แท็ก
อุตสาหกรรม
ภาวะอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรประเภทหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหนังสัตว์ใม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ หรือเพื่อส่งออก สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท รวมทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ช่วยสร้างงานให้แก่แรงงานฝีมือจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 คน ซึ่งอยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทย ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญคือ จีน รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ คุณภาพไม่สม่ำเสมอ และต่ำกว่ามาตรฐานที่ต่างประเทศต้องการ อันได้แก่ วัตถุดิบประเภทหนังแท้คุณภาพดี วัสดุประกอบ กาว พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ทำให้การส่งออกหนังและเครื่องหนังไทยชะลอตัวลง
ดังนั้น การปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมเครื่องหนังพัฒนาต่อไปในอนาคต
1. การผลิต
1.1 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องหนัง ในปี 2544 อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน เครื่องใช้สำหรับเดินทาง หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก หนังอัด (พิกัดศุลกากร 64, 42 และ 41 ตามลำดับ) มีผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรมรวมกันประมาณ 4,925 โรงงาน และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมประมาณ 511,000 คน โดยจำแนกตามประเภทของโรงงาน ดังนี้
- โรงงานฟอกหนัง 175 โรงงาน จำนวนแรงงาน 11,000 คน
- โรงงานเครื่องใช้สำหรับเดินทาง 2,750 โรงงาน จำนวนแรงงาน 300,000 คน
- โรงงานรองเท้าและชิ้นส่วน 2,000 โรงงาน จำนวนแรงงาน 200,000 คน
1.2 ลักษณะการผลิต
องค์ประกอบในการผลิตแต่จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะสินค้า ได้แก่
- อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน ประกอบด้วย วัตถุดิบในการผลิตแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยมีการนำเข้าในส่วนของวัตถุดิบหลักเช่น ยางสังเคราะห์ ไนล่อน หุ่นรองเท้า เป็นต้น ส่วนใหญ่จะนำเข้าจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา
- อุตสาหกรรมเครื่องใช้สำหรับเดินทาง ประกอบด้วย หนังฟอก แรงงาน วัสดุประกอบ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยมีการนำเข้าในส่วนของหนังฟอกที่มีคุณภาพดี
- อุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัด วัตถุดิบจะประกอบด้วย หนังดิบ เคมีภัณฑ์ แรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยเคมีภัณฑ์ต้องนำเข้าทั้งหมด หนังดิบมีการนำเข้าบางส่วนเนื่องจากความต้องการหนังที่แตกต่างกัน และหนังดิบภายในประเทศไม่เพียงพอ
1.3 โครงสร้างต้นทุนการผลิต
- อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า (เทคโนโลยีพื้นฐาน) ประกอบด้วย ค่าวัตถุดิบ65% ค่าแรง 15% ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 20%
- อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า.(เทคโนโลยีชั้นสูง).ประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ในการเดินทาง ประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมฟอกหนัง ต้นทุนที่สำคัญ ๆ ประกอบด้วย
2. โครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
2.1 วิวัฒนาการหนังฟอก
อุตสาหกรรมหนังฟอก เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร (Agro Industry) ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมากประเภทหนึ่ง นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากปศุสัตว์ภายในประเทศ โดยการนำหนังดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำปศุสัตว์ มาทำการฟอกเป็นหนังฟอกชนิดต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มจากหนังดิบราคาผืน(ตัว)ละประมาณ 800-1,500 บาท เป็นหนังฟอก ซึ่งมีมูลค่าประมาณผืน(ตัว)ละ 1,200-1,900 บาท และยังก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากในอุตสาหกรรมชนิดต่างๆ เช่น กระเป๋าหนัง รองเท้าหนังและรองเท้ากีฬา เสื้อหนัง สายนาฬิกาหนัง เฟอร์นิเจอร์หนัง ของเล่นสัตว์เลี้ยง หนังกลอง และอื่นๆ โดยสามารถส่งออกและนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาได้อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทในแต่ละปี อุตสาหกรรมฟอกหนังของไทย มีการผลิตในรูปแบบอุตสาหกรรมครัวเรือนมานานไม่น้อยกว่า 60 ปี แต่ได้พัฒนามาเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการค้าและการส่งออกไม่นานนัก โดยเริ่มจากประมาณปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา