กรุงเทพ--9 ก.พ.--กระทรวงการต่างประเทศ
ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 ณ โรงแรม Grand Hyall Bali
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 18.00 น. ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายในวันแรก สรุปได้ดังนี้
ดร.สรจักรฯ ได้แจ้งว่าการประชุมในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเป็นการประชุมแบบเต็มคณะนอกกรอบขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่มีความหลากหลายจากสามทวีปในระดับที่สูง โดยมีประเทศ เข้าร่วมจากภูมิภาคต่างๆ จำนวน 25 ประเทศ โดยเป็นระดับรัฐมนตรีว่าการจำนวน 20 คน ระดับ รัฐมนตรีช่วยและผู้ช่วยรัฐมนตรีจำนวน 9 คน ซึ่งบางประเทศได้มาร่วมประชุมทั้งรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วย นอกจากนี้ก็มีผู้แทนของ UN สภาพยุโรป (EU) องค์การระหว่างประเทศต่างๆ เข้าร่วมด้วย
การประชุมได้แบ่งเป็น 2 หัวข้อหลักได้แก่ ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและ การตอบโต้จากภูมิภาคและความร่วมมือในด้านการบังคับใช้กฎหมายด้านแลกเปลี่ยนข้อมูลและกรอบทางกฎหมาย สาระส่วนใหญ่ที่ผู้แทนประเทศต่างๆ แถลงในที่ประชุมเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประสบการณ์การปฏิบัติงานในการต่อต้านการก่อการร้ายในประเทศตน และการดำเนินการ ในด้านกฎหมาย การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ทั้งนี้ ผู้แทนประเทศต่างๆ เกือบทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันว่าภัยคุกคามในเรื่องการก่อการร้ายที่สำคัญมาจากกลุ่ม Al Qaeda และ J.I นอกจากนั้น ที่น่าสนใจได้แก่การนำผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีการจับกุมคนร้ายจากเหตุการณ์ระเบิดที่บาหลี โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมืออย่างใกล้ชิระหว่างประเทศ ซึ่งนำมาสู่การจับกุม คนร้ายได้ในที่สุด ปัจจุบันภัยก่อการร้ายเป็นเรื่องข้ามพรมแดน เพราะฉะนั้นความร่วมมือของ แต่ละประเทศก็ต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน
ในส่วนของไทย ดร. สรจักรฯ กล่าวว่าได้รับมอบหมายจากที่ประชุมให้ แถลงนำในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและข่าวกรอง โดยได้เน้นในด้านความจำเป็นที่จะต้องมีความเชื่อมั่น ความเชื่อใจและการปกปิดรักษาความลับ (Trust & Confidentiality) ต่อกัน ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการปราบปรามการก่อการร้าย โดยได้ยกตัวอย่างการจับกุมนายฮัมบาลี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีคณะทำงาน การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างเครือข่ายร่วมกัน ซึ่งที่ประชุมกลุ่มอาเซียนในเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติที่กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้มีข้อเสนอให้แต่ละประเทศมีศูนย์กลางในการติดต่อ ( focal point ) เพียงจุดเดียว หรือมีระบบ Hot Line และหารือระบบเตือนภัยล่วงหน้า ( Early Warning ) ร่วมกัน นอกจากนี้ได้ให้ความสำคัญกับกลไกทางกฎหมายอีกหลายกรอบ เช่น ความตกลงเกี่ยวกับฐานความผิดคดีอาญา การทำ MOU กับประเทศต่างๆ ในเรื่องการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลทางด้าน Financial Intelligence เพื่อสืบหาร่องรอยและสกัดกั้นกระบวนการก่อการร้าย ทั้งนี้ จะมีการรวบรวมประเด็นและข้อเสนอต่างๆ สู่การพิจารณาของที่ประชุมไม่เป็นทางการในการประชุมวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 ณ โรงแรม Grand Hyall Bali
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 18.00 น. ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายในวันแรก สรุปได้ดังนี้
ดร.สรจักรฯ ได้แจ้งว่าการประชุมในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเป็นการประชุมแบบเต็มคณะนอกกรอบขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่มีความหลากหลายจากสามทวีปในระดับที่สูง โดยมีประเทศ เข้าร่วมจากภูมิภาคต่างๆ จำนวน 25 ประเทศ โดยเป็นระดับรัฐมนตรีว่าการจำนวน 20 คน ระดับ รัฐมนตรีช่วยและผู้ช่วยรัฐมนตรีจำนวน 9 คน ซึ่งบางประเทศได้มาร่วมประชุมทั้งรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วย นอกจากนี้ก็มีผู้แทนของ UN สภาพยุโรป (EU) องค์การระหว่างประเทศต่างๆ เข้าร่วมด้วย
การประชุมได้แบ่งเป็น 2 หัวข้อหลักได้แก่ ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและ การตอบโต้จากภูมิภาคและความร่วมมือในด้านการบังคับใช้กฎหมายด้านแลกเปลี่ยนข้อมูลและกรอบทางกฎหมาย สาระส่วนใหญ่ที่ผู้แทนประเทศต่างๆ แถลงในที่ประชุมเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประสบการณ์การปฏิบัติงานในการต่อต้านการก่อการร้ายในประเทศตน และการดำเนินการ ในด้านกฎหมาย การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ทั้งนี้ ผู้แทนประเทศต่างๆ เกือบทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันว่าภัยคุกคามในเรื่องการก่อการร้ายที่สำคัญมาจากกลุ่ม Al Qaeda และ J.I นอกจากนั้น ที่น่าสนใจได้แก่การนำผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีการจับกุมคนร้ายจากเหตุการณ์ระเบิดที่บาหลี โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมืออย่างใกล้ชิระหว่างประเทศ ซึ่งนำมาสู่การจับกุม คนร้ายได้ในที่สุด ปัจจุบันภัยก่อการร้ายเป็นเรื่องข้ามพรมแดน เพราะฉะนั้นความร่วมมือของ แต่ละประเทศก็ต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน
ในส่วนของไทย ดร. สรจักรฯ กล่าวว่าได้รับมอบหมายจากที่ประชุมให้ แถลงนำในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและข่าวกรอง โดยได้เน้นในด้านความจำเป็นที่จะต้องมีความเชื่อมั่น ความเชื่อใจและการปกปิดรักษาความลับ (Trust & Confidentiality) ต่อกัน ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการปราบปรามการก่อการร้าย โดยได้ยกตัวอย่างการจับกุมนายฮัมบาลี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีคณะทำงาน การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างเครือข่ายร่วมกัน ซึ่งที่ประชุมกลุ่มอาเซียนในเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติที่กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้มีข้อเสนอให้แต่ละประเทศมีศูนย์กลางในการติดต่อ ( focal point ) เพียงจุดเดียว หรือมีระบบ Hot Line และหารือระบบเตือนภัยล่วงหน้า ( Early Warning ) ร่วมกัน นอกจากนี้ได้ให้ความสำคัญกับกลไกทางกฎหมายอีกหลายกรอบ เช่น ความตกลงเกี่ยวกับฐานความผิดคดีอาญา การทำ MOU กับประเทศต่างๆ ในเรื่องการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลทางด้าน Financial Intelligence เพื่อสืบหาร่องรอยและสกัดกั้นกระบวนการก่อการร้าย ทั้งนี้ จะมีการรวบรวมประเด็นและข้อเสนอต่างๆ สู่การพิจารณาของที่ประชุมไม่เป็นทางการในการประชุมวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-