แท็ก
อุตสาหกรรม
วัตถุดิบ ปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องหนัง
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุให้ต้นทุนการผลิตเครื่องหนังไทยสูง คือ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โรงงานฟอกหนังซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่น่าจะผลิตวัตถุดิบมาป้อนอุตสาหกรรมหนัง ในประเทศได้ ก็ขาดแคลนหนังดิบที่จะนำมาฟอก และคาดว่าอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงแนวโน้มในอนาคตจะยังเผชิญกับอุปสรรคปัญหาที่หนักหน่วงขึ้นก็ได้ ซึ่งก็เนื่องมาจากปัญหาเดิมๆ ที่เรื้อรังมานานคือ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ เพราะต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งขณะนี้ สถานการณ์ ทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มว่าจะตกต่ำลง จึงทำให้การแข่งขันของอุตสาหกรรม ฟอกหนังกับต่างประเทศเป็นไปอย่างยาก ลำบากขึ้นทุกวัน
ปัญหาวัตถุดิบ ต้องแก้ในระยะยาว
นายสามารถ นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ตระหนักถึงความ รุนแรงของวิกฤตการณ์ ด้านวัตถุดิบเป็นอย่างดี และพยายามที่จะหาทางแก้ไข ปัญหานี้มาโดยตลอด ทั้งวิธีการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในการแก้ไขปัญหาระยะสั้นคงไม่สามารถทำอะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจากวัตถุดิบในต่างประเทศขาดแคลน และปรับราคาสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา การแก้ไข ปัญหาจึงขึ้นอยู่กับ ศักยภาพของผู้ประกอบการแต่ละรายว่าจะสามารถซื้อวัตถุดิบได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น ทางสมาคมฯ จึงมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวมากกว่า จึงได้เกิดมี โครงการเพื่อเป็นการส่งเสริม การเพิ่มประชากรโคกระบือ โดยส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงกระบือแบบยั่งยืน ซึ่งทางสมาคมฯ เป็นผู้ริเริ่มโครงการ นำร่องจัดตั้งเป็นกองทุนที่ผู้ประกอบการโรงฟอกหนัง ผู้มีจิตศรัทธา บริจาคทุนทรัพย์เพื่อ ให้สมาคมได้นำทุน ดังกล่าวไปซื้อกระบือแล้วนำไปมอบให้เกษตรกรเลี้ยง แบบยั่งยืน ซึ่งมุ่งหวังจะทำให้เกิด การขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณ กระบือให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโค กระบือให้มากขึ้น เพราะประโยชน์ที่ได้จะส่งผลเป็นวงกว้างหลายประการ กล่าวคือ ประการแรก อย่างน้อยเกษตรกรก็จะได้มีรายได้ จากการเลี้ยงโคกระบือด้วยภูมิปัญญาไทย แต่ให้ผลในเชิงพาณิชย์ ประการที่สอง จะสามารถลดปริมาณนำเข้าโคกระบือ และเนื้อสัตว์ลงได้ เนื่องจากปีหนึ่งๆ ไทยนำเข้าโคกระบือมีชีวิตจากประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 1.7 แสนตัว รวมทั้ง เนื้อสัตว์ที่จะบริโภคยัง ต้องนำเข้ามา ปีหนึ่งๆ ประมาณ 2 หมื่นกว่าตัน
นอกจากนี้ ยังจะสามารถเพิ่มปริมาณหนังดิบเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานฟอกหนัง ในประเทศได้เป็น จำนวนมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า และสามารถรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม ของเกษตรกรชาวนาให้หันมาใช้โคกระบือ เป็นแรงงานแทน เครื่องจักร เพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าว จึงต้องกระตุ้นให้ภาครัฐบาลเห็น ความสำคัญของ การอนุรักษ์โคกระบือ และช่วยส่งเสริมให้ เกษตรกรชาวนาเลี้ยงโคกระบืออย่างมีคุณภาพมากขึ้น
ดังนั้น สมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยจึงริเริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรไทยเลี้ยงกระบือ แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือเลี้ยงในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง สนใจหาหญ้าที่มีคุณภาพ และดูแลให้ดีเพื่อให้ได้เนื้อและหนังที่ดี ถ้าทำได้สำเร็จจะทำให้ประเทศไทยสามารถประหยัด เงินตรา จากการนำเข้าหนังสัตว์ และโคกระบือมีชีวิต รวมแล้วปีหนึ่งๆ ประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมถึงเนื้อสัตว์แช่แข็งที่นำเข้ามาบริโภคอีกเป็นจำนวนมาก
นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าวว่า มีการส่งเสริมเลี้ยงกระบือตามโครงการนี้ ขึ้นมา ปริมาณหนังทั้งหมดที่จะได้สามารถ support ให้อุตสาหกรรมฟอกหนังไม่ใช่เพียงแค่ 100% แต่จะรับได้ถึง 300% ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการชี้แจงหรือโน้มน้าวให้เกษตรกรเห็นว่า การเลี้ยงกระบือนั้น ใช้ได้ทั้งแรงงาน ได้เนื้อ แม้แต่หนังก็ยังมีที่จำหน่ายออกไปได้ โดยเฉพาะปริมาณหนังกระบือ หรือโคที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรม เครื่องหนังต่อเนื่อง เช่น ของเล่นสุนัข กระเป๋า รองเท้า ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเกือบแสนล้านบาท รวมทั้งเป็นการสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าได้อีกมหาศาล