เนื่องจากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบทางด้านค่าจ้างแรงงานค่อนข้างไม่สูง รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและให้สิทธิพิเศษต่างๆจากภาครัฐทั้งด้านระบบสาธารณูปโภค มาตรการทางด้านภาษี และการส่งเสริมจาก BOI ทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะไต้หวัน และเกาหลีใต้ ได้เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ และประกอบกับความต้องการสินค้าเครื่องหนังของไทยและโลกเพิ่มมากขึ้นในหลายๆผลิตภัณฑ์ เช่น รองเท้าหนัง สายนาฬิกาหนัง กระเป๋าหนัง และเฟอร์นิเจอร์หนัง เป็นต้น ประเภทของหนังสัตว์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนัง จำแนกตามลักษณะได้ 4 ชนิด ดังนี้
(1) หนังสด (Fresh Hides and Skins) หมายถึง หนังสัตว์ที่ชำแหละ
(2) หนังดิบ (Raw Hides and Skins) หมายถึง หนังสัตว์ที่ได้จากโรงงานฆ่าสัตว์ หรือหนังสดที่ยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการฟอกหนัง แต่จะผ่านกรรมวิธีการเก็บรักษาในลักษณะต่างๆ คือ หนังแช่น้ำเกลือ (Grin Cure) หนังหมักเกลือ (Wet Salted Hide) หนังตากแห้ง (Dried Hides) หนังอาบน้ำยา (Arsenicated Hide) หนังหมักเกลือตากแห้ง (Dry salted Hide)
(3) หนังฟอกกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) หมายถึง หนังที่ยังฟอกไม่เสร็จสมบูรณ์ยังขาดกรรมวิธีการผลิตอีก 1 ช่วง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตของแต่ละโรงงานที่มีความชำนาญต่างกัน เพื่อผลิตเป็นหนังฟอกสำเร็จรูปต่อไป
(4) หนังฟอกสำเร็จรูป (Leather) หมายถึง หนังดิบที่นำไปแช่ในน้ำเปลือกไม้หรือน้ำยาเคมี เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติภายในของหนังสัตว์ ให้ปราศจากการเน่าเปื่อยและสามารถนำมาดัดแปลง (ย้อมสี อัดลาย) เป็นผลิตภัณฑ์หนังต่างๆได้ โดยเฉลี่ยหนังดิบหนัก 4 กิโลกรัม เมื่อผ่านกระบวนการฟอกแล้ว จะมีการสูญเสียน้ำหนักเพราะหนังจะแห้ง เหลือหนังฟอกประมาณ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ หนังฟอกยังแบ่งออกเป็น หนังทรงหรือหนังชั้นนอก (Upper Leather) ซึงมักจะนำมาผลิตรองเท้า เข็มขัดเฟอร์นิเจอร์ และหนังท้องหรือหนังชั้นใน (Side Leather) ซึ่งมักจะนำมาทำถุงมือและหนังซับใน (Lining Leather) ต่างๆ เช่น ซับในรองเท้า กระเป๋า เสื้อหนัง เป็นต้น
2.2 วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมหนัง โดยใช้หนังฟอกจากอุตสาหกรรมฟอกหนัง เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเครื่องหนังชนิดต่างๆ ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทย ได้วิวัฒนาการจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ใช้แรงงานจำนวนมาก มาเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีทันสมัย มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จนสามารถพัฒนารูปแบบและฝีมือการตัดเย็บทัดเทียมประเทศต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มส่งออกได้ในปี พ.ศ. 2521 ประกอบกับในระยะแรกๆ เป็นจังหวะของการถ่ายเทตลาดที่ย้ายฐานการผลิตจากยุโรปเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเซีย ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้ซื้อทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเซีย เนื่องจากสามารถซื้อผลิตภัณฑ์หนังที่มีคุณภาพปานกลางจากไทยได้ในราคาถูก ซึ่งในอดีตผู้ผลิตของไทยจะพึ่งวัตถุดิบในประเทศเป็นหลักกอรปกับค่าจ้างแรงงานต่ำทำให้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้
ผลิตภัณฑ์หนังส่งออกของไทย ที่สำคัญได้แก่ รองเท้าหนัง เครื่องใช้ในการเดินทาง เช่น กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์หนังอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2532 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทย การส่งออกขยายตัวในอัตราสูง สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละหลายหมื่นล้านบาทแต่ในช่วงปี พ.ศ.2534-2535 ภาวะการแข่งขันในเอเซียเริ่มเปลี่ยนไป ประเทศคู่แข่งหลายประเทศในโลก มองเห็นอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมสำคัญ จึงมีการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อการส่งออกมากขึ้น เช่น อินเดีย จีน (ผ่านฮ่องกง) อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กอรปกับผลกระทบจากภาวะสงครามก่อการร้ายและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปัจจุบัน และคู่แข่งขันสำคัญคือ จีน เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ขณะเดียวกันภาวะค่าแรงงานในประเทศไทยได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานะการแข่งขันของประเทศไทยเริ่มยากขึ้น