เยอรมณีเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการรองรับสมุนไพรและเครื่องเทศ เนื่องจากเยอรมนีเป็นผู้นำเข้าสมุนไพรและเครื่องเทศ เนื่องจากเยอรมนีเป็นผู้นำเข้าสมุนไพร และเครื่องเทศรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ ด้วยปริมาณนำเข้าสูงถึงปีละประมาณ 50,000 ตัน คิดเป็น 25% ของมูลค่านำเข้าสมุนไพรและเครื่องเทศทั้งหมดของสหภาพยุโรป (European Union:EU) โดยการนำเข้าสมุนไพร และเครื่องเทศของเยอรมนีมีทั้งเพื่อบริโภคโดยตรง เพื่อนำไปแปรรูป และส่งออกต่อ
รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดสมุนไพรและเครื่องเทศในเยอรมนีมีดังนี้
- อัตราการบริโภคเครื่องเทศของชาวเยอรมันจัดว่าสูงที่สุดใน EU คือ 850 กรัมต่อคนต่อปี นอกจากนี้ ความต้องการใช้เครื่องเทศเพื่อปรุงอาหารในครัวเรือนของชาวเยอรมันมีมากถึง 5,000 ตันต่อปี โดยในจำนวนนี้ประมาณ 20% เป็นความต้องการบริโภคใบสะระแหน่และผักชีเพื่อใช้ปรุงอาหาร
- เยอรมนีนิยมนำเข้าสมุนไพรและเครื่องเทศจากประเทศใน EU ด้วยกันเองเป็นสำคัญ อาทิ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วนแหล่งนำเข้านอก EU ที่สำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย
- สมุนไพรและเครื่องเทศที่เยอรมนีนำเข้าส่วนใหญ่เน้นสรรพคุณด้านเสริมสุขภาพมากกว่าใช้เป็นยารักษาโรค ได้แก่ พริกไทย ยี่หร่า ลูกจันทร์ อบเชย และขิง เป็นต้น ทั้งนี้ มูลค่านำเข้าพริกไทยของเยอรมนีสัดส่วนสูงถึง 30% ของมูลค่านำเข้าพริกไทยโดยรวมของ EU
- เยอรมนีกำหนดระเบียบการนำเข้าเครื่องเทศและสมุนไพรที่สำคัญภายใต้กฎหมาย Food and Drugs ของ EU และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับฉลากสินค้าซึ่งควรมีการแจ้งชื่อสินค้าเป็นภาษาลาตินและอธิบายสรรพคุณอย่างละเอียดแนบไปกับสินค้า และหากสินค้าผ่านการฉายรังสีต้องติดเครื่องหมายแสดงการฉายรังสีด้วย
- สมุนไพรและเครื่องเทศที่ส่งออกไปเยอรมนีต้องได้รับใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยก่อน
แม้ว่าปัจจุบันเยอรมนียังไม่ใช่ตลาดส่งออกสมุนไพรและเครื่องเทศรายใหญ่ของไทยเนื่องจากไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.5% แต่เยอรมนีก็กลายเป็นตลาดส่งออกสมุนไพรและเครื่องเทศที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะยังมีความต้องการบริโภคสมุนไพรอีกมากตามกระแสความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน โดยสมุนไพรและเครื่องเทศของไทยที่มีลู่ทางขยายตลาดในเยอรมนี ได้แก่ พริกไทย พริกตระกูลแคปซีกัมและพิเมนตา และเครื่องเทศผสม ซึ่งเป็นเครื่องเทศและสมุนไพรที่เยอรมนีนำเข้าจากไทยมากเป็นอันดับต้นๆ
ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักบริหาร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1142-1145
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2547--
-นท/พห-
รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดสมุนไพรและเครื่องเทศในเยอรมนีมีดังนี้
- อัตราการบริโภคเครื่องเทศของชาวเยอรมันจัดว่าสูงที่สุดใน EU คือ 850 กรัมต่อคนต่อปี นอกจากนี้ ความต้องการใช้เครื่องเทศเพื่อปรุงอาหารในครัวเรือนของชาวเยอรมันมีมากถึง 5,000 ตันต่อปี โดยในจำนวนนี้ประมาณ 20% เป็นความต้องการบริโภคใบสะระแหน่และผักชีเพื่อใช้ปรุงอาหาร
- เยอรมนีนิยมนำเข้าสมุนไพรและเครื่องเทศจากประเทศใน EU ด้วยกันเองเป็นสำคัญ อาทิ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วนแหล่งนำเข้านอก EU ที่สำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย
- สมุนไพรและเครื่องเทศที่เยอรมนีนำเข้าส่วนใหญ่เน้นสรรพคุณด้านเสริมสุขภาพมากกว่าใช้เป็นยารักษาโรค ได้แก่ พริกไทย ยี่หร่า ลูกจันทร์ อบเชย และขิง เป็นต้น ทั้งนี้ มูลค่านำเข้าพริกไทยของเยอรมนีสัดส่วนสูงถึง 30% ของมูลค่านำเข้าพริกไทยโดยรวมของ EU
- เยอรมนีกำหนดระเบียบการนำเข้าเครื่องเทศและสมุนไพรที่สำคัญภายใต้กฎหมาย Food and Drugs ของ EU และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับฉลากสินค้าซึ่งควรมีการแจ้งชื่อสินค้าเป็นภาษาลาตินและอธิบายสรรพคุณอย่างละเอียดแนบไปกับสินค้า และหากสินค้าผ่านการฉายรังสีต้องติดเครื่องหมายแสดงการฉายรังสีด้วย
- สมุนไพรและเครื่องเทศที่ส่งออกไปเยอรมนีต้องได้รับใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยก่อน
แม้ว่าปัจจุบันเยอรมนียังไม่ใช่ตลาดส่งออกสมุนไพรและเครื่องเทศรายใหญ่ของไทยเนื่องจากไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.5% แต่เยอรมนีก็กลายเป็นตลาดส่งออกสมุนไพรและเครื่องเทศที่ไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะยังมีความต้องการบริโภคสมุนไพรอีกมากตามกระแสความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน โดยสมุนไพรและเครื่องเทศของไทยที่มีลู่ทางขยายตลาดในเยอรมนี ได้แก่ พริกไทย พริกตระกูลแคปซีกัมและพิเมนตา และเครื่องเทศผสม ซึ่งเป็นเครื่องเทศและสมุนไพรที่เยอรมนีนำเข้าจากไทยมากเป็นอันดับต้นๆ
ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักบริหาร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1142-1145
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2547--
-นท/พห-