คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกร่างกฎหมายว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตราย (Restriction on
Hazardous Substances: RoHS) เมื่อเดือนมกราคม 2546 กำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและ
ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป (European Union: EU) ต้องจำกัดปริมาณการใช้สารอันตราย
6 ชนิด คือ ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท โครเมียม-6 (Hexavalent Chromium) โพลิโบรมิเนต ไบฟีนิล
(Polybrominated Biphenyls: PBB) และโพรลิโบรมิเนต ไดฟีนิล อีเทอร์ (Polybrominated
Diphenyl Ethers: PBDE) โดยหันไปใช้สารชนิดอื่นทดแทนเพื่อลดผลกระทบที่อาจมีต่อสุขอนามัยของประชาชน
และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ สมาชิก EU อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎหมายให้สอดคล้องกับร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งคาด
ว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย RoHS
ประเภทของสินค้าที่เข้าข่ายจำกัดการใช้สารอันตราย มีดังนี้
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาทิ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และเตารีด
- อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม อาทิ คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ
- อุปกรณ์ให้ความสว่าง อาทิ หลอดไฟฟ้า
- เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภค อาทิ โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ และวิทยุ
- เครื่องมือไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ สว่านไฟฟ้าและจักรเย็บผ้า
- ของเล่นและอุปกรณ์กีฬาที่ใช้ไฟฟ้า อาทิ เกมส์และรถบังคับวิทยุ
- เครื่องอัตโนมัติ อาทิ ตู้เอทีเอ็มและตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ
ปริมาณสูงสุดของสารอันตรายแต่ละชนิดที่ยอมรับได้ มีรายละเอียดดังนี้
สารอันตราย ตะกั่ว1/ ปรอท2/ แคดเมียม3/ โครเมียม-64/ PBB PBDE
ปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ 1,000 1,000 100 1,000 1,000 1,000
(part per million: ppm)
ที่มา สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
หมายเหตุ
1/ อนุญาตให้ใช้สารตะกั่วในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตหลอดภาพและชิ้นส่วน
อิเล็กทรอนิกส์
2/ อนุญาตให้ใช้สารปรอทในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตอุปกรณ์ให้แสงสว่าง
ประเภทหลอดไฟ
3/ อนุญาตให้ใช้สารแคดเมียมในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตสารเคลือบผิว
ผลิตภัณฑ์
4/ อนุญาตให้ใช้สารโครเมียม-6 ในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิต
Absorption Refrigerators
จากข้อกำหนดดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องลดปริมาณการใช้สารเหล่านั้นและหันไปใช้สารชนิดอื่นทด
แทน ยกเว้นสินค้าบางประเภทที่ยังสามารถใช้สารอันตรายบางชนิดในปริมาณสูงกว่าที่กำหนดได้หากยังไม่สามารถคิด
ค้นสารชนิดอื่นมาทดแทน ซึ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณสูงสุดของสารอันตรายที่ยอมรับได้และข้อยกเว้นอาจมีการเปลี่ยน
แปลงหากมีการคิดค้นสารทดแทนได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สินค้าที่ต้องการส่งออกไปจำหน่ายยัง EU ต้องผ่านการทดสอบจาก
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก EU ว่ามีการใช้สารอันตรายอยู่ในระดับที่กฎหมาย RoHS กำหนด
ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทย
ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น ทั้งในส่วนของการปรับปรุงกระบวนการผลิต การทดสอบผลิตภัณฑ์ และการ
วิจัยและพัฒนาเพื่อคิดค้นสารชนิดใหม่สำหรับใช้ทดแทนสารอันตรายทั้ง 6 ชนิด
สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่ง หากไม่สามารถปรับตัวได้ทันภายในกำหนดเวลาเริ่มบังคับใช้
กฎหมาย RoHS
เป็นที่คาดว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิต
ภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและเงินทุนเมื่อเทียบ
กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบคือการเร่งรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายวิสาหกิจที่มุ่งเน้น
การวิจัยและพัฒนาเพื่อคิดค้นสารทดแทนสารอันตรายทั้ง 6 ชนิดอย่างจริงจัง จะส่งผลให้สามารถปรับปรุงกระบวน
การผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EU ได้อย่างทันท่วงทีด้วยต้นทุนที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับการแก้ไขปัญหาโดยลำพัง