ทางสมาคมฯ ได้ริเริ่มเป็นตัวอย่าง โดยไถ่ชีวิตกระบือเพศเมีย ที่กำลังตั้งท้อง และกำลังจะถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ แล้วมอบให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจว่าไม่ควรฆ่ากระบือที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะจะ เป็นการทำลายพันธุ์ สมาคมฯ จึงได้ทำโครงการนำร่องนี้ขึ้นมา ไถ่ชีวิตกระบือเพศเมียที่ตั้งท้อง เพราะอยากแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าปล่อย ให้มีการฆ่ากระบือเพศเมียที่กำลังตั้งครรภ์ เรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราคงไม่เหลืออะไร ถ้าทุกฝ่ายให้ความสำคัญตรงนี้ อย่างน้อยน่าจะมีการออกเป็น พรบ.หรือกฎหมายออกมาชัดเจนว่า ห้ามฆ่าโคกระบือ ตัวเมียที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งในเรื่องนี้ทางกรมปศุสัตว์ก็เห็นด้วยในหลักการแล้ว และหากภาครัฐเห็นความสำคัญก็จะเป็นผลดีกับอนาคตได้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือเป็น การแก้ไขปัญหาระยะยาวในเรื่องของวัตถุดิบ จริงๆ พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบมากเกินไป
ปัญหาของผู้ประกอบการโรงฟอกหนัง หรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการเครื่องหนัง คือ การพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบมากเกินไป จากเดิมทีประเทศไทยเคยมีวัตถุดิบถึง 12 ล้านตัว ทั้งโคและกระบือ แต่ขณะนี้เหลือไม่ถึง 2 ล้านตัว เมื่อธุรกิจฟอกหนังต้นทุนอยู่ ที่วัตถุดิบถึง 80% นอกจากนั้นอยู่ที่ สารเคมี แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการประกอบการจัดการทั่วไป เมื่อมีการนำเข้าวัตถุดิบสูง ขีดความสามารถในการแข่งขันย่อมด้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้ เดิมประเทศข้างเคียงที่เคยเป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบ เช่นจีน ซึ่งเคยเป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบรายใหญ่ เริ่มหันมาทำอุตสาหกรรมฟอกหนังเองและใช้เองในประเทศ อีกทั้งชาวต่างประเทศที่มีประสบการณ์และเงินทุน ก็เริ่มเข้าไปตั้งโรงงานฟอกหนังในจีน และยังมีประเทศเวียดนามทำอุตสาหกรรมฟอกหนังเอง คาดคาดว่าในระยะเวลาต่อไปต่อไปเขาคงจะมีการผลิตเพื่อส่งออก และจะกลายเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไทยไปด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังจากจีน ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) จะมีผลต่ออุตสาหกรรมฟอกหนัง และเครื่องหนังไทยโดยตรง เพราะจีนจะสามารถนำสินค้าเข้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ ในอัตราภาษีที่ถูกลง เช่นเดียวกับประเทศสมาชิก WTO อื่นๆ เพราะเดิมจีนจะเสียภาษีนำเข้าสินค้าเหล่านี้สูง และเมื่อภาษีอยู่ใน พิกัดอัตราเดียวกัน จีนจะสามารถนำหนังคุณภาพสูง เข้าไปในตลาดสำคัญเหล่านี้ได้เรื่อยๆ และคงจะกลายเป็นคู่แข่งของไทยหลายด้าน
นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าวว่า ในเรื่องของเทคโนโลยีการ ผลิตหนังฟอกในประเทศไทยนั้น ไม่ได้น้อยหน้าชาวต่างประเทศเลย เครื่องจักรใหม่ๆ ของอิตาลีที่ออกมาโรงฟอกหนังไทยก็มีใช้ ส่วนเคมี ช่างเทคนิคต่างๆ ก็มาจากที่เดียวกัน ต่างประเทศใช้อะไรประเทศไทยก็ใช้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีอะไรได้เปรียบหรือแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีมากนัก ดังนั้น เรื่องเทคโนโลยีการผลิตไม่ใช่ปัญหา ที่ทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังของไทยสู้ต่างประเทศไม่ได้แต่อยู่ที่วัตถุดิบซึ่งสูงถึง 80% ของต้นทุนการผลิตคู่แข่งที่สำคัญในการผลิตหนังฟอกของไทยเราคือ อิตาลี ซึ่งขณะนี้อิตาลีพยายามเข้าไปตั้งโรงงานในแหล่งวัตถุดิบคือ อเมริกาใต้ เช่น บราซิล ทำให้อิตาลีสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ต่ำลง ในขณะที่ไทยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเกือบ 100% จะมีการขาดแคลนเป็นช่วงๆ และนำเข้าเป็นช่วงๆ เพราะฤดูการฆ่าในแต่ละประเทศไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล
ถึงเวลาแล้วที่อุตสาหกรรมหนังทั้งต้นน้ำและปลายน้ำทั้งกระเป๋า รองเท้า ฟอกหนัง จะต้องร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น ปรึกษาหารือ เพื่อพัฒนารูปแบบต้องเดินคู่กัน ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ถ้าทำได้ขนาดนั้น เราจะเป็นผู้ออกแฟชั่น เครื่องหนังก็เน้นเรื่องดีไซน์ให้สวยงาม ส่วนฟอกหนังก็เน้นการพัฒนาวัตถุดิบให้เอื้อต่อกันและกัน ขณะนี้ก้ได้เริ่มมีการคุยกันในระดับหนึ่งจะมีการนัดพบปะกันระหว่างสมาชิกแต่ละฝ่ายเพื่อร่วมหารือกัน ช่วยกันสร้างรูปแบบที่ทันสมัยเพื่อของไทยต่อไป
