นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผย ในระหว่างการจัด ASEAN Finance Ministers Investor Seminar หรือการจัด Roadshow ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 2 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ว่าการเจรจาความตกลงบริการ ด้านการเงิน ภายใต้เขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ ในรอบที่ 5 นี้จะมีขึ้น ระหว่างวันที่ 23-24 กันยายน 2548 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา การเจรจาครั้งนี้เป็นที่จับตาจากฝ่ายสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก เนื่องจากในการเจรจาครั้งที่แล้ว สหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ฝ่ายไทยเสนอร่างความตกลงฯ ต่อฝ่ายสหรัฐฯ โดยใช้ร่างของสหรัฐฯ เป็นพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายไทยได้เตรียมสำหรับการเจรจารอบนี้ ดังนี้
1. ได้มีการหารือกันระหว่างหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2548 ได้แก่ อธิบดีกรมการประกันภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสมาคมธุรกิจจัดการลงทุน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อพิจารณากำหนดท่าที ในการเจรจาในรอบที่ 5
2. ได้ยกร่างความตกลงบริการด้านการเงิน ฉบับของฝ่ายไทย ซึ่งหลักก็คือจะเปิดเสรีบริการ ด้านการเงินเฉพาะสาขาธุรกิจการเงินที่ไทยต้องการจะเปิด ซึ่งเป็นการสะท้อน Framework การเจรจาของฝ่ายไทยที่ได้แจ้งแก่ฝ่ายสหรัฐฯ ในการเจรจาช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ 1) ต้องการเปิดเสรี ภาคการเงินอย่างเป็นขั้นตอนตามลำดับเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ภายในประเทศ 2) ประเทศไทยอยู่ในระหว่างดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างระบบการเงินภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายซึ่งต้องอาศัยเวลาในการเปิดเสรี 3) ความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องมีความยืดหยุ่นใน การดำเนินนโยบายด้าน Prudential และเศรษฐกิจมหภาคเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และการเงิน ซึ่ง นายนริศฯ กล่าวว่าร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการเจรจาฝ่ายไทย ที่ได้มีความพยายามทำให้การเจรจามีความคืบหน้า โดยในมาตราที่ฝ่ายไทยยอมรับได้โดยไม่มีปัญหา ในการปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศ ฝ่ายไทยก็ได้รับมาไว้ในร่างความตกลงฯ ที่ฝ่ายได้ยกร่างขึ้น เช่นบทบัญญัติด้านความโปร่งใสในเรื่องการกำกับดูแลบริการด้านการเงินในประเทศ การจัดตั้ง Finance Services Committee สำหรับดูแลการดำเนินการภายใต้ความตกลงฯ และช่วยกลั่นกรองประเด็นข้อ ขัดแย้งที่อาจจะนำไปสู่กรณีมีข้อพิพาท เป็นต้น นอกจากนี้ ในร่างความตกลงฯ ฝ่ายไทยได้เพิ่มเติมประเด็น Restrictions to Safeguard the Balance of Payment เพื่อต้องการให้มีช่องทางยืดหยุ่น กรณีประสบปัญหา ด้านดุลบัญชีการชำระเงิน อันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสถานะเงินทุนสำรองของประเทศ
นายนริศฯ กล่าวว่า ฝ่ายไทยยังเสนอให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ Prudential Measures and Macro-economic and Financial Stability เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินมาตรการใดๆ ภายใต้ความตกลงฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจมหภาค
นอกจากนี้ นายนริศฯ ยังเปิดเผยอีกว่า คณะผู้แทนไทยมีกำหนดการจะหารือกับผู้แทนหน่วยงานกำกับ ดูแลบริการด้านการเงินของสหรัฐฯ เพื่อรับทราบกฎเกณฑ์การเข้าไปทำธุรกิจการเงินในสหรัฐฯ ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System) สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของสหรัฐฯ รวมทั้ง Office of Comptroller of Currency ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูบริการการเงินภายใต้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาครั้งนี้จะสร้างความเข้าใจ ร่วมกัน และถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของฝ่ายไทยที่ต้องการจะมีการเปิดเสรีบริการด้านการเงิน อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาบริการด้านการเงินของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 76/2548 21 กันยายน 48--
1. ได้มีการหารือกันระหว่างหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2548 ได้แก่ อธิบดีกรมการประกันภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสมาคมธุรกิจจัดการลงทุน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อพิจารณากำหนดท่าที ในการเจรจาในรอบที่ 5
2. ได้ยกร่างความตกลงบริการด้านการเงิน ฉบับของฝ่ายไทย ซึ่งหลักก็คือจะเปิดเสรีบริการ ด้านการเงินเฉพาะสาขาธุรกิจการเงินที่ไทยต้องการจะเปิด ซึ่งเป็นการสะท้อน Framework การเจรจาของฝ่ายไทยที่ได้แจ้งแก่ฝ่ายสหรัฐฯ ในการเจรจาช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ 1) ต้องการเปิดเสรี ภาคการเงินอย่างเป็นขั้นตอนตามลำดับเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ภายในประเทศ 2) ประเทศไทยอยู่ในระหว่างดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างระบบการเงินภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายซึ่งต้องอาศัยเวลาในการเปิดเสรี 3) ความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องมีความยืดหยุ่นใน การดำเนินนโยบายด้าน Prudential และเศรษฐกิจมหภาคเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และการเงิน ซึ่ง นายนริศฯ กล่าวว่าร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการเจรจาฝ่ายไทย ที่ได้มีความพยายามทำให้การเจรจามีความคืบหน้า โดยในมาตราที่ฝ่ายไทยยอมรับได้โดยไม่มีปัญหา ในการปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศ ฝ่ายไทยก็ได้รับมาไว้ในร่างความตกลงฯ ที่ฝ่ายได้ยกร่างขึ้น เช่นบทบัญญัติด้านความโปร่งใสในเรื่องการกำกับดูแลบริการด้านการเงินในประเทศ การจัดตั้ง Finance Services Committee สำหรับดูแลการดำเนินการภายใต้ความตกลงฯ และช่วยกลั่นกรองประเด็นข้อ ขัดแย้งที่อาจจะนำไปสู่กรณีมีข้อพิพาท เป็นต้น นอกจากนี้ ในร่างความตกลงฯ ฝ่ายไทยได้เพิ่มเติมประเด็น Restrictions to Safeguard the Balance of Payment เพื่อต้องการให้มีช่องทางยืดหยุ่น กรณีประสบปัญหา ด้านดุลบัญชีการชำระเงิน อันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสถานะเงินทุนสำรองของประเทศ
นายนริศฯ กล่าวว่า ฝ่ายไทยยังเสนอให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ Prudential Measures and Macro-economic and Financial Stability เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินมาตรการใดๆ ภายใต้ความตกลงฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจมหภาค
นอกจากนี้ นายนริศฯ ยังเปิดเผยอีกว่า คณะผู้แทนไทยมีกำหนดการจะหารือกับผู้แทนหน่วยงานกำกับ ดูแลบริการด้านการเงินของสหรัฐฯ เพื่อรับทราบกฎเกณฑ์การเข้าไปทำธุรกิจการเงินในสหรัฐฯ ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System) สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของสหรัฐฯ รวมทั้ง Office of Comptroller of Currency ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูบริการการเงินภายใต้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาครั้งนี้จะสร้างความเข้าใจ ร่วมกัน และถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของฝ่ายไทยที่ต้องการจะมีการเปิดเสรีบริการด้านการเงิน อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาบริการด้านการเงินของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 76/2548 21 กันยายน 48--