แท็ก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมมองว่าแนวโน้มการเมืองปีหน้า คงจะมีลักษณะของความต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา แต่ว่าอาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้น ก็คือรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ คงจะเดินหน้าในความพยายามที่จะรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น ดึงความสนใจ ดึงอำนาจการตัดสินใจต่างๆออกไปจากฝ่ายสภามากขึ้น เพื่อไปรวมศูนย์อยู่ที่ตัวนายกฯเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลพยายามไม่ให้ความสำคัญกับสภาก็ดี การทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลในสังคมมีความอ่อนแอมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะเห็นแนวโน้มนี้ต่อไป เพราะว่าก็เป็นแนวทางของนายกฯที่ต้องการจะปรับระบบการเมืองประเทศไทยให้ทุกอย่างไปรวมศูนย์อยู่ที่ตัวผู้นำ ซึ่งจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากขึ้น ในส่วนของสภาและพรรคการเมือง การรวบอำนาจตรงนี้ก็คงจะเข้มข้นขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะจะเป็นช่วงที่ตามรัฐธรรมนูญ หากตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งซ่อม เพราะฉะนั้นก็คงเป็นจังหวะที่ทางแกนนำรัฐบาลจะใช้ในการให้ ส.ส.ที่จะย้ายพรรคสามารถดำเนินการย้ายพรรคได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งปี 2548 นอกจากนี้วิธีการที่รัฐบาลนี้ใช้มาตลอดคือเรื่องของประชานิยม ก็จะเข้มข้นมากขึ้นเพื่อจะรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ถ้าสภาอยู่ครบวาระ
ตั้งแต่ต้นปีก็จะมีเรื่องของการขึ้นทะเบียนคนจนทั่วประเทศ และก็มีความพยายามที่จะหาทางให้มีเงินโดยเฉพาะงินกู้มาหมุนเวียนเพิ่มเติม เนื่องจากว่าโครงการประชานิยมเดิมๆ เริ่มอ่อนแอลง เพราะว่าการพักชำระหนี้ก็จะครบกำหนด กองทุนหมู่บ้านก็จะต้องมีการชำระเงินกันอีกรอบในช่วงปลายปีนี้กับต้นปีหน้า การขึ้นทะเบียนก็จะนำไปสู่แนวทางที่จะให้ประชาชนสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้เพิ่อมาใช้จ่าย แล้วก็ทำให้ตัวเลขหมุนเวียนทางเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลเองก็มีแนวคิดที่จะใช้เงินงบประมาณมากขึ้น ถึงเมื่อเก็บภาษีได้เกินเป้าแทนที่จะปรับฐานะทางคลังในสู่ภาวะสมดุลหรือเกินดุลเร็วขึ้น ก็จะตัดสินใจที่จะเอาเงินออกมาใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจมันมีความต่อเนื่องไป เพราะฉะนั้นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่างบประมาณกลลางปีเกิดขึ้น แล้วก็จะมีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการครูหรือกลุ่มอื่นๆ เพราะว่าเป้นไปเพื่อให้สอดครับกับแนวทางปประชานิยมแล้วก็ผลทางการเมืองที่รัฐบาลตั้งไว้ รวมไปถึงการเดินหน้าต่อในเรื่องของการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ขยายในเรื่องของอบายมุขและสิ่งอื่นให้มาเป็นตัวเลขที่หมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผมก็มองว่านี่คือแนวทางซึ่งเป็นความต่อเนื่องทางความคิดของรัฐบาลชุดนี้ แต่จะต้องเพิ่มความเข้มข้นเป็นพิเศษในปี 2547 เพื่อรองรับกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น
คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง
ยังอยู่ในกรอบความคิดเดิมของรัฐบาลและนายกฯ ที่พยายามสร้างความพึงพอใจเฉพาะหน้าเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินความน่าอยู่ของสังคม หรือความผาสุขของประชาชนอยู่ที่ตัวเลขของการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าแนวทางนี้ได้ผล ก็จะส่งผลในเรื่องของการสนับสนุนทางการเมือง แต่สำหรับประเทศ สำหรับสังคม ก็เป็นแนวทางที่นำประเทศไปสู่ความเสี่ยงและความเสื่อมมากขึ้น ความเสี่ยงคือ 3 ปีที่ผ่านมา แนวทางนี้ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีการลงทุนในแง่ของการเพิ่มความสามารถในการผลิต หรือมีการปรับตัวไปสู่ความพร้อมความเข้มแข็งมากขึ้น แต่เป็นการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับธุรกิจบางกลุ่ม ความเสี่ยงตรงนี้คือ แนวทางอย่างนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป และสุดท้ายผลที่เป็น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1/02/47--จบ--
-สส-
ตั้งแต่ต้นปีก็จะมีเรื่องของการขึ้นทะเบียนคนจนทั่วประเทศ และก็มีความพยายามที่จะหาทางให้มีเงินโดยเฉพาะงินกู้มาหมุนเวียนเพิ่มเติม เนื่องจากว่าโครงการประชานิยมเดิมๆ เริ่มอ่อนแอลง เพราะว่าการพักชำระหนี้ก็จะครบกำหนด กองทุนหมู่บ้านก็จะต้องมีการชำระเงินกันอีกรอบในช่วงปลายปีนี้กับต้นปีหน้า การขึ้นทะเบียนก็จะนำไปสู่แนวทางที่จะให้ประชาชนสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้เพิ่อมาใช้จ่าย แล้วก็ทำให้ตัวเลขหมุนเวียนทางเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลเองก็มีแนวคิดที่จะใช้เงินงบประมาณมากขึ้น ถึงเมื่อเก็บภาษีได้เกินเป้าแทนที่จะปรับฐานะทางคลังในสู่ภาวะสมดุลหรือเกินดุลเร็วขึ้น ก็จะตัดสินใจที่จะเอาเงินออกมาใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจมันมีความต่อเนื่องไป เพราะฉะนั้นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่างบประมาณกลลางปีเกิดขึ้น แล้วก็จะมีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการครูหรือกลุ่มอื่นๆ เพราะว่าเป้นไปเพื่อให้สอดครับกับแนวทางปประชานิยมแล้วก็ผลทางการเมืองที่รัฐบาลตั้งไว้ รวมไปถึงการเดินหน้าต่อในเรื่องของการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ขยายในเรื่องของอบายมุขและสิ่งอื่นให้มาเป็นตัวเลขที่หมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผมก็มองว่านี่คือแนวทางซึ่งเป็นความต่อเนื่องทางความคิดของรัฐบาลชุดนี้ แต่จะต้องเพิ่มความเข้มข้นเป็นพิเศษในปี 2547 เพื่อรองรับกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น
คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง
ยังอยู่ในกรอบความคิดเดิมของรัฐบาลและนายกฯ ที่พยายามสร้างความพึงพอใจเฉพาะหน้าเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินความน่าอยู่ของสังคม หรือความผาสุขของประชาชนอยู่ที่ตัวเลขของการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าแนวทางนี้ได้ผล ก็จะส่งผลในเรื่องของการสนับสนุนทางการเมือง แต่สำหรับประเทศ สำหรับสังคม ก็เป็นแนวทางที่นำประเทศไปสู่ความเสี่ยงและความเสื่อมมากขึ้น ความเสี่ยงคือ 3 ปีที่ผ่านมา แนวทางนี้ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีการลงทุนในแง่ของการเพิ่มความสามารถในการผลิต หรือมีการปรับตัวไปสู่ความพร้อมความเข้มแข็งมากขึ้น แต่เป็นการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับธุรกิจบางกลุ่ม ความเสี่ยงตรงนี้คือ แนวทางอย่างนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป และสุดท้ายผลที่เป็น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1/02/47--จบ--
-สส-