"สิ่งที่อยากจะฝากถึงสมาชิกฟอกหนัง รวมทั้งวงการอุตสาหกรรมหนังทั้งหมดคือ ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด มีการแลกเปลียนข้อมูล ข้อเสนอแนะ และปรึกษาหารือกันมากขึ้น เพราะธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น วัตถุดิบแพงขึ้น ต้นทุนสูง แต่ขายของได้น้อยลงฟอกหนังหากส่งออกไปขายเป็นแผ่น เป็นตารางฟุตก็จะไม่ได้แบรนด์เนม แต่ถ้าเราหันมาร่วมมือกัน นำหนังฟอกมาเพิ่มมูลค่าในประเทศให้ได้มากมายจะทำให้ธุรกิจที่เสริมเนื่องกันดีขั้น หากเราไม่รวมมือกันตั้งแต่ตอนนี้ต่อไปการแข่งขันจะ ลำบากยิ่ง เราไม่สามารถยืนอยู่โดดเดี่ยว แบบต่างคนต่างยืนได้อีกต่อไป ทุกคนต้องช่วยกัน" นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าว
ผลการศึกษา วิเคราะห์โรงงานอุตสาหกรรมฟอกหนัง
จากผลการศึกษา วิเคราะห์ กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง ของสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมฟอกหนัง มีโรงงานฟอกหนังทั้งสิ้น 132 โรงงาน และมีแรงงานที่อยู่ใน อุตสาหกรรมฟอกหนังทั้งหมด 150,000 คน โดย 27 โรงงานได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 14 โรงงานเป็นโรงงานที่ร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ 5 โรงงานเป็นของคนไทย และ 1 โรงงานเป็นของต่างชาติ
อุตสาหกรรมฟอกหนังไทย มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี หรือ 15 ล้านตารางฟุตต่อเดือน โดยแบ่งเป็น
1. โรงงานขนาดใหญ่ จำนวน 20 โรงงาน ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 60% สามารถผลิตหนังฟอกได้วันละ 300 ผืน หรือเดือนละ 6 ตัน (500,000 ตารางฟุต)
2. โรงงานขนาดกลางจำนวน 30 โรงงาน ครองส่วนแบ่งการตลาด 35% สามารถผลิตหนังฟอกได้ประมาณเดือนละ 100-300 ผืน หรือประมาณ 2-6 ตัน (100,000 - 500,000 ตารางฟุต)
3. โรงงานขนาดเล็กประมาณ 80 โรงงาน ครองส่วนแบ่งการตลาด 5% สามารถผลิตหนังฟอกได้ประมาณเดือนละ 100 ผืน หรือ ประมาณ 2 ตัน (น้อยกว่า 100,000 ตารางฟุต) กระบวนการผลิตบางส่วนของโรงงานในกลุ่มนี้ จำเป็นต้องพึ่งโรงงานขนาดกลาง ซึ่งมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่พร้อมและดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หนังคุณภาพดีที่ผลิตจากโรงงานฟอกหนัง ของไทยส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศ จึงทำให้โรงงานเครื่องหนังในประเทศขาดแคลนหนังคุณภาพดีสำหรับใช้ผลิตสินค้าของตน จึงต้องนำเข้าหนังฟอกจากต่างประเทศ โดย 99% นำเข้าหนังฟอกจากประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และสหรัฐอเมริกา แต่หากต้องการหนังฟอกที่มีลวดลายและสีสรรที่ทันสมัย จะต้องนำเข้าจากประเทศผู้นำแฟชั่น อย่างประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส
กระบวนการผลิต
วัตถุดิบหลักที่ใช้ในกระบวนการฟอกหนัง คือ
1. หนังสัตว์ ได้แก่ หนังโค กระบือ ม้า แกะ งู กระต่าย หมู จระเข้ ฯลฯ เนื่องจากหนังโคและกระบือเป็นหนังหาง่าย และเป็นที่นิยมมากกว่าหนังชนิดอื่นๆ ดังนั้น หนังที่ใช้ในการผลิตหนังฟอก 90% จึงเป็นหนังโคและกระบือ โดย 36% เป็นหนังที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 54% นำเข้าจากต่างประเทศ
2. สารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการฟอกและย้อมสี ซึ่งสารเคมีเกือบทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการ ฟอกหนังต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยน่ำเข้าจากเยอรมนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และอิตาลี ก่อนที่หนังดิบจะกลายเป็นหนังฟอกได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ซึ่งหนังที่ผ่านกระบวนการ ผลิตแต่ละขั้นตอนจะมีชื่อเรียกต่างกัน ดังนี้
1. Green Hides คือ หนังโคหรือกระบือที่ถูกชำแหละโดยเครื่องจักร และยังไม่ผ่านกระบวนการบำรุงรักษา (Treatment Process) หนังที่ได้จะมีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน ซึ่งปกติแล้ว ส่วนหัวของโคจะให้หนัง 20 กก. หรือประมาณ 30 ตารางฟุต ส่วนกระบือจะให้หนังประมาณ 44 กก.หรือ 40-45 ตารางฟุต
2. Raw Hides คือ หนังที่ผ่านกระบวนการบำรุงรักษาก่อนที่จะถูกนำไปฟอก แบ่งเป็น
- Wet salted hide คือหนังเขียวที่หมักโดยใช้เกลือ
- Brine Cure คือหนังเขียวที่ถูกแช่ในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูง
- Arsenicated hide คือ หนังเขียวที่ใช้สารหนูแล้วนำมาทำให้แห้ง
- Dry Salted hide คือ หนังเขียวที่หมักเกลือแล้ว นำมาทำให้แห้ง
3. Leather คือหนังที่ผ่านการฟอกและย้อมโดยใช้สารเคมี และสามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าได้ตามต้องการ ซึ่งตามปกติ ในขั้นตอนการฟอกหนังจะสูญเสียหนังประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนัก โดยหนังฟอกสามารถจำแนกได้ 3 ประเภทดังนี้
- หนังหน้า (Upper leather) ใช้สำหรับผลิตรองเท้า กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์
- หนังข้าง (Side leather) ใช้สำหรั้บทำถุงมือ เชือก
- เศษหนัง (Split leather) ใช้สำหรับทำของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง
4. Wet Blue คือ หนังที่อยู่ในระหว่างการผลิต ยังไม่สามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องหนังได้ โรงงานฟอกหนังที่ทำการผลิตหนัง Wet Blue เป็นหลัก จะจำหน่ายหนังให้กับโรงงานฟอกหนังทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยโรงงานฟอกหนังที่ซื้อหนัง Wet Blue ไปจะนำหนังไปผ่านกระบวนการฟอกให้กลายเป็นหนังสำเร็จรูป และทำการจำหน่ายให้กับโรงงานฟอกหนังอีกที
โครงสร้างต้นทุนการผลิตหนังฟอกไทย ประกอบด้วย(ชาร์ตวงกลมตามภาพในหนังสือ กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง หน้า 14)
1. ค่าวัตถุดิบ (หนังและสารเคมี) ร้อยละ 70
2. วัตถุดิบในประเทศ ร้อยละ 20
3. วัตถุดิบต่างประเทศ ร้อยละ 50
4. ค่าแรงงาน ร้อยละ 20
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร้อยละ 10
การตลาด
50% ของหนังที่ผลิตโดยโรงงานฟอกหนังขนาดใหญ่จะจำหน่ายในประเทศ ซึ่งลูกค้าจะมีทั้งที่เป็นผู้ผลิต เครื่องหนังภายในประเทศ และบริษัท trading ที่ซื้อหนังจากโรงงานฟอกหนัง แล้วนำไปขายต่อให้กับ โรงงานเครื่องหนังอีกที สำหรับหนังที่เหลือจากการจำหน่ายในประเทศจะถูกส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศ
จุดแข็งของอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย
1. ปัจจุบันผู้ผลิตไทยมีความสามารถในการผลิตงานที่หลากหลาย และใช้เวลาน้อย ขณะที่คู่แข่งใหม่ๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม ความสามารถด้อยกว่าไทย เนื่องจากผู้ผลิตไทยมีการ พัฒนาระบบการ ผลิตให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับระบบการผลิตให้ได้ตามคำสั่งของผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
2. สังคมไทย เป็นสังคมที่เปิดกว้าง ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เพศ และการนับถือศาสนา ทำให้ผู้ลงทุนชาวต่างชาติ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทย กอปรกับไทยมีที่ตั้งเป็น แหล่งยุทธศาสตร์ที่ดี สามารถใช้เป็นประโยชน์เชื่อมโยงสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดจีน อาเซียน และเอเชียใต้ จึงยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจของผู้ลงทุนต่างชาติ
จุดอ่อน
1. กระบวนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานและขาดระบบควบคุมคุณภาพ ทำให้หนังที่ผลิตเสร็จไม่ได้มาตรฐาน เช่น หนังสีเดียวกันที่ผลิตคนละล็อตกลับมีโทนสีไม่เท่ากัน เป็นต้น
2. โครงสร้างภาษีการนำเข้าวัตถุดิบบางอย่างยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งหนังดิบและหนังฟอกในประเทศ จึงต้องมีการนำเข้าหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะหนังคุณภาพดี
โอกาส
1. จากวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังซื้อตกต่ำ ส่งผลให้ผู้ผลิตเครื่องหนัง่ระดับคุณภาพของไทย มีการปรับตัวอย่างจริง่จังที่จะพัฒนาคุณภาพเครื่องหนังเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าว เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มยอดขายให้กับผู้ผลิตหนังฟอกไทย
2. ปัจจุบันโรงงานฟอกหนังมีกำลังการผลิตเหลือ พร้อมที่จะทำการผลิตหนังสำเร็จรูปมากขึ้น หากรัฐบาลส่งเสริมให้มีการน่ำเข้าหนังกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) ด้วยวิธีการต่างๆ
การแข่งขัน
1. คู่แข่งที่สำคัญในตลาดต่างประเทศ คือ ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศผู้นำแฟชั่น สามารถผลิตหนังล็อตใหญ่และขายให้กับลูกค้าได้ปริมาณน้อย โดยไม่มีความเสี่ยงในเรื่องตลาดที่จะมารองรับ
2. นโยบายและมาตรการของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี เช่น การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดของสหภาพยุโรป (Anti Dumping) การถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) การกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้าและมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรม มาตรฐานแรงงานสากล เป็นต้น
3. นโยบายและมาตรการของประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลผลิตทาง ด้านหนังดิบเป็นจำนวนมาก และความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมหนังฟอกในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของจีนได้
หากมองถึงภาพรวมของโรงงานในอุตสาหกรรมฟอกหนังแล้ว พบว่า กระบวนการผลิตจะขึ้นอยู่กับเครื่องจักร และการตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการรับวัตถุดิบ จนกระทั่งผลิตเสร็จพร้อมจัดส่งให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ กระบวนการผลิตที่เสี่ยงต่อคุณภาพคือ กระบวนการผสมสีเพื่อพ่นสีหนัง ซึ่งหากควบคุมไม่ดีจะส่งผลให้สีหนังที่พ่นออกมาแต่ละล็อตไม่เหมือนกัน
แหล่งข้อมูล : จากการสัมภาษณ์นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย, รายงานสรุปผลการศึกษา กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
ที่มา : วารสารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีนาคม-เมษายน 2545
