กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้มีการจัดสัมมนาในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ผลการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เรื่อง "การค้าเสรี : ปรับตัวอย่างไร" โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา (นายอำนวย รองเงิน) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนา โดยได้กล่าวถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องติดตามสถานการณ์การค้าโลกที่มีการเปิดเสรีอย่างต่อเนื่อง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ดังนั้น ในการสัมมนาครั้งนี้จะช่วยสร้างความตื่นตัวให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสรับรู้ สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้และพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตน โดยที่ การจัดทำเขตการค้าเสรีถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกของรัฐบาลไทย ภายใต้กระแสการเปิดเสรีและเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและลดอุปสรรคทางการค้า พร้อมทั้งช่วยขยายการส่งออกและการลงทุนให้ภาคธุรกิจเอกชน ขณะนี้การเปิดเสรีได้มีการดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ทำการค้าได้ตระหนักถึงการค้าที่ควรอยู่บนพื้นฐานของความซื่อตรง เป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อถือบนศักดิ์ศรีของความเป็นไทย ที่จะทำให้คู่ค้าเกิดความมั่นใจตลอดไป
เริ่มการสัมมนาในช่วงเช้าด้วยการบรรยาย เรื่อง "ไทยกับการจัดทำเขตการค้าเสรี" โดย นักวิชาการพาณิชย์ 9 ชช.(นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และหลักการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยกับคู่เจรจา โดยสรุปได้เน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานำไปปรับใช้ประโยชน์ด้วยการเข้าไปแสวงหาโอกาสจากตลาดที่เปิด รวมทั้งเพื่อการเตรียมความพร้อมปรับตัว ให้สามารถแข่งขันกับตลาดที่จะเปิดต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อจากนั้น เป็นการบรรยายเรื่อง "สถานะล่าสุดของเขตการค้าเสรีอาเซียน" โดย ผู้อำนวยการสำนักวิชาการด้านวิเคราะห์และประเมินผลการเจรจา(นายฉัตรชัย เลื่อมประเสริฐ) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้กล่าวถึงรายละเอียดการจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจที่ไม่มีการเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับ ซึ่งในระยะต่อไปนี้ผู้ที่จะทำการค้าจะต้องสร้างศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะด้านคุณภาพของสินค้า เช่น สินค้าที่ปราศจากสารตกค้างหรือสิ่งเจือปน สินค้าที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก โดยอาจมีการติดตรายี่ห้อของตนเองเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เป็นต้น
ภาคบ่ายเป็นการอภิปรายเรื่อง "การค้าเสรี : ปรับตัวอย่างไร" ประกอบด้วยนักวิชาการและภาคเอกชน คือ รศ.ดร.สมบูรณ์ เจริญจิระตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนายชำนาญ นพคุณขจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท Southland Rubber จำกัด ดำเนินการอภิปรายโดย นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช
สำหรับการอภิปรายในมุมมองของภาคเอกชนได้กล่าวถึงการจัดทำเขตการค้าเสรีว่า ในส่วนใหญ่แล้วแต่ละประเทศที่จัดทำFTA จะไม่เปิดเสรีทั้งหมดอย่างแน่นอน เขาจะเก็บสินค้าที่ตนยังไม่พร้อมไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตในประเทศให้แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องยอมรับผลจากการเปิดเสรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องปรับตัวเตรียมความพร้อมของตน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือภาคเอกชนต้องสนใจให้ข้อมูลแก่ภาคราชการ เพื่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศบนเวทีต่างๆได้ถูกต้อง นอกจากนี้ ในการทำธุรกิจนั้นนอกจากจะคำนึงถึงต้นทุนแล้ว ควรมองจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรคทางการค้าของตนประกอบไปพร้อมๆกัน ส่วนการประเมินผลการจัดทำเขตการค้าเสรี นั้น นอกจาก สัดส่วนมูลค่าการค้า/GDP ที่เพิ่มขึ้นแล้ว จะต้องดูโอกาสทางการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบมูลค่าการค้าของเรากับตลาดทั่วโลก หรือ Market Share ที่ควรเพิ่มขึ้น สำหรับการจัดทำเขตการค้าเสรีกับจีนนั้น ไม่ควรมองจีนว่าเป็นคู่แข่งที่จะแย่งตลาด แต่ควรมองจีนให้เป็นผู้ร่วมทุน(Partner)กับไทยเพื่อจะร่วมกันทำการค้าระหว่างกันต่อไป