รวมทั้งเกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเป็นผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยไม่สามารถขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดได้ ตลาดบางส่วนจึงถูกถ่ายเทไปให้ประเทศคู่แข่ง รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่มีค่าแรงและต้นทุนต่ำในสินค้าคุณภาพระดับกลางถึงต่ำ โดยเฉพาะจีนภาวะการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ผลิตในประเทศไทย ต้องเปลี่ยนนโยบายการผลิตและการตลาด เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเครื่องหนังไว้ โดยสรรหาวัตถุดิบใหม่ๆจากทั้งในและต่างประเทศมาแทน และพัฒนาด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เน้นการออกแบบและตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในระดับสูงขึ้น รวมทั้งมีการใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตมากขึ้น อันจะส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
3. การตลาด
3.1 ตลาดภายในประเทศ
หนังฟอก ปริมาณความต้องการใช้หนังฟอกในประเทศ เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีตามความต้องการของตลาดที่มีการยอมรับสินค้าเครื่องหนังของไทยมากขึ้น โดยในช่วงปี พ.ศ.2532-2535 ปริมาณความต้องการหนังฟอกมีจำนวน 56,249 เมตริกตัน ผลิตและจำหน่ายภายในประเทศจำนวน 31,437 เมตริกตัน ปัจจุบันโรงงานเครื่องหนังมีความต้องการใช้หนังฟอกเป็นจำนวนใกล้เคียงกับปริมาณหนังฟอกที่ผลิตได้ในประเทศ แต่ขณะเดียวกันโรงงานฟอกหนังก็มีการส่งออกหนังฟอกด้วยเช่นกันและในช่วง 4-5 ปีหลัง มูลค่าการส่งออกหนังฟอกมีจำนวนสูงขึ้นในปี 2544 สามารถส่งออกได้มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท จากภาวะดังกล่าวทำให้โรงงานเครื่องหนังในประเทศเกิดการขาดแคลนหนังฟอก ประกอบกับความสามารถในการผลิตหนังฟอกคุณภาพสูง และมีรูปแบบตามแฟชั่นของโรงงานฟอกหนังในประเทศยังไม่มีคุณภาพดีพอและทันสมัยตามแฟชั่น จึงทำให้โรงงานเครื่องหนังต้องนำเข้าหนังฟอก ซึ่งการนำเข้าหนังฟอกในแต่ละปีจะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท
เครื่องหนัง ปัจจุบันการผลิตเครื่องหนังของไทย ได้มีการพัฒนาทั้งด้านคุณภาพและรูปแบบ โดยมีการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงมาผลิต นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายยังได้รับลิขสิทธิ์การผลิตจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าชั้นนำจากต่างประเทศ จึงสามารถผลิตสินค้าสนองตอบความต้องการในประเทศได้อย่างเพียงพอ และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้านำเข้า อย่างไรก็ตาม ยังมีการนำเข้าเครื่องหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะเครื่องหนังที่มีชื่อเสียงของผู้ผลิตชั้นนำของโลก เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีรายได้สูง และมีรสนิยมในสินค้าต่างประเทศ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น
3.2 ตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกหนังและเครื่องหนังที่สำคัญประเทศหนึ่งในเอเซีย การพัฒนาเครื่องหนังเพื่อการส่งออกของไทยได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา จนทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยลำดับ และปัจจุบันรองเท้าและชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์หนังฟอกเป็นหนึ่งในสินค้าเป้าหมายสำคัญมียอดการส่งออกสูงในปี 2544 มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 1.29 และ 0.64 ตามลำดับ ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมรวมของไทย
ปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลง เพราะผู้ผลิตเครื่องหนังไม่มีศักยภาพในการพัฒนาการผลิตให้ได้ในปริมาณและคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ เนื่องจากยังคงมีปัญหาขาดแคลนหนังฟอกคุณภาพดีในประเทศต้องนำเข้า ทำให้ต้นทุนมีราคาสูงขึ้น
ปัจจัยภายนอก
(1) ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
(2) ภาวะสงครามการก่อการร้าย
(3) การแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีอัตราค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทย การปรับกลยุทธ์และพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต และย้ายฐานการผลิตของเจ้าของสินค้ามีชื่อเสียงสำคัญ
ตลาดส่งออกเครื่องหนังสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง จีน และอินโดจีน
4. นโยบายและมาตรการ
ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจมากขึ้น การค้าของโลกมีการขยายตัวดีขึ้น การที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในอัตราสูง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในเวทีการค้าโลกในระดับต่างๆจึงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้ว่าประเทศไทยจะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แต่การที่หลายประเทศได้มีการรวมกลุ่มตามภูมิภาคต่างๆอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจและการค้า เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มนาฟต้า กลุ่มอาฟต้า และกลุ่มเอเปค ซึ่งรวมตัวกันมีลักษณะกว้างและลึกมากขึ้น ทำให้ระเบียบการค้าโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนำไปสู่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้น
ปัญหาการกีดกันทางการค้าของประเทศผู้นำเข้าสำคัญมีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษีและมิใช่ภาษี (Tariff and Non-Tariff) เช่น การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูง การกำหนดโควต้านำเข้า การใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และตอบโต้การอุดหนุน การตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) และการนำปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าโลกมากขึ้น
ในกรณีเครื่องหนัง นโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าของประเทศคู่ค้าที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่สำคัญ ได้แก่
- การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด ของสหภาพยุโรป ในกระเป๋าถือที่ทำจากหนังจากประเทศจีนในอัตราร้อยละ 39.4 นับแต่ 31 สิงหาคม 2540 - 1 กันยายน 2545 ทำให้ไทยได้มีโอกาสขยายการส่งออกกระเป๋าหนังไปยังสหภาพยุโรปมากขึ้น
- ขณะเดียวกันไทยได้ถูกตัด GSP ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 6 กลุ่มเข้าสหภาพยุโรป เหลือเพียงซึ่งรวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2541 เป็นต้นไป
- ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และฮ่องกง ได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้าเข้าสู่ระบบสากลทั้ง ISO9000 และ 14000 และนำระบบมาตรฐานดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้า ซึ่งการนำมาตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าโลก แม้จะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอุปสรรคทางการค้าต่อประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ในระดับหนึ่งด้วย
- นอกจากนี้ ประเทศอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ยังนำเอามาตรการแรงงานสากล มาใช้ประกอบการดำเนินมาตรการทางการค้าต่อไป ซึ่งไทยควรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น โดยสร้างระบบคุ้มครองสวัสดิภาพและสวัสดิการของแรงงานให้สูงขึ้นจนได้มาตรฐานสากล
การส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยของภาครัฐ
(1) กรมส่งเสริมการปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ในเกษตรกรรายย่อย เพื่อเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร ขณะเดียวกัน BOI ให้การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ในรูปของฟาร์ม ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพของหนังสัตว์ของให้ให้ดีขึ้นเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ำ
(2) การส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนแก่อุตสาหกรรมเครื่องหนัง โดย BOI ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบประเภท หนังฟอก หนังเทียม อุปกรณ์และชิ้นส่วน วัสดุจำเป็นสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งการยกเลิกระบบการใช้สูตรการผลิต
(3) การส่งเสริมด้านการเงิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า EXIM Bank ให้ความช่วยเหลือด้านเงินลงทุนแก่ผู้ส่งออก ด้วยรับซื้อลด L/C จากการส่งออกเครื่องหนัง
(4) การชดเชยค่าภาษีอากรเครื่องหนังส่งออก โดยรัฐบาลจะคืนภาษีให้แก่ผู้ส่งออกที่นำวัตถุดิบเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก ในรูปของบัตรภาษี ซึ่งสามารถนำไปชำระค่าภาษีอากรได้ที่กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
(5) การส่งเสริมการผลิต โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์โดยการจ้างนักออกแบบชั้นนำจากอิตาลีออกแบบสินค้าเครื่องหนังแนวโน้มแฟชั่นฤดูกาลล่วงหน้า และโครงการพัฒนานักออกแบบเครื่องหนังไทย โดยนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาฝึกอบรมและแนะนำการผลิต/ออกแบบให้แก่นักออกแบบไทย
(6) การส่งเสริมการส่งออก โดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริมการทำตลาดในต่างประเทศ เช่นการจัดและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ การจัดคณะผู้แทนการค้าของไทยไปต่างประเทศ และนำคณะผู้แทนการค้าต่างประเทศมาพบผู้ผลิตในประเทศ รวมถึงการให้ความรู้ในการพัฒนาการผลิตและส่งออกสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดเป้าหมาย เป็นต้น
ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรประเภทหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหนังสัตว์ใม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ หรือเพื่อส่งออก สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท รวมทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ช่วยสร้างงานให้แก่แรงงานฝีมือจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 คน ซึ่งอยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทย ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญคือ จีน รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ คุณภาพไม่สม่ำเสมอ และต่ำกว่ามาตรฐานที่ต่างประเทศต้องการ อันได้แก่ วัตถุดิบประเภทหนังแท้คุณภาพดี วัสดุประกอบ กาว พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ทำให้การส่งออกหนังและเครื่องหนังไทยชะลอตัวลง
ดังนั้น การปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมเครื่องหนังพัฒนาต่อไปในอนาคต
1. การผลิต
1.1 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องหนัง ในปี 2544 อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน เครื่องใช้สำหรับเดินทาง หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก หนังอัด (พิกัดศุลกากร 64, 42 และ 41 ตามลำดับ) มีผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรมรวมกันประมาณ 4,925 โรงงาน และมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมประมาณ 511,000 คน โดยจำแนกตามประเภทของโรงงาน ดังนี้
- โรงงานฟอกหนัง 175 โรงงาน จำนวนแรงงาน 11,000 คน
- โรงงานเครื่องใช้สำหรับเดินทาง 2,750 โรงงาน จำนวนแรงงาน 300,000 คน
- โรงงานรองเท้าและชิ้นส่วน 2,000 โรงงาน จำนวนแรงงาน 200,000 คน
1.2 ลักษณะการผลิต
องค์ประกอบในการผลิตแต่จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะสินค้า ได้แก่
- อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน ประกอบด้วย วัตถุดิบในการผลิตแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยมีการนำเข้าในส่วนของวัตถุดิบหลักเช่น ยางสังเคราะห์ ไนล่อน หุ่นรองเท้า เป็นต้น ส่วนใหญ่จะนำเข้าจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา
- อุตสาหกรรมเครื่องใช้สำหรับเดินทาง ประกอบด้วย หนังฟอก แรงงาน วัสดุประกอบ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยมีการนำเข้าในส่วนของหนังฟอกที่มีคุณภาพดี
- อุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัด วัตถุดิบจะประกอบด้วย หนังดิบ เคมีภัณฑ์ แรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยเคมีภัณฑ์ต้องนำเข้าทั้งหมด หนังดิบมีการนำเข้าบางส่วนเนื่องจากความต้องการหนังที่แตกต่างกัน และหนังดิบภายในประเทศไม่เพียงพอ
1.3 โครงสร้างต้นทุนการผลิต
- อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า (เทคโนโลยีพื้นฐาน) ประกอบด้วย ค่าวัตถุดิบ65% ค่าแรง 15% ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 20%
- อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า.(เทคโนโลยีชั้นสูง).ประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ในการเดินทาง ประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมฟอกหนัง ต้นทุนที่สำคัญ ๆ ประกอบด้วย
2. โครงสร้างอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
2.1 วิวัฒนาการหนังฟอก
อุตสาหกรรมหนังฟอก เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร (Agro Industry) ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมากประเภทหนึ่ง นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากปศุสัตว์ภายในประเทศ โดยการนำหนังดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำปศุสัตว์ มาทำการฟอกเป็นหนังฟอกชนิดต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มจากหนังดิบราคาผืน(ตัว)ละประมาณ 800-1,500 บาท เป็นหนังฟอก ซึ่งมีมูลค่าประมาณผืน(ตัว)ละ 1,200-1,900 บาท และยังก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมากในอุตสาหกรรมชนิดต่างๆ เช่น กระเป๋าหนัง รองเท้าหนังและรองเท้ากีฬา เสื้อหนัง สายนาฬิกาหนัง เฟอร์นิเจอร์หนัง ของเล่นสัตว์เลี้ยง หนังกลอง และอื่นๆ โดยสามารถส่งออกและนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาได้อีกประมาณ 20,000 ล้านบาทในแต่ละปี อุตสาหกรรมฟอกหนังของไทย มีการผลิตในรูปแบบอุตสาหกรรมครัวเรือนมานานไม่น้อยกว่า 60 ปี แต่ได้พัฒนามาเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการค้าและการส่งออกไม่นานนัก โดยเริ่มจากประมาณปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา เนื่องจากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบทางด้านค่าจ้างแรงงานค่อนข้างไม่สูง รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและให้สิทธิพิเศษต่างๆจากภาครัฐทั้งด้านระบบสาธารณูปโภค มาตรการทางด้านภาษี และการส่งเสริมจาก BOI ทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะไต้หวัน และเกาหลีใต้ ได้เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ และประกอบกับความต้องการสินค้าเครื่องหนังของไทยและโลกเพิ่มมากขึ้นในหลายๆผลิตภัณฑ์ เช่น รองเท้าหนัง สายนาฬิกาหนัง กระเป๋าหนัง และเฟอร์นิเจอร์หนัง เป็นต้น ประเภทของหนังสัตว์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนังและเครื่องหนัง จำแนกตามลักษณะได้ 4 ชนิด ดังนี้