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุให้ต้นทุนการผลิตเครื่องหนังไทยสูง คือ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โรงงานฟอกหนังซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่น่าจะผลิตวัตถุดิบมาป้อนอุตสาหกรรมหนัง ในประเทศได้ ก็ขาดแคลนหนังดิบที่จะนำมาฟอก และคาดว่าอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงแนวโน้มในอนาคตจะยังเผชิญกับอุปสรรคปัญหาที่หนักหน่วงขึ้นก็ได้ ซึ่งก็เนื่องมาจากปัญหาเดิมๆ ที่เรื้อรังมานานคือ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ เพราะต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งขณะนี้ สถานการณ์ ทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มว่าจะตกต่ำลง จึงทำให้การแข่งขันของอุตสาหกรรม ฟอกหนังกับต่างประเทศเป็นไปอย่างยาก ลำบากขึ้นทุกวัน
ปัญหาวัตถุดิบ ต้องแก้ในระยะยาว
นายสามารถ นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้ตระหนักถึงความ รุนแรงของวิกฤตการณ์ ด้านวัตถุดิบเป็นอย่างดี และพยายามที่จะหาทางแก้ไข ปัญหานี้มาโดยตลอด ทั้งวิธีการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในการแก้ไขปัญหาระยะสั้นคงไม่สามารถทำอะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจากวัตถุดิบในต่างประเทศขาดแคลน และปรับราคาสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา การแก้ไข ปัญหาจึงขึ้นอยู่กับ ศักยภาพของผู้ประกอบการแต่ละรายว่าจะสามารถซื้อวัตถุดิบได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น ทางสมาคมฯ จึงมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวมากกว่า จึงได้เกิดมี โครงการเพื่อเป็นการส่งเสริม การเพิ่มประชากรโคกระบือ โดยส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงกระบือแบบยั่งยืน ซึ่งทางสมาคมฯ เป็นผู้ริเริ่มโครงการ นำร่องจัดตั้งเป็นกองทุนที่ผู้ประกอบการโรงฟอกหนัง ผู้มีจิตศรัทธา บริจาคทุนทรัพย์เพื่อ ให้สมาคมได้นำทุน ดังกล่าวไปซื้อกระบือแล้วนำไปมอบให้เกษตรกรเลี้ยง แบบยั่งยืน ซึ่งมุ่งหวังจะทำให้เกิด การขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณ กระบือให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโค กระบือให้มากขึ้น เพราะประโยชน์ที่ได้จะส่งผลเป็นวงกว้างหลายประการ กล่าวคือ ประการแรก อย่างน้อยเกษตรกรก็จะได้มีรายได้ จากการเลี้ยงโคกระบือด้วยภูมิปัญญาไทย แต่ให้ผลในเชิงพาณิชย์ ประการที่สอง จะสามารถลดปริมาณนำเข้าโคกระบือ และเนื้อสัตว์ลงได้ เนื่องจากปีหนึ่งๆ ไทยนำเข้าโคกระบือมีชีวิตจากประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 1.7 แสนตัว รวมทั้ง เนื้อสัตว์ที่จะบริโภคยัง ต้องนำเข้ามา ปีหนึ่งๆ ประมาณ 2 หมื่นกว่าตัน
นอกจากนี้ ยังจะสามารถเพิ่มปริมาณหนังดิบเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานฟอกหนัง ในประเทศได้เป็น จำนวนมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า และสามารถรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม ของเกษตรกรชาวนาให้หันมาใช้โคกระบือ เป็นแรงงานแทน เครื่องจักร เพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าว จึงต้องกระตุ้นให้ภาครัฐบาลเห็น ความสำคัญของ การอนุรักษ์โคกระบือ และช่วยส่งเสริมให้ เกษตรกรชาวนาเลี้ยงโคกระบืออย่างมีคุณภาพมากขึ้น
ดังนั้น สมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยจึงริเริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรไทยเลี้ยงกระบือ แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือเลี้ยงในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง สนใจหาหญ้าที่มีคุณภาพ และดูแลให้ดีเพื่อให้ได้เนื้อและหนังที่ดี ถ้าทำได้สำเร็จจะทำให้ประเทศไทยสามารถประหยัด เงินตรา จากการนำเข้าหนังสัตว์ และโคกระบือมีชีวิต รวมแล้วปีหนึ่งๆ ประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมถึงเนื้อสัตว์แช่แข็งที่นำเข้ามาบริโภคอีกเป็นจำนวนมาก
นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าวว่า มีการส่งเสริมเลี้ยงกระบือตามโครงการนี้ ขึ้นมา ปริมาณหนังทั้งหมดที่จะได้สามารถ support ให้อุตสาหกรรมฟอกหนังไม่ใช่เพียงแค่ 100% แต่จะรับได้ถึง 300% ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีการชี้แจงหรือโน้มน้าวให้เกษตรกรเห็นว่า การเลี้ยงกระบือนั้น ใช้ได้ทั้งแรงงาน ได้เนื้อ แม้แต่หนังก็ยังมีที่จำหน่ายออกไปได้ โดยเฉพาะปริมาณหนังกระบือ หรือโคที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรม เครื่องหนังต่อเนื่อง เช่น ของเล่นสุนัข กระเป๋า รองเท้า ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเกือบแสนล้านบาท รวมทั้งเป็นการสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าได้อีกมหาศาล