ด้านนักวิชาการได้ให้ข้อคิดว่า ทุกฝ่ายไม่สามารถหลีกเลี่ยงการค้าเสรีได้ โดยเฉพาะเมื่อWTO ล้มเหลว จะทำให้ประเทศต่างๆหันมาเจรจาทวิภาคีเพื่อการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการปกป้อง/คุ้มครองภาคการผลิตของตนไว้บ้าง แม้ชาติที่แข็งแกร่งด้านการเกษตร เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็ยังคงอุดหนุนเกษตรกรเพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ แต่การจัดทำเขตการค้าเสรียังคงมีประโยชน์ในการช่วยลดอุปสรรคทางการค้า ขยายการส่งออกและการลงทุน ขณะที่ควรตระหนักถึงการนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยจึงต้องระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการผลิตสินค้าและบริการของประเทศ เช่นการเกษตร การขนส่ง โทรคมนาคม และข้อตกลงที่จะมีผลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา กรณีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภาครัฐควรให้การคุ้มครองสิ่งที่เรามีความได้เปรียบ เช่น พันธุ์พืช สัตว์ และบริการนวดแผนโบราณ นอกจากนี้ ในการทำธุรกิจมิใช่อยู่ที่ต้นทุนหรือปัจจัยการผลิตเท่านั้น จะต้องมีการปรับเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคำนึงถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งระบบตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค ผู้ดำเนินการอภิปรายได้ชี้แจงว่า ในการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยกับคู่เจรจานั้นก่อนการจัดทำจะมีการศึกษา และประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างรอบคอบ ขณะนี้ได้มีการจัดจ้างนักวิชาการที่เชี่ยวชาญทำการศึกษา เพื่อนำข้อมูลจากทุกฝ่ายไปประกอบการพิจารณาจัดทำความตกลง และมีการเสนอผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อคิดเห็นต่างๆที่ได้รับจากสัมมนา ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะได้นำไปเสนอเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไป
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมสัมมนาอื่นๆได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำเขตการค้าเสรี เช่น ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงการเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับที่จะต้องก้าวไปพร้อมๆกัน ทั้ง
ผู้ส่งออก เกษตรกร ภาครัฐ และหน่วยสนับสนุนอื่นๆ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกษตรกรจะได้รับ ควรมีหน่วยงานเข้าไปดูแล และขอให้เกษตรกรได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เช่นในการสัมมนาครั้งนี้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ด้วย รวมทั้งเสนอให้มีการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้เช่นนี้ กระจายไปจังหวัดต่างๆอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง โดยขอให้มีความถี่เพิ่มขึ้น และควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามารับรู้ เพื่อจะได้สามารถเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับการเปิดเสรีกันอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
เริ่มการสัมมนาในช่วงเช้าด้วยการบรรยาย เรื่อง "ไทยกับการจัดทำเขตการค้าเสรี" โดย นักวิชาการพาณิชย์ 9 ชช.(นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และหลักการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยกับคู่เจรจา โดยสรุปได้เน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานำไปปรับใช้ประโยชน์ด้วยการเข้าไปแสวงหาโอกาสจากตลาดที่เปิด รวมทั้งเพื่อการเตรียมความพร้อมปรับตัว ให้สามารถแข่งขันกับตลาดที่จะเปิดต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อจากนั้น เป็นการบรรยายเรื่อง "สถานะล่าสุดของเขตการค้าเสรีอาเซียน" โดย ผู้อำนวยการสำนักวิชาการด้านวิเคราะห์และประเมินผลการเจรจา(นายฉัตรชัย เลื่อมประเสริฐ) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้กล่าวถึงรายละเอียดการจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจที่ไม่มีการเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับ ซึ่งในระยะต่อไปนี้ผู้ที่จะทำการค้าจะต้องสร้างศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะด้านคุณภาพของสินค้า เช่น สินค้าที่ปราศจากสารตกค้างหรือสิ่งเจือปน สินค้าที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก โดยอาจมีการติดตรายี่ห้อของตนเองเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เป็นต้น
