วันนี้ (4 ก.พ.47) เวลา 08.40 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ข่าวยามเช้า คลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิรต์ ถึงการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2547 จำนวน 135,500 ล้านบาทว่า เงินงบประมาณดังกล่าวเมื่อรวมกับการชดใช้เงินคงคลังอีกจำนวน 39,000 ล้านบาทแล้ว จะเท่ากับว่าในปีนี้รัฐบาลจะต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มเติมจากเดิมกว่า 170,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเสนอเงินงบประมาณจำนวนนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ของเศรษฐกิจ ขณะนี้รัฐบาลกล่าวอยู่เสมอว่าเศรษฐกิจดีขึ้นและจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเหตุผลดังกล่าวก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ภาวะสมดุลหรือเกินดุลเร็วขึ้น รวมทั้งจะเป็นการลดหนี้สาธารณะไปในตัวด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลกลับตัดสินใจใช้เงินเพิ่ม สวนทางกับที่บอกกับประชาชนอยู่เสมอว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ขัดกันอยู่ในตัวในแง่ของเศรษฐกิจ
และหากกลับไปมองในจำนวนเงิน 135,500 ล้านบาท แล้วจะพบว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของข้าราชการ ซึ่งมีเหตุผลคือจะมีการเตรียมการขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการจำนวน 16,570 ล้านบาท ในส่วนของโครงการเกษียรอายุก่อนกำหนดประมาณ 14,560 ล้าน และเรื่องบำเหน็จดำรงชีพอีกประมาณ 33,040 ล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าการดำเนินโครงการต่างๆเหล่านี้ รัฐบาลทำเพื่อต้องการหวังผลทางการเมืองเป็นหลัก เพราะการขึ้นเงินเดือนหรือการเกษียรอายุก่อนกำหนด ไม่มีการวางแผนอย่างชัดเจน ทั้งที่ควรจะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่งบประมาณปีที่ผ่านมา
‘เรื่องนี้ผมได้ตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ผมเชื่อว่าพอใกล้เลือกตั้งรัฐบาลจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ คือเป็นเรื่องของการดำเนินงานในลักษณะของการเมืองมากกว่า เพราะจริงๆแล้วเงินเดือนข้าราชการไม่ได้ขึ้นมา 10 แล้ว ตอนนี้ก็มีความจำเป็นแต่ว่ารัฐบาลไม่ใช่โอกาสนี้ในการปฏิรูป รัฐบาลมาเสนอเอาช่วงท้ายๆ แล้วที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องของข้าราชการครูที่รัฐบาลถ่วงแล้วก็ไม่ยอมขึ้นเงินเดือนมาโดยตลอด แล้วสุดท้ายผมก็ไม่แน่ใจว่าเงิน 16,000 กว่าล้านนั้น เป็นของข้าราชการครูด้วยหรือไม่ และถ้าถามผมว่าค่าตอบแทนบุคลากรควรจะมีมั๊ย ควรจะมี แต่ว่าการทำของรัฐบาลในขณะนี้และที่ผ่านมา ไม่ได้ทำในลักษณะที่เป็นระบบ และดูมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเข้ามาเป็นตัวหลัก’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เมื่อกลับไปดูตัวเลขงบประมาณ 59,000 ล้านที่ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ซึ่งไม่มีรายละเอียดเลยว่าจะนำงบประมาณจำนวนนี้จะนำไปใช้ด้านใดบ้าง เป็นการตั้งขึ้นมาลอยๆและให้อำนาจนายกฯเป็นผู้เบิกจ่ายได้ ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์ของหลักรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า เงินงบประมาณเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน เวลาที่รัฐบาลต้องการใช้จ่ายจะต้องมารายงานต่อสภาฯที่ถือเป็นตัวแทนของประชาชนตามหลักรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5/02/47--จบ--
-สส-
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ของเศรษฐกิจ ขณะนี้รัฐบาลกล่าวอยู่เสมอว่าเศรษฐกิจดีขึ้นและจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเหตุผลดังกล่าวก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ภาวะสมดุลหรือเกินดุลเร็วขึ้น รวมทั้งจะเป็นการลดหนี้สาธารณะไปในตัวด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลกลับตัดสินใจใช้เงินเพิ่ม สวนทางกับที่บอกกับประชาชนอยู่เสมอว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ขัดกันอยู่ในตัวในแง่ของเศรษฐกิจ
และหากกลับไปมองในจำนวนเงิน 135,500 ล้านบาท แล้วจะพบว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของข้าราชการ ซึ่งมีเหตุผลคือจะมีการเตรียมการขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการจำนวน 16,570 ล้านบาท ในส่วนของโครงการเกษียรอายุก่อนกำหนดประมาณ 14,560 ล้าน และเรื่องบำเหน็จดำรงชีพอีกประมาณ 33,040 ล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าการดำเนินโครงการต่างๆเหล่านี้ รัฐบาลทำเพื่อต้องการหวังผลทางการเมืองเป็นหลัก เพราะการขึ้นเงินเดือนหรือการเกษียรอายุก่อนกำหนด ไม่มีการวางแผนอย่างชัดเจน ทั้งที่ควรจะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่งบประมาณปีที่ผ่านมา
‘เรื่องนี้ผมได้ตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ผมเชื่อว่าพอใกล้เลือกตั้งรัฐบาลจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ คือเป็นเรื่องของการดำเนินงานในลักษณะของการเมืองมากกว่า เพราะจริงๆแล้วเงินเดือนข้าราชการไม่ได้ขึ้นมา 10 แล้ว ตอนนี้ก็มีความจำเป็นแต่ว่ารัฐบาลไม่ใช่โอกาสนี้ในการปฏิรูป รัฐบาลมาเสนอเอาช่วงท้ายๆ แล้วที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องของข้าราชการครูที่รัฐบาลถ่วงแล้วก็ไม่ยอมขึ้นเงินเดือนมาโดยตลอด แล้วสุดท้ายผมก็ไม่แน่ใจว่าเงิน 16,000 กว่าล้านนั้น เป็นของข้าราชการครูด้วยหรือไม่ และถ้าถามผมว่าค่าตอบแทนบุคลากรควรจะมีมั๊ย ควรจะมี แต่ว่าการทำของรัฐบาลในขณะนี้และที่ผ่านมา ไม่ได้ทำในลักษณะที่เป็นระบบ และดูมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเข้ามาเป็นตัวหลัก’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เมื่อกลับไปดูตัวเลขงบประมาณ 59,000 ล้านที่ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ซึ่งไม่มีรายละเอียดเลยว่าจะนำงบประมาณจำนวนนี้จะนำไปใช้ด้านใดบ้าง เป็นการตั้งขึ้นมาลอยๆและให้อำนาจนายกฯเป็นผู้เบิกจ่ายได้ ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์ของหลักรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า เงินงบประมาณเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน เวลาที่รัฐบาลต้องการใช้จ่ายจะต้องมารายงานต่อสภาฯที่ถือเป็นตัวแทนของประชาชนตามหลักรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5/02/47--จบ--
-สส-