ทางสมาคมฯ ได้ริเริ่มเป็นตัวอย่าง โดยไถ่ชีวิตกระบือเพศเมีย ที่กำลังตั้งท้อง และกำลังจะถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ แล้วมอบให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจว่าไม่ควรฆ่ากระบือที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะจะ เป็นการทำลายพันธุ์ สมาคมฯ จึงได้ทำโครงการนำร่องนี้ขึ้นมา ไถ่ชีวิตกระบือเพศเมียที่ตั้งท้อง เพราะอยากแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าปล่อย ให้มีการฆ่ากระบือเพศเมียที่กำลังตั้งครรภ์ เรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราคงไม่เหลืออะไร ถ้าทุกฝ่ายให้ความสำคัญตรงนี้ อย่างน้อยน่าจะมีการออกเป็น พรบ.หรือกฎหมายออกมาชัดเจนว่า ห้ามฆ่าโคกระบือ ตัวเมียที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งในเรื่องนี้ทางกรมปศุสัตว์ก็เห็นด้วยในหลักการแล้ว และหากภาครัฐเห็นความสำคัญก็จะเป็นผลดีกับอนาคตได้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือเป็น การแก้ไขปัญหาระยะยาวในเรื่องของวัตถุดิบ จริงๆ พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบมากเกินไป
ปัญหาของผู้ประกอบการโรงฟอกหนัง หรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการเครื่องหนัง คือ การพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบมากเกินไป จากเดิมทีประเทศไทยเคยมีวัตถุดิบถึง 12 ล้านตัว ทั้งโคและกระบือ แต่ขณะนี้เหลือไม่ถึง 2 ล้านตัว เมื่อธุรกิจฟอกหนังต้นทุนอยู่ ที่วัตถุดิบถึง 80% นอกจากนั้นอยู่ที่ สารเคมี แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการประกอบการจัดการทั่วไป เมื่อมีการนำเข้าวัตถุดิบสูง ขีดความสามารถในการแข่งขันย่อมด้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้ เดิมประเทศข้างเคียงที่เคยเป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบ เช่นจีน ซึ่งเคยเป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบรายใหญ่ เริ่มหันมาทำอุตสาหกรรมฟอกหนังเองและใช้เองในประเทศ อีกทั้งชาวต่างประเทศที่มีประสบการณ์และเงินทุน ก็เริ่มเข้าไปตั้งโรงงานฟอกหนังในจีน และยังมีประเทศเวียดนามทำอุตสาหกรรมฟอกหนังเอง คาดคาดว่าในระยะเวลาต่อไปต่อไปเขาคงจะมีการผลิตเพื่อส่งออก และจะกลายเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไทยไปด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังจากจีน ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) จะมีผลต่ออุตสาหกรรมฟอกหนัง และเครื่องหนังไทยโดยตรง เพราะจีนจะสามารถนำสินค้าเข้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ ในอัตราภาษีที่ถูกลง เช่นเดียวกับประเทศสมาชิก WTO อื่นๆ เพราะเดิมจีนจะเสียภาษีนำเข้าสินค้าเหล่านี้สูง และเมื่อภาษีอยู่ใน พิกัดอัตราเดียวกัน จีนจะสามารถนำหนังคุณภาพสูง เข้าไปในตลาดสำคัญเหล่านี้ได้เรื่อยๆ และคงจะกลายเป็นคู่แข่งของไทยหลายด้าน
นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าวว่า ในเรื่องของเทคโนโลยีการ ผลิตหนังฟอกในประเทศไทยนั้น ไม่ได้น้อยหน้าชาวต่างประเทศเลย เครื่องจักรใหม่ๆ ของอิตาลีที่ออกมาโรงฟอกหนังไทยก็มีใช้ ส่วนเคมี ช่างเทคนิคต่างๆ ก็มาจากที่เดียวกัน ต่างประเทศใช้อะไรประเทศไทยก็ใช้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่มีอะไรได้เปรียบหรือแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีมากนัก ดังนั้น เรื่องเทคโนโลยีการผลิตไม่ใช่ปัญหา ที่ทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังของไทยสู้ต่างประเทศไม่ได้แต่อยู่ที่วัตถุดิบซึ่งสูงถึง 80% ของต้นทุนการผลิตคู่แข่งที่สำคัญในการผลิตหนังฟอกของไทยเราคือ อิตาลี ซึ่งขณะนี้อิตาลีพยายามเข้าไปตั้งโรงงานในแหล่งวัตถุดิบคือ อเมริกาใต้ เช่น บราซิล ทำให้อิตาลีสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ต่ำลง ในขณะที่ไทยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเกือบ 100% จะมีการขาดแคลนเป็นช่วงๆ และนำเข้าเป็นช่วงๆ เพราะฤดูการฆ่าในแต่ละประเทศไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล
ถึงเวลาแล้วที่อุตสาหกรรมหนังทั้งต้นน้ำและปลายน้ำทั้งกระเป๋า รองเท้า ฟอกหนัง จะต้องร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น ปรึกษาหารือ เพื่อพัฒนารูปแบบต้องเดินคู่กัน ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ถ้าทำได้ขนาดนั้น เราจะเป็นผู้ออกแฟชั่น เครื่องหนังก็เน้นเรื่องดีไซน์ให้สวยงาม ส่วนฟอกหนังก็เน้นการพัฒนาวัตถุดิบให้เอื้อต่อกันและกัน ขณะนี้ก้ได้เริ่มมีการคุยกันในระดับหนึ่งจะมีการนัดพบปะกันระหว่างสมาชิกแต่ละฝ่ายเพื่อร่วมหารือกัน ช่วยกันสร้างรูปแบบที่ทันสมัยเพื่อของไทยต่อไป
"สิ่งที่อยากจะฝากถึงสมาชิกฟอกหนัง รวมทั้งวงการอุตสาหกรรมหนังทั้งหมดคือ ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด มีการแลกเปลียนข้อมูล ข้อเสนอแนะ และปรึกษาหารือกันมากขึ้น เพราะธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น วัตถุดิบแพงขึ้น ต้นทุนสูง แต่ขายของได้น้อยลงฟอกหนังหากส่งออกไปขายเป็นแผ่น เป็นตารางฟุตก็จะไม่ได้แบรนด์เนม แต่ถ้าเราหันมาร่วมมือกัน นำหนังฟอกมาเพิ่มมูลค่าในประเทศให้ได้มากมายจะทำให้ธุรกิจที่เสริมเนื่องกันดีขั้น หากเราไม่รวมมือกันตั้งแต่ตอนนี้ต่อไปการแข่งขันจะ ลำบากยิ่ง เราไม่สามารถยืนอยู่โดดเดี่ยว แบบต่างคนต่างยืนได้อีกต่อไป ทุกคนต้องช่วยกัน" นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังกล่าว