ภาคบ่ายเป็นการอภิปรายเรื่อง "การค้าเสรี : ปรับตัวอย่างไร" ประกอบด้วยนักวิชาการและภาคเอกชน คือ รศ.ดร.สมบูรณ์ เจริญจิระตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนายชำนาญ นพคุณขจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท Southland Rubber จำกัด ดำเนินการอภิปรายโดย นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช
สำหรับการอภิปรายในมุมมองของภาคเอกชนได้กล่าวถึงการจัดทำเขตการค้าเสรีว่า ในส่วนใหญ่แล้วแต่ละประเทศที่จัดทำFTA จะไม่เปิดเสรีทั้งหมดอย่างแน่นอน เขาจะเก็บสินค้าที่ตนยังไม่พร้อมไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตในประเทศให้แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องยอมรับผลจากการเปิดเสรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องปรับตัวเตรียมความพร้อมของตน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือภาคเอกชนต้องสนใจให้ข้อมูลแก่ภาคราชการ เพื่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศบนเวทีต่างๆได้ถูกต้อง นอกจากนี้ ในการทำธุรกิจนั้นนอกจากจะคำนึงถึงต้นทุนแล้ว ควรมองจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรคทางการค้าของตนประกอบไปพร้อมๆกัน ส่วนการประเมินผลการจัดทำเขตการค้าเสรี นั้น นอกจาก สัดส่วนมูลค่าการค้า/GDP ที่เพิ่มขึ้นแล้ว จะต้องดูโอกาสทางการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบมูลค่าการค้าของเรากับตลาดทั่วโลก หรือ Market Share ที่ควรเพิ่มขึ้น สำหรับการจัดทำเขตการค้าเสรีกับจีนนั้น ไม่ควรมองจีนว่าเป็นคู่แข่งที่จะแย่งตลาด แต่ควรมองจีนให้เป็นผู้ร่วมทุน(Partner)กับไทยเพื่อจะร่วมกันทำการค้าระหว่างกันต่อไป
ด้านนักวิชาการได้ให้ข้อคิดว่า ทุกฝ่ายไม่สามารถหลีกเลี่ยงการค้าเสรีได้ โดยเฉพาะเมื่อWTO ล้มเหลว จะทำให้ประเทศต่างๆหันมาเจรจาทวิภาคีเพื่อการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการปกป้อง/คุ้มครองภาคการผลิตของตนไว้บ้าง แม้ชาติที่แข็งแกร่งด้านการเกษตร เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็ยังคงอุดหนุนเกษตรกรเพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ แต่การจัดทำเขตการค้าเสรียังคงมีประโยชน์ในการช่วยลดอุปสรรคทางการค้า ขยายการส่งออกและการลงทุน ขณะที่ควรตระหนักถึงการนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยจึงต้องระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการผลิตสินค้าและบริการของประเทศ เช่นการเกษตร การขนส่ง โทรคมนาคม และข้อตกลงที่จะมีผลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา กรณีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภาครัฐควรให้การคุ้มครองสิ่งที่เรามีความได้เปรียบ เช่น พันธุ์พืช สัตว์ และบริการนวดแผนโบราณ นอกจากนี้ ในการทำธุรกิจมิใช่อยู่ที่ต้นทุนหรือปัจจัยการผลิตเท่านั้น จะต้องมีการปรับเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคำนึงถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งระบบตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค ผู้ดำเนินการอภิปรายได้ชี้แจงว่า ในการจัดทำเขตการค้าเสรีของไทยกับคู่เจรจานั้นก่อนการจัดทำจะมีการศึกษา และประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างรอบคอบ ขณะนี้ได้มีการจัดจ้างนักวิชาการที่เชี่ยวชาญทำการศึกษา เพื่อนำข้อมูลจากทุกฝ่ายไปประกอบการพิจารณาจัดทำความตกลง และมีการเสนอผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อคิดเห็นต่างๆที่ได้รับจากสัมมนา ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะได้นำไปเสนอเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไป
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมสัมมนาอื่นๆได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำเขตการค้าเสรี เช่น ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงการเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับที่จะต้องก้าวไปพร้อมๆกัน ทั้ง
ผู้ส่งออก เกษตรกร ภาครัฐ และหน่วยสนับสนุนอื่นๆ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกษตรกรจะได้รับ ควรมีหน่วยงานเข้าไปดูแล และขอให้เกษตรกรได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เช่นในการสัมมนาครั้งนี้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ด้วย รวมทั้งเสนอให้มีการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้เช่นนี้ กระจายไปจังหวัดต่างๆอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง โดยขอให้มีความถี่เพิ่มขึ้น และควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามารับรู้ เพื่อจะได้สามารถเตรียมพร้อมปรับตัวรองรับการเปิดเสรีกันอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-