมีการเบิกจ่ายรายจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 32,504 ล้านบาทให้กับข้าราชการบำนาญ) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 118,810 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 12,767 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46 - ธ.ค. 46) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น301,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22.8 (ไม่รวมรายจ่ายจากเงินคงคลังจำนวน 25,075 ล้านบาท) โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 266,607 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.93 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 34,468 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 254,715 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 30.6 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 11,892 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 6.1 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 106,017 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 131,577 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 25,560 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 326 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดขาดดุล 25,234 ล้านบาทสำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 256,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 50,558 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.5 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 301,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 55,847 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.8 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 44,199 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 38,217 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 82,415 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (1)
ในเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลมีรายได้รวม 85,531 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 133,879 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 48,348 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 639 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 6,787 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 42,201 ล้านบาท
ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 237,869 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 305,550 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 67,681 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 1,779 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 16,831 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 52,630 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
3.3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 183,640 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,645 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,193,485 ล้านบาท (รวมงบประมาณกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุล 129,840 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 53,800 ล้านบาท
3.3.2 ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 137,234 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุล 10,646 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 เท่ากับ 2,892.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.99 ของ GDP ลดลงจากเดือนกันยายน 25.3 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.43 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,634.1 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 859.8 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 398.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้คงค้างที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 27.02 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 27.42 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 15.0 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 6.3 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลงสุทธิ 28.6 พันล้านบาท
หมายเหตุ: (1) ดุลตามระบบ สศค. เป็นการแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่สอดคล้องกับระบบบัญชีประชาชาติ (SNA) และครอบคลุมข้อมูลกว้างกว่าดุลตามระบบกระแสเงินสด โดยมีข้อแตกต่าง ๆที่สำคัญ ตือ 1) รายได้ตามระบบ สศค. จะไม่นับรวมรายได้จากส่วนเกินพันธบัตร รายได้จากการจำหน่ายทรัพย์สิน ในขณะเดียวกัน รายจ่ายตามระบบ สศค. จะไม่นับรวมรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ 2) ดุลตามระบบ สศค. ได้ครอบคลุมถึงข้อมูลการใช้จ่ายเงินกู้ต่างประเทศด้วย 3) ดุลตามระบบ สศค. ได้กระจายดุลนอกงบประมาณให้เป็นรายได้และรายจ่าย ดังนั้น ดุลตามระบบ สศค. จึงไม่มีรายการดุลนอกงบประมาณ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 1/2547 26 มกราคม 2547--
-นห-