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-
Hazardous Substances: RoHS) เมื่อเดือนมกราคม 2546 กำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและ
ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป (European Union: EU) ต้องจำกัดปริมาณการใช้สารอันตราย
6 ชนิด คือ ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท โครเมียม-6 (Hexavalent Chromium) โพลิโบรมิเนต ไบฟีนิล
(Polybrominated Biphenyls: PBB) และโพรลิโบรมิเนต ไดฟีนิล อีเทอร์ (Polybrominated
Diphenyl Ethers: PBDE) โดยหันไปใช้สารชนิดอื่นทดแทนเพื่อลดผลกระทบที่อาจมีต่อสุขอนามัยของประชาชน
และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ สมาชิก EU อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎหมายให้สอดคล้องกับร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งคาด
ว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย RoHS
ประเภทของสินค้าที่เข้าข่ายจำกัดการใช้สารอันตราย มีดังนี้
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาทิ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และเตารีด
- อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม อาทิ คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ
- อุปกรณ์ให้ความสว่าง อาทิ หลอดไฟฟ้า
- เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภค อาทิ โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ และวิทยุ
- เครื่องมือไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ สว่านไฟฟ้าและจักรเย็บผ้า
- ของเล่นและอุปกรณ์กีฬาที่ใช้ไฟฟ้า อาทิ เกมส์และรถบังคับวิทยุ
- เครื่องอัตโนมัติ อาทิ ตู้เอทีเอ็มและตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ
ปริมาณสูงสุดของสารอันตรายแต่ละชนิดที่ยอมรับได้ มีรายละเอียดดังนี้
สารอันตราย ตะกั่ว1/ ปรอท2/ แคดเมียม3/ โครเมียม-64/ PBB PBDE
ปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ 1,000 1,000 100 1,000 1,000 1,000
(part per million: ppm)
ที่มา สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
หมายเหตุ
1/ อนุญาตให้ใช้สารตะกั่วในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตหลอดภาพและชิ้นส่วน
อิเล็กทรอนิกส์
2/ อนุญาตให้ใช้สารปรอทในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตอุปกรณ์ให้แสงสว่าง
ประเภทหลอดไฟ
3/ อนุญาตให้ใช้สารแคดเมียมในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิตสารเคลือบผิว
ผลิตภัณฑ์
4/ อนุญาตให้ใช้สารโครเมียม-6 ในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ในการผลิต
Absorption Refrigerators
จากข้อกำหนดดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องลดปริมาณการใช้สารเหล่านั้นและหันไปใช้สารชนิดอื่นทด
แทน ยกเว้นสินค้าบางประเภทที่ยังสามารถใช้สารอันตรายบางชนิดในปริมาณสูงกว่าที่กำหนดได้หากยังไม่สามารถคิด
ค้นสารชนิดอื่นมาทดแทน ซึ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณสูงสุดของสารอันตรายที่ยอมรับได้และข้อยกเว้นอาจมีการเปลี่ยน
แปลงหากมีการคิดค้นสารทดแทนได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สินค้าที่ต้องการส่งออกไปจำหน่ายยัง EU ต้องผ่านการทดสอบจาก
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก EU ว่ามีการใช้สารอันตรายอยู่ในระดับที่กฎหมาย RoHS กำหนด
ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทย
ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น ทั้งในส่วนของการปรับปรุงกระบวนการผลิต การทดสอบผลิตภัณฑ์ และการ
วิจัยและพัฒนาเพื่อคิดค้นสารชนิดใหม่สำหรับใช้ทดแทนสารอันตรายทั้ง 6 ชนิด
สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่ง หากไม่สามารถปรับตัวได้ทันภายในกำหนดเวลาเริ่มบังคับใช้
กฎหมาย RoHS
เป็นที่คาดว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิต
ภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและเงินทุนเมื่อเทียบ
กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบคือการเร่งรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายวิสาหกิจที่มุ่งเน้น
การวิจัยและพัฒนาเพื่อคิดค้นสารทดแทนสารอันตรายทั้ง 6 ชนิดอย่างจริงจัง จะส่งผลให้สามารถปรับปรุงกระบวน
การผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EU ได้อย่างทันท่วงทีด้วยต้นทุนที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับการแก้ไขปัญหาโดยลำพัง
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2548--
-พห-