(1) หนังสด (Fresh Hides and Skins) หมายถึง หนังสัตว์ที่ชำแหละ
(2) หนังดิบ (Raw Hides and Skins) หมายถึง หนังสัตว์ที่ได้จากโรงงานฆ่าสัตว์ หรือหนังสดที่ยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการฟอกหนัง แต่จะผ่านกรรมวิธีการเก็บรักษาในลักษณะต่างๆ คือ หนังแช่น้ำเกลือ (Grin Cure) หนังหมักเกลือ (Wet Salted Hide) หนังตากแห้ง (Dried Hides) หนังอาบน้ำยา (Arsenicated Hide) หนังหมักเกลือตากแห้ง (Dry salted Hide)
(3) หนังฟอกกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) หมายถึง หนังที่ยังฟอกไม่เสร็จสมบูรณ์ยังขาดกรรมวิธีการผลิตอีก 1 ช่วง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตของแต่ละโรงงานที่มีความชำนาญต่างกัน เพื่อผลิตเป็นหนังฟอกสำเร็จรูปต่อไป
(4) หนังฟอกสำเร็จรูป (Leather) หมายถึง หนังดิบที่นำไปแช่ในน้ำเปลือกไม้หรือน้ำยาเคมี เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติภายในของหนังสัตว์ ให้ปราศจากการเน่าเปื่อยและสามารถนำมาดัดแปลง (ย้อมสี อัดลาย) เป็นผลิตภัณฑ์หนังต่างๆได้ โดยเฉลี่ยหนังดิบหนัก 4 กิโลกรัม เมื่อผ่านกระบวนการฟอกแล้ว จะมีการสูญเสียน้ำหนักเพราะหนังจะแห้ง เหลือหนังฟอกประมาณ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ หนังฟอกยังแบ่งออกเป็น หนังทรงหรือหนังชั้นนอก (Upper Leather) ซึงมักจะนำมาผลิตรองเท้า เข็มขัดเฟอร์นิเจอร์ และหนังท้องหรือหนังชั้นใน (Side Leather) ซึ่งมักจะนำมาทำถุงมือและหนังซับใน (Lining Leather) ต่างๆ เช่น ซับในรองเท้า กระเป๋า เสื้อหนัง เป็นต้น
2.2 วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมหนัง โดยใช้หนังฟอกจากอุตสาหกรรมฟอกหนัง เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเครื่องหนังชนิดต่างๆ ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทย ได้วิวัฒนาการจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ใช้แรงงานจำนวนมาก มาเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีทันสมัย มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จนสามารถพัฒนารูปแบบและฝีมือการตัดเย็บทัดเทียมประเทศต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มส่งออกได้ในปี พ.ศ. 2521 ประกอบกับในระยะแรกๆ เป็นจังหวะของการถ่ายเทตลาดที่ย้ายฐานการผลิตจากยุโรปเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเซีย ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้ซื้อทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเซีย เนื่องจากสามารถซื้อผลิตภัณฑ์หนังที่มีคุณภาพปานกลางจากไทยได้ในราคาถูก ซึ่งในอดีตผู้ผลิตของไทยจะพึ่งวัตถุดิบในประเทศเป็นหลักกอรปกับค่าจ้างแรงงานต่ำทำให้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้
ผลิตภัณฑ์หนังส่งออกของไทย ที่สำคัญได้แก่ รองเท้าหนัง เครื่องใช้ในการเดินทาง เช่น กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์หนังอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2532 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทย การส่งออกขยายตัวในอัตราสูง สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละหลายหมื่นล้านบาทแต่ในช่วงปี พ.ศ.2534-2535 ภาวะการแข่งขันในเอเซียเริ่มเปลี่ยนไป ประเทศคู่แข่งหลายประเทศในโลก มองเห็นอุตสาหกรรมเครื่องหนัง เป็นอุตสาหกรรมสำคัญ จึงมีการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อการส่งออกมากขึ้น เช่น อินเดีย จีน (ผ่านฮ่องกง) อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กอรปกับผลกระทบจากภาวะสงครามก่อการร้ายและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปัจจุบัน และคู่แข่งขันสำคัญคือ จีน เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ขณะเดียวกันภาวะค่าแรงงานในประเทศไทยได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สถานะการแข่งขันของประเทศไทยเริ่มยากขึ้น รวมทั้งเกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเป็นผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยไม่สามารถขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดได้ ตลาดบางส่วนจึงถูกถ่ายเทไปให้ประเทศคู่แข่ง รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่มีค่าแรงและต้นทุนต่ำในสินค้าคุณภาพระดับกลางถึงต่ำ โดยเฉพาะจีนภาวะการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ผลิตในประเทศไทย ต้องเปลี่ยนนโยบายการผลิตและการตลาด เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเครื่องหนังไว้ โดยสรรหาวัตถุดิบใหม่ๆจากทั้งในและต่างประเทศมาแทน และพัฒนาด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เน้นการออกแบบและตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในระดับสูงขึ้น รวมทั้งมีการใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตมากขึ้น อันจะส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
3. การตลาด
3.1 ตลาดภายในประเทศ
หนังฟอก ปริมาณความต้องการใช้หนังฟอกในประเทศ เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีตามความต้องการของตลาดที่มีการยอมรับสินค้าเครื่องหนังของไทยมากขึ้น โดยในช่วงปี พ.ศ.2532-2535 ปริมาณความต้องการหนังฟอกมีจำนวน 56,249 เมตริกตัน ผลิตและจำหน่ายภายในประเทศจำนวน 31,437 เมตริกตัน ปัจจุบันโรงงานเครื่องหนังมีความต้องการใช้หนังฟอกเป็นจำนวนใกล้เคียงกับปริมาณหนังฟอกที่ผลิตได้ในประเทศ แต่ขณะเดียวกันโรงงานฟอกหนังก็มีการส่งออกหนังฟอกด้วยเช่นกันและในช่วง 4-5 ปีหลัง มูลค่าการส่งออกหนังฟอกมีจำนวนสูงขึ้นในปี 2544 สามารถส่งออกได้มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท จากภาวะดังกล่าวทำให้โรงงานเครื่องหนังในประเทศเกิดการขาดแคลนหนังฟอก ประกอบกับความสามารถในการผลิตหนังฟอกคุณภาพสูง และมีรูปแบบตามแฟชั่นของโรงงานฟอกหนังในประเทศยังไม่มีคุณภาพดีพอและทันสมัยตามแฟชั่น จึงทำให้โรงงานเครื่องหนังต้องนำเข้าหนังฟอก ซึ่งการนำเข้าหนังฟอกในแต่ละปีจะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท
เครื่องหนัง ปัจจุบันการผลิตเครื่องหนังของไทย ได้มีการพัฒนาทั้งด้านคุณภาพและรูปแบบ โดยมีการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงมาผลิต นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายยังได้รับลิขสิทธิ์การผลิตจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าชั้นนำจากต่างประเทศ จึงสามารถผลิตสินค้าสนองตอบความต้องการในประเทศได้อย่างเพียงพอ และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้านำเข้า อย่างไรก็ตาม ยังมีการนำเข้าเครื่องหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะเครื่องหนังที่มีชื่อเสียงของผู้ผลิตชั้นนำของโลก เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีรายได้สูง และมีรสนิยมในสินค้าต่างประเทศ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น
3.2 ตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกหนังและเครื่องหนังที่สำคัญประเทศหนึ่งในเอเซีย การพัฒนาเครื่องหนังเพื่อการส่งออกของไทยได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา จนทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยลำดับ และปัจจุบันรองเท้าและชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์หนังฟอกเป็นหนึ่งในสินค้าเป้าหมายสำคัญมียอดการส่งออกสูงในปี 2544 มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 1.29 และ 0.64 ตามลำดับ ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมรวมของไทย
ปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้การส่งออกลดลง เพราะผู้ผลิตเครื่องหนังไม่มีศักยภาพในการพัฒนาการผลิตให้ได้ในปริมาณและคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ เนื่องจากยังคงมีปัญหาขาดแคลนหนังฟอกคุณภาพดีในประเทศต้องนำเข้า ทำให้ต้นทุนมีราคาสูงขึ้น
ปัจจัยภายนอก
(1) ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
(2) ภาวะสงครามการก่อการร้าย
(3) การแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีอัตราค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทย การปรับกลยุทธ์และพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต และย้ายฐานการผลิตของเจ้าของสินค้ามีชื่อเสียงสำคัญ
ตลาดส่งออกเครื่องหนังสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง จีน และอินโดจีน
4. นโยบายและมาตรการ
ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจมากขึ้น การค้าของโลกมีการขยายตัวดีขึ้น การที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในอัตราสูง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในเวทีการค้าโลกในระดับต่างๆจึงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้ว่าประเทศไทยจะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แต่การที่หลายประเทศได้มีการรวมกลุ่มตามภูมิภาคต่างๆอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจและการค้า เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มนาฟต้า กลุ่มอาฟต้า และกลุ่มเอเปค ซึ่งรวมตัวกันมีลักษณะกว้างและลึกมากขึ้น ทำให้ระเบียบการค้าโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนำไปสู่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้น
ปัญหาการกีดกันทางการค้าของประเทศผู้นำเข้าสำคัญมีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษีและมิใช่ภาษี (Tariff and Non-Tariff) เช่น การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูง การกำหนดโควต้านำเข้า การใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด และตอบโต้การอุดหนุน การตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) และการนำปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าโลกมากขึ้น
ในกรณีเครื่องหนัง นโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าของประเทศคู่ค้าที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่สำคัญ ได้แก่
- การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด ของสหภาพยุโรป ในกระเป๋าถือที่ทำจากหนังจากประเทศจีนในอัตราร้อยละ 39.4 นับแต่ 31 สิงหาคม 2540 - 1 กันยายน 2545 ทำให้ไทยได้มีโอกาสขยายการส่งออกกระเป๋าหนังไปยังสหภาพยุโรปมากขึ้น
- ขณะเดียวกันไทยได้ถูกตัด GSP ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 6 กลุ่มเข้าสหภาพยุโรป เหลือเพียงซึ่งรวมถึงสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2541 เป็นต้นไป
- ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และฮ่องกง ได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้าเข้าสู่ระบบสากลทั้ง ISO9000 และ 14000 และนำระบบมาตรฐานดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้า ซึ่งการนำมาตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าโลก แม้จะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอุปสรรคทางการค้าต่อประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ในระดับหนึ่งด้วย
- นอกจากนี้ ประเทศอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ยังนำเอามาตรการแรงงานสากล มาใช้ประกอบการดำเนินมาตรการทางการค้าต่อไป ซึ่งไทยควรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น โดยสร้างระบบคุ้มครองสวัสดิภาพและสวัสดิการของแรงงานให้สูงขึ้นจนได้มาตรฐานสากล
การส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยของภาครัฐ
(1) กรมส่งเสริมการปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ในเกษตรกรรายย่อย เพื่อเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร ขณะเดียวกัน BOI ให้การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ในรูปของฟาร์ม ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพของหนังสัตว์ของให้ให้ดีขึ้นเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ำ
(2) การส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนแก่อุตสาหกรรมเครื่องหนัง โดย BOI ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบประเภท หนังฟอก หนังเทียม อุปกรณ์และชิ้นส่วน วัสดุจำเป็นสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งการยกเลิกระบบการใช้สูตรการผลิต
(3) การส่งเสริมด้านการเงิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า EXIM Bank ให้ความช่วยเหลือด้านเงินลงทุนแก่ผู้ส่งออก ด้วยรับซื้อลด L/C จากการส่งออกเครื่องหนัง
(4) การชดเชยค่าภาษีอากรเครื่องหนังส่งออก โดยรัฐบาลจะคืนภาษีให้แก่ผู้ส่งออกที่นำวัตถุดิบเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก ในรูปของบัตรภาษี ซึ่งสามารถนำไปชำระค่าภาษีอากรได้ที่กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
(5) การส่งเสริมการผลิต โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์โดยการจ้างนักออกแบบชั้นนำจากอิตาลีออกแบบสินค้าเครื่องหนังแนวโน้มแฟชั่นฤดูกาลล่วงหน้า และโครงการพัฒนานักออกแบบเครื่องหนังไทย โดยนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาฝึกอบรมและแนะนำการผลิต/ออกแบบให้แก่นักออกแบบไทย
(6) การส่งเสริมการส่งออก โดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริมการทำตลาดในต่างประเทศ เช่นการจัดและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ การจัดคณะผู้แทนการค้าของไทยไปต่างประเทศ และนำคณะผู้แทนการค้าต่างประเทศมาพบผู้ผลิตในประเทศ รวมถึงการให้ความรู้ในการพัฒนาการผลิตและส่งออกสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดเป้าหมาย เป็นต้น
ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-