ผลการศึกษา วิเคราะห์โรงงานอุตสาหกรรมฟอกหนัง
จากผลการศึกษา วิเคราะห์ กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง ของสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมฟอกหนัง มีโรงงานฟอกหนังทั้งสิ้น 132 โรงงาน และมีแรงงานที่อยู่ใน อุตสาหกรรมฟอกหนังทั้งหมด 150,000 คน โดย 27 โรงงานได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 14 โรงงานเป็นโรงงานที่ร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ 5 โรงงานเป็นของคนไทย และ 1 โรงงานเป็นของต่างชาติ
อุตสาหกรรมฟอกหนังไทย มีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี หรือ 15 ล้านตารางฟุตต่อเดือน โดยแบ่งเป็น
1. โรงงานขนาดใหญ่ จำนวน 20 โรงงาน ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 60% สามารถผลิตหนังฟอกได้วันละ 300 ผืน หรือเดือนละ 6 ตัน (500,000 ตารางฟุต)
2. โรงงานขนาดกลางจำนวน 30 โรงงาน ครองส่วนแบ่งการตลาด 35% สามารถผลิตหนังฟอกได้ประมาณเดือนละ 100-300 ผืน หรือประมาณ 2-6 ตัน (100,000 - 500,000 ตารางฟุต)
3. โรงงานขนาดเล็กประมาณ 80 โรงงาน ครองส่วนแบ่งการตลาด 5% สามารถผลิตหนังฟอกได้ประมาณเดือนละ 100 ผืน หรือ ประมาณ 2 ตัน (น้อยกว่า 100,000 ตารางฟุต) กระบวนการผลิตบางส่วนของโรงงานในกลุ่มนี้ จำเป็นต้องพึ่งโรงงานขนาดกลาง ซึ่งมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่พร้อมและดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หนังคุณภาพดีที่ผลิตจากโรงงานฟอกหนัง ของไทยส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศ จึงทำให้โรงงานเครื่องหนังในประเทศขาดแคลนหนังคุณภาพดีสำหรับใช้ผลิตสินค้าของตน จึงต้องนำเข้าหนังฟอกจากต่างประเทศ โดย 99% นำเข้าหนังฟอกจากประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และสหรัฐอเมริกา แต่หากต้องการหนังฟอกที่มีลวดลายและสีสรรที่ทันสมัย จะต้องนำเข้าจากประเทศผู้นำแฟชั่น อย่างประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส
กระบวนการผลิต
วัตถุดิบหลักที่ใช้ในกระบวนการฟอกหนัง คือ
1. หนังสัตว์ ได้แก่ หนังโค กระบือ ม้า แกะ งู กระต่าย หมู จระเข้ ฯลฯ เนื่องจากหนังโคและกระบือเป็นหนังหาง่าย และเป็นที่นิยมมากกว่าหนังชนิดอื่นๆ ดังนั้น หนังที่ใช้ในการผลิตหนังฟอก 90% จึงเป็นหนังโคและกระบือ โดย 36% เป็นหนังที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 54% นำเข้าจากต่างประเทศ
2. สารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการฟอกและย้อมสี ซึ่งสารเคมีเกือบทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการ ฟอกหนังต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยน่ำเข้าจากเยอรมนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และอิตาลี ก่อนที่หนังดิบจะกลายเป็นหนังฟอกได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ซึ่งหนังที่ผ่านกระบวนการ ผลิตแต่ละขั้นตอนจะมีชื่อเรียกต่างกัน ดังนี้
1. Green Hides คือ หนังโคหรือกระบือที่ถูกชำแหละโดยเครื่องจักร และยังไม่ผ่านกระบวนการบำรุงรักษา (Treatment Process) หนังที่ได้จะมีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน ซึ่งปกติแล้ว ส่วนหัวของโคจะให้หนัง 20 กก. หรือประมาณ 30 ตารางฟุต ส่วนกระบือจะให้หนังประมาณ 44 กก.หรือ 40-45 ตารางฟุต
2. Raw Hides คือ หนังที่ผ่านกระบวนการบำรุงรักษาก่อนที่จะถูกนำไปฟอก แบ่งเป็น
- Wet salted hide คือหนังเขียวที่หมักโดยใช้เกลือ
- Brine Cure คือหนังเขียวที่ถูกแช่ในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูง
- Arsenicated hide คือ หนังเขียวที่ใช้สารหนูแล้วนำมาทำให้แห้ง
- Dry Salted hide คือ หนังเขียวที่หมักเกลือแล้ว นำมาทำให้แห้ง
3. Leather คือหนังที่ผ่านการฟอกและย้อมโดยใช้สารเคมี และสามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าได้ตามต้องการ ซึ่งตามปกติ ในขั้นตอนการฟอกหนังจะสูญเสียหนังประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนัก โดยหนังฟอกสามารถจำแนกได้ 3 ประเภทดังนี้
- หนังหน้า (Upper leather) ใช้สำหรับผลิตรองเท้า กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์
- หนังข้าง (Side leather) ใช้สำหรั้บทำถุงมือ เชือก
- เศษหนัง (Split leather) ใช้สำหรับทำของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง
4. Wet Blue คือ หนังที่อยู่ในระหว่างการผลิต ยังไม่สามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องหนังได้ โรงงานฟอกหนังที่ทำการผลิตหนัง Wet Blue เป็นหลัก จะจำหน่ายหนังให้กับโรงงานฟอกหนังทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยโรงงานฟอกหนังที่ซื้อหนัง Wet Blue ไปจะนำหนังไปผ่านกระบวนการฟอกให้กลายเป็นหนังสำเร็จรูป และทำการจำหน่ายให้กับโรงงานฟอกหนังอีกที
โครงสร้างต้นทุนการผลิตหนังฟอกไทย ประกอบด้วย(ชาร์ตวงกลมตามภาพในหนังสือ กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง หน้า 14)
1. ค่าวัตถุดิบ (หนังและสารเคมี) ร้อยละ 70
2. วัตถุดิบในประเทศ ร้อยละ 20
3. วัตถุดิบต่างประเทศ ร้อยละ 50
4. ค่าแรงงาน ร้อยละ 20
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร้อยละ 10
การตลาด
50% ของหนังที่ผลิตโดยโรงงานฟอกหนังขนาดใหญ่จะจำหน่ายในประเทศ ซึ่งลูกค้าจะมีทั้งที่เป็นผู้ผลิต เครื่องหนังภายในประเทศ และบริษัท trading ที่ซื้อหนังจากโรงงานฟอกหนัง แล้วนำไปขายต่อให้กับ โรงงานเครื่องหนังอีกที สำหรับหนังที่เหลือจากการจำหน่ายในประเทศจะถูกส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศ
จุดแข็งของอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย
1. ปัจจุบันผู้ผลิตไทยมีความสามารถในการผลิตงานที่หลากหลาย และใช้เวลาน้อย ขณะที่คู่แข่งใหม่ๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม ความสามารถด้อยกว่าไทย เนื่องจากผู้ผลิตไทยมีการ พัฒนาระบบการ ผลิตให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับระบบการผลิตให้ได้ตามคำสั่งของผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
2. สังคมไทย เป็นสังคมที่เปิดกว้าง ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เพศ และการนับถือศาสนา ทำให้ผู้ลงทุนชาวต่างชาติ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน ไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทย กอปรกับไทยมีที่ตั้งเป็น แหล่งยุทธศาสตร์ที่ดี สามารถใช้เป็นประโยชน์เชื่อมโยงสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดจีน อาเซียน และเอเชียใต้ จึงยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจของผู้ลงทุนต่างชาติ
จุดอ่อน
1. กระบวนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานและขาดระบบควบคุมคุณภาพ ทำให้หนังที่ผลิตเสร็จไม่ได้มาตรฐาน เช่น หนังสีเดียวกันที่ผลิตคนละล็อตกลับมีโทนสีไม่เท่ากัน เป็นต้น
2. โครงสร้างภาษีการนำเข้าวัตถุดิบบางอย่างยังมีอัตราสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งหนังดิบและหนังฟอกในประเทศ จึงต้องมีการนำเข้าหนังจากต่างประเทศโดยเฉพาะหนังคุณภาพดี
โอกาส
1. จากวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังซื้อตกต่ำ ส่งผลให้ผู้ผลิตเครื่องหนัง่ระดับคุณภาพของไทย มีการปรับตัวอย่างจริง่จังที่จะพัฒนาคุณภาพเครื่องหนังเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าว เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มยอดขายให้กับผู้ผลิตหนังฟอกไทย
2. ปัจจุบันโรงงานฟอกหนังมีกำลังการผลิตเหลือ พร้อมที่จะทำการผลิตหนังสำเร็จรูปมากขึ้น หากรัฐบาลส่งเสริมให้มีการน่ำเข้าหนังกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) ด้วยวิธีการต่างๆ
การแข่งขัน
1. คู่แข่งที่สำคัญในตลาดต่างประเทศ คือ ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศผู้นำแฟชั่น สามารถผลิตหนังล็อตใหญ่และขายให้กับลูกค้าได้ปริมาณน้อย โดยไม่มีความเสี่ยงในเรื่องตลาดที่จะมารองรับ
2. นโยบายและมาตรการของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี เช่น การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดของสหภาพยุโรป (Anti Dumping) การถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) การกำหนดคุณภาพมาตรฐานสินค้าและมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรม มาตรฐานแรงงานสากล เป็นต้น
3. นโยบายและมาตรการของประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลผลิตทาง ด้านหนังดิบเป็นจำนวนมาก และความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมหนังฟอกในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของจีนได้
หากมองถึงภาพรวมของโรงงานในอุตสาหกรรมฟอกหนังแล้ว พบว่า กระบวนการผลิตจะขึ้นอยู่กับเครื่องจักร และการตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการรับวัตถุดิบ จนกระทั่งผลิตเสร็จพร้อมจัดส่งให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ กระบวนการผลิตที่เสี่ยงต่อคุณภาพคือ กระบวนการผสมสีเพื่อพ่นสีหนัง ซึ่งหากควบคุมไม่ดีจะส่งผลให้สีหนังที่พ่นออกมาแต่ละล็อตไม่เหมือนกัน
แหล่งข้อมูล : จากการสัมภาษณ์นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย, รายงานสรุปผลการศึกษา กลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนัง สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
ที่มา : วารสารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีนาคม-เมษายน 2545
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-