สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีการกระเตื้องขึ้นจากปีก่อน ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 จะต้องเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนของความไม่สงบในอิรักที่ยังคงคุกรุ่น และการะบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน (SARs) แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจากที่สถานการณ์โรคซาร์สสามารถควบคุมได้สำเร็จ ได้ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจในแถบภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเริ่มกระเตื้องขึ้น ภายหลังที่อยู่ในภาวะซบเซาในช่วงหลายปีก่อนนี้ เช่นเดียวกันกับประเทศยักษ์ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา และยุโรป ตัวเลขทางเศรษฐกิจได้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน เป็นผลให้มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในปี 2546อยู่ที่ระดับ 3.2 และปรับตัวขึ้นเป็นร้อยละ 4.1 ในปี 2547 ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็ตาม แต่ยังคงมีประเด็นที่ควรเฝ้าระวัง ดังนี้ คือ
1. จากสถานการณ์การแข่งขันทางด้านการผลิตและการค้าโลกที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งหรือเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลก ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกจำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรทั้งทางด้านการผลิตและการค้า เกิดการลงทุนระหว่างประเทศและการรวมกลุ่มทางการค้าในรูปกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งระดับพหุภาคี และระดับภูมิภาค เช่น WTO APEC NAFTA AFTA เป็นต้น และระดับทวิภาคี สำหรับความร่วมมือระดับทวิภาคีนั้นปัจจุบันประเทศต่าง ๆ จะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการจัดทำเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) เช่น ไทยได้ลงนามความตกลงจัดทำเขตการค้าเสรีทวิภาคีไทย-บาห์เรน เขตการค้าเสรีทวิภาคี ไทย-จีน และจะได้ลงนามกับอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ต่อไป
2. แม้ว่าตัวเลขปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังมีความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกามากนัก เนื่องจากตัวเลขอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งนโยบายการค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และภาระหนี้ในครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอ่อนแอลงได้ ดังนั้นจึงทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ยั่งยืน
3. สถานการณ์การค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2546 คงหนีไม่พ้นการแข่งขันกันตัดราคาของประเทศผู้ส่งออก โดยเฉพาะจีนที่ใช้ประโยชน์จากค่าเงินหยวนที่อ่อนลงเร่งระบาย สินค้าออก เช่นเดียวกับ ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และสิงคโปร์ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2546 ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ประสบปัญหาการระบาดของโรคซาร์ส ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ของโรคซาร์สคลี่คลายไปในทางที่ดี จึงต้องเร่งส่งออกเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ในขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้าจะหันมาใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาที่ออกมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ มากมายเพื่อคุ้มครองสินค้าที่ผลิตในประเทศ
4. ตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวที่สำคัญ เช่นตัวเลขการบริโภคของภาคเอกชน การลงทุน ตัวเลขอัตราการว่างงาน และตัวเลขการส่งออก ของประเทศต่างๆ ยังอยู่ในภาวะคลุมเครือ ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกอาจต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด (Deflation) โดยที่สภาพเศรษฐกิจมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่มีผู้ลงทุน และราคาสินค้าอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่มีผู้บริโภคเป็นผลจากการว่างงานอยู่ในระดับสูง ทำให้ขาดอำนาจซื้อ ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้จะนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้
5. การกดดันเพื่อให้จีนปรับค่าเงินหยวนของจีน หลังจากที่สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ พยายามกดดันให้จีนลอยตัวค่าเงินหยวนโดยปรับให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อสกัดกั้นความเจริญเติบโตของจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการที่ค่าเงินหยวนต่ำทำให้สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ต้องขาดดุลการค้ากับจีนทุกปี แต่ได้มีนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจการเงินได้ออกมาวิพากษ์ว่า การปรับอัตราแลกเปลี่ยนของจีนจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีน เสถียรภาพทางการเงินของเอเชียและเศรษฐกิจโลกโดยรวม
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
จากตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นไม่ว่าเป็นตัวเลขดัชนีภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตลอดจนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างสูงสุดในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายยังมีข้อกังขาว่า การขยายตัวที่สูงมากเช่นนี้เป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างถาวรยั่งยืนอันแสดงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือเป็นการฟื้นตัวเพียงชั่วคราว ซึ่งสาเหตุที่เศรษฐกิจขยายตัวเกินคาดหมายนั้นเป็นผลจากมาตรการลดภาษีของรัฐบาล และนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นแรงจูงใจให้การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นโดยขยายตัวถึงร้อยละ 6.6 มากกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.8 โดยรายจ่ายส่วนใหญ่เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ในส่วนการลงทุนของภาคธุรกิจได้ขยายตัวถึงร้อยละ 11.1 ประกอบกับการส่งออกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 9.3 ในขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่หลายฝ่ายยังคงเฝ้าระวังคือ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐอเมริกาที่มีการคาดการณ์ว่าในปี 2546 สหรัฐอเมริกาจะขาดดุลถึง 550 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคมรัฐบาลสหรัฐฯ ดุลการค้าขาดดุลถึง 347.76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ยังคงต้องอ่อนค่าต่อไป ตราบใดที่รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลอยู่ สำหรับสถานการณ์ในตลาดแรงงานเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.1 เท่ากับเดือนที่แล้ว แต่ยอดการใช้สิทธิการว่างงาน ( Initial Jobless Claims ) จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2546 ได้ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 384,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 เดือน
อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( IMF) ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2546 มาเป็นร้อยละ 2.4 จากเดิมร้อยละ 2.2 และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 3.6
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรปมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยเป็นผลมาจากการเศรษฐกิจขยายตัวของเยอรมนีที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี ฝรั่งเศสขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี และ อิตาลีขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ขยายตัวได้รับแรงสนับสนุนการเติบโตจากการบริโภคของภาคเอกชน และสถานการณ์ด้านการส่งออกปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 - 2.0
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคงอ่อนแอแต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า โดย EU Commission ได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรจะยังคงอ่อนแอต่อไป เนื่องจากตัวเลขอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 8.9 โดยจะพบว่าประเทศฝรั่งเศส และ เยอรมันนีที่มีอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 8.9 และ 8.3 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้ามาทำงานแทนการใช้คนมากขึ้น ประกอบกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงในไตรมาส 3 อีกทั้งภาวะการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงชะลอตัว รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสหากรรมที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ดังกล่าวลดความรุนแรงและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยจะเห็นว่ารัฐบาลได้ใช้นโยบายด้านการเงินการคลังที่ผ่อนคลายและความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ประกอบกับการที่เศรษฐกิจการฟื้นตัวภาวะเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปขยายตัวดีขึ้น สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2546 การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน Refinancing rate ที่ร้อยละ 2 ต่อปี ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ หลังจากที่ปรับลดลงไปครั้งสุดท้ายร้อยละ 0.5 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 โดย ECB ระบุว่านโยบายการเงินในปัจจุบันผ่อนคลาย (accommodative) โดยที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และยังไม่จำเป็นที่จะปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนี้ไว้อีกระยะหนึ่ง
เศรษฐกิจจีน
แม้ว่าจีนจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARs) ในช่วงครึ่งแรกของปีก็ตาม แต่ไม่ได้กระทบต่อฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนที่แข็งแกร่ง จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ภาคการค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงขึ้น ประกอบกับการ ลงทุนของภาครัฐขยายตัวสูงเช่นกัน รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่จีนอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน ปี 2546 จีนได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศมูลค่า 40.2 พันล้าน ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.9 รวมทั้งโดยเฉพาะเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่งช่วงครึ่งปีแรกยังคงขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.6 สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั้งประเทศ โดยการบริโภคขยายตัว ร้อยละ 15 ส่วนใหญ่มาจากการซื้อบ้าน รถยนต์ ส่วนการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 22
จากรายงานเอเซียน วอลล์ สตรีต เจอร์นัล การผลิตในจีนที่เพิ่มขึ้นมาก และความต้องการซื้อรถยนต์ที่พุ่งสูงเกือบ 2 ล้านคัน ส่งผลให้จากตัวเลข 10 เดือนแรกของปี 2546 จีนนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันกับปีก่อนถึงร้อยละ 30 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2547 จีนมีความต้องการน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจากความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนทำให้นักวิเคราะห์บางรายมีความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนว่าอาจประสบปัญหาภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งธนาคารจีนได้ออกมาตรการบรรเทาภาวะเศรษฐกิจโดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2546 จีนได้ประกาศปรับเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองตามกฎหมาย สำหรับธนาคารพาณิชย์และสถาบันรับฝากเงินจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 7 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2546 โดยคาดว่าจะช่วยชะลออัตราการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 21.6 0 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2546 จะเกินกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 8.0 และในปี 2547 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 8.5
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ตกอยู่ในภาวะซบเซา ประสบกับปัญหาภาวะเงินฝืด และการว่างงานอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีก่อน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น พยายามผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างโดยรวม ได้แก่ การยกเลิกกฎระเบียบภาคการเงิน การจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐในการประมูล เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 0.3 นับเป็นการการขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7 โดยจะเห็นว่าตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตได้ร้อยละ 1.5 ตัวเลขดุลการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 6. ประกอบกับตัวเลขการว่างงานที่ลดลงจากร้อยละ 4.9 ลงเหลือร้อยละ 4.6 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ติดลบร้อยละ 0.6
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้งบประมาณ 172 พันล้านเหรียญสรอ. กระตุ้นด้านการลงทุนด้านการก่อสร้างและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ร่วมทั้งช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อลดการ ว่างงาน ซึ่งได้สร้างความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มีมาตรการสร้างตลาดเงินเยนเพื่อชำระหนี้การค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศในภูมิภาคเอเชียให้ขยายตัวมากขึ้น และเพื่อลดการใช้เงินดอลล่าร์ สรอ.
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2546คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.1 และในปี 2547 คาดว่าเป็นจะขยายตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.7 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกปรับตัวดีขึ้น
เศรษฐกิจอาเซียน
ในไตรมาส 3 /2546 ภาวะเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนปรับตัวดีขึ้น จากการควบคุมการระบาดของโรคซาร์สสำเร็จ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเศรษฐกิจอินโดนีเชียขยายตัวร้อยละ 3.9 มาเลเชียขยายตัวร้อยละ 4.4 และสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 1.0 จะเห็นว่า คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2546 ขยายตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2545 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา อัตราความต้องการภายในประเทศทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ประเทศมาเลเซีย
เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 มาเป็นร้อยละ 5.1 ในไตรมาส 3 ทั้งนี้เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังของรัฐบาล กระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน และให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเกิดความต้องการภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1 ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้าและบริการหดตัวลง เนื่องจากหารหดตัวของการส่งออกสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับสินค้าจำพวกน้ำมันปาล์ม และยางพารา ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวดีขึ้น ภายหลังจากที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคซาร์ส สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 2546 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.5 สำหรับปี 2547 คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ถึง 6.0 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้า
ประเทศสิงคโปร์
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรดชาร์สระบาดที่สามารถควบคุมได้สำเร็จ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับที่จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับสู่ระดับเดิม ประกอบกับการฟื้นตัวของความต้องการในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ปรับตัวดีขึ้น จากที่หดตัวลง อีกทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ภาคการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มจะปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้รัฐบาลสิงคโปร์คาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2546 จะขยายที่ร้อยละ 0.5 - 1.0 และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 3.0 โดยปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ประเทศอินโดนีเซีย
ธนาคารกลางอินโดนีเซียประมาณการว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 3.1 (yoy) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.2 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 6.4 ปัจจัยสำคัญมาจากค่าเงินรูเปียห์ที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง SBI ระยะ 1 เดือนลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 8.51 ในช่วงกลางเดือนกันยายน โดยลดลงจากต้นปีรวม 448 basis points
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 Moody's ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซียจาก B3 เป็น B2 และให้ outlook อยู่ที่ระดับ stable โดยให้เหตุผลว่าอินโดนีเซียมีสถานภาพทางการเงินด้านต่างประเทศ (external financial position) แข็งแกร่งมากขึ้น ระดับหนี้ต่างประเทศลดลงตลอดจนสัดส่วนหนี้ภาครัฐปรับตัวลดลงจากร้อยละ 100 ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2543 มาอยู่ที่ร้อยละ 69 ต่อ GDP ในปัจจุบัน นอกจากนี้ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้นก็มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของประเทศต่อ external shocks ลงไปด้วย
ในปีงบประมาณ 2546 รัฐบาลประมาณการว่างบประมาณจะขาดดุลร้อยละ 2 ของ GDP และแถลงเป้างบประมาณปี 2547 ขาดดุล 24.9 ล้านล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP ลดลงจากเป้าการขาดดุลงบประมาณในปีนี้ ซึ่งตั้งไว้ที่ 34.4 ล้านล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.8 ของ GDP ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 4.5 โดยอัตราเงินเฟ้อ ณ สิ้นปีมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7 จากร้อยละ 9 ณ สิ้นปี 2546 และค่าเงินรูเปียห์เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 8,700 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ สรอ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
1. จากสถานการณ์การแข่งขันทางด้านการผลิตและการค้าโลกที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งหรือเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลก ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกจำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรทั้งทางด้านการผลิตและการค้า เกิดการลงทุนระหว่างประเทศและการรวมกลุ่มทางการค้าในรูปกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งระดับพหุภาคี และระดับภูมิภาค เช่น WTO APEC NAFTA AFTA เป็นต้น และระดับทวิภาคี สำหรับความร่วมมือระดับทวิภาคีนั้นปัจจุบันประเทศต่าง ๆ จะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการจัดทำเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) เช่น ไทยได้ลงนามความตกลงจัดทำเขตการค้าเสรีทวิภาคีไทย-บาห์เรน เขตการค้าเสรีทวิภาคี ไทย-จีน และจะได้ลงนามกับอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ต่อไป
2. แม้ว่าตัวเลขปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังมีความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกามากนัก เนื่องจากตัวเลขอัตราการว่างงานที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งนโยบายการค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และภาระหนี้ในครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอ่อนแอลงได้ ดังนั้นจึงทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ยั่งยืน
3. สถานการณ์การค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2546 คงหนีไม่พ้นการแข่งขันกันตัดราคาของประเทศผู้ส่งออก โดยเฉพาะจีนที่ใช้ประโยชน์จากค่าเงินหยวนที่อ่อนลงเร่งระบาย สินค้าออก เช่นเดียวกับ ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และสิงคโปร์ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2546 ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ประสบปัญหาการระบาดของโรคซาร์ส ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ของโรคซาร์สคลี่คลายไปในทางที่ดี จึงต้องเร่งส่งออกเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ในขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้าจะหันมาใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาที่ออกมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ มากมายเพื่อคุ้มครองสินค้าที่ผลิตในประเทศ
4. ตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวที่สำคัญ เช่นตัวเลขการบริโภคของภาคเอกชน การลงทุน ตัวเลขอัตราการว่างงาน และตัวเลขการส่งออก ของประเทศต่างๆ ยังอยู่ในภาวะคลุมเครือ ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกอาจต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด (Deflation) โดยที่สภาพเศรษฐกิจมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่มีผู้ลงทุน และราคาสินค้าอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่มีผู้บริโภคเป็นผลจากการว่างงานอยู่ในระดับสูง ทำให้ขาดอำนาจซื้อ ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้จะนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้
5. การกดดันเพื่อให้จีนปรับค่าเงินหยวนของจีน หลังจากที่สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ พยายามกดดันให้จีนลอยตัวค่าเงินหยวนโดยปรับให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อสกัดกั้นความเจริญเติบโตของจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการที่ค่าเงินหยวนต่ำทำให้สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ต้องขาดดุลการค้ากับจีนทุกปี แต่ได้มีนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจการเงินได้ออกมาวิพากษ์ว่า การปรับอัตราแลกเปลี่ยนของจีนจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีน เสถียรภาพทางการเงินของเอเชียและเศรษฐกิจโลกโดยรวม
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
จากตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นไม่ว่าเป็นตัวเลขดัชนีภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตลอดจนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างสูงสุดในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายยังมีข้อกังขาว่า การขยายตัวที่สูงมากเช่นนี้เป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างถาวรยั่งยืนอันแสดงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือเป็นการฟื้นตัวเพียงชั่วคราว ซึ่งสาเหตุที่เศรษฐกิจขยายตัวเกินคาดหมายนั้นเป็นผลจากมาตรการลดภาษีของรัฐบาล และนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นแรงจูงใจให้การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นโดยขยายตัวถึงร้อยละ 6.6 มากกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.8 โดยรายจ่ายส่วนใหญ่เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ในส่วนการลงทุนของภาคธุรกิจได้ขยายตัวถึงร้อยละ 11.1 ประกอบกับการส่งออกที่ขยายตัวถึงร้อยละ 9.3 ในขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่หลายฝ่ายยังคงเฝ้าระวังคือ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐอเมริกาที่มีการคาดการณ์ว่าในปี 2546 สหรัฐอเมริกาจะขาดดุลถึง 550 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคมรัฐบาลสหรัฐฯ ดุลการค้าขาดดุลถึง 347.76 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ยังคงต้องอ่อนค่าต่อไป ตราบใดที่รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลอยู่ สำหรับสถานการณ์ในตลาดแรงงานเริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.1 เท่ากับเดือนที่แล้ว แต่ยอดการใช้สิทธิการว่างงาน ( Initial Jobless Claims ) จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2546 ได้ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 384,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 8 เดือน
อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( IMF) ได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2546 มาเป็นร้อยละ 2.4 จากเดิมร้อยละ 2.2 และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 3.6
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรปมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยเป็นผลมาจากการเศรษฐกิจขยายตัวของเยอรมนีที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี ฝรั่งเศสขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี และ อิตาลีขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ขยายตัวได้รับแรงสนับสนุนการเติบโตจากการบริโภคของภาคเอกชน และสถานการณ์ด้านการส่งออกปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.5 - 2.0
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคงอ่อนแอแต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า โดย EU Commission ได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรจะยังคงอ่อนแอต่อไป เนื่องจากตัวเลขอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 8.9 โดยจะพบว่าประเทศฝรั่งเศส และ เยอรมันนีที่มีอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 8.9 และ 8.3 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้ามาทำงานแทนการใช้คนมากขึ้น ประกอบกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงในไตรมาส 3 อีกทั้งภาวะการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงชะลอตัว รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสหากรรมที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ดังกล่าวลดความรุนแรงและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยจะเห็นว่ารัฐบาลได้ใช้นโยบายด้านการเงินการคลังที่ผ่อนคลายและความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ประกอบกับการที่เศรษฐกิจการฟื้นตัวภาวะเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปขยายตัวดีขึ้น สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2546 การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน Refinancing rate ที่ร้อยละ 2 ต่อปี ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ หลังจากที่ปรับลดลงไปครั้งสุดท้ายร้อยละ 0.5 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 โดย ECB ระบุว่านโยบายการเงินในปัจจุบันผ่อนคลาย (accommodative) โดยที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และยังไม่จำเป็นที่จะปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนี้ไว้อีกระยะหนึ่ง
เศรษฐกิจจีน
แม้ว่าจีนจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARs) ในช่วงครึ่งแรกของปีก็ตาม แต่ไม่ได้กระทบต่อฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนที่แข็งแกร่ง จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ภาคการค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงขึ้น ประกอบกับการ ลงทุนของภาครัฐขยายตัวสูงเช่นกัน รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่จีนอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน ปี 2546 จีนได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศมูลค่า 40.2 พันล้าน ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.9 รวมทั้งโดยเฉพาะเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่งช่วงครึ่งปีแรกยังคงขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.6 สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั้งประเทศ โดยการบริโภคขยายตัว ร้อยละ 15 ส่วนใหญ่มาจากการซื้อบ้าน รถยนต์ ส่วนการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 22
จากรายงานเอเซียน วอลล์ สตรีต เจอร์นัล การผลิตในจีนที่เพิ่มขึ้นมาก และความต้องการซื้อรถยนต์ที่พุ่งสูงเกือบ 2 ล้านคัน ส่งผลให้จากตัวเลข 10 เดือนแรกของปี 2546 จีนนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันกับปีก่อนถึงร้อยละ 30 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2547 จีนมีความต้องการน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจากความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนทำให้นักวิเคราะห์บางรายมีความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนว่าอาจประสบปัญหาภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งธนาคารจีนได้ออกมาตรการบรรเทาภาวะเศรษฐกิจโดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2546 จีนได้ประกาศปรับเพิ่มสัดส่วนเงินสดสำรองตามกฎหมาย สำหรับธนาคารพาณิชย์และสถาบันรับฝากเงินจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 7 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2546 โดยคาดว่าจะช่วยชะลออัตราการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 21.6 0 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2546 จะเกินกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 8.0 และในปี 2547 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 8.5
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ตกอยู่ในภาวะซบเซา ประสบกับปัญหาภาวะเงินฝืด และการว่างงานอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีก่อน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น พยายามผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างโดยรวม ได้แก่ การยกเลิกกฎระเบียบภาคการเงิน การจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐในการประมูล เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 0.3 นับเป็นการการขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7 โดยจะเห็นว่าตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตได้ร้อยละ 1.5 ตัวเลขดุลการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 6. ประกอบกับตัวเลขการว่างงานที่ลดลงจากร้อยละ 4.9 ลงเหลือร้อยละ 4.6 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ติดลบร้อยละ 0.6
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศใช้งบประมาณ 172 พันล้านเหรียญสรอ. กระตุ้นด้านการลงทุนด้านการก่อสร้างและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ร่วมทั้งช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อลดการ ว่างงาน ซึ่งได้สร้างความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มีมาตรการสร้างตลาดเงินเยนเพื่อชำระหนี้การค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศในภูมิภาคเอเชียให้ขยายตัวมากขึ้น และเพื่อลดการใช้เงินดอลล่าร์ สรอ.
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2546คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.1 และในปี 2547 คาดว่าเป็นจะขยายตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.7 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกปรับตัวดีขึ้น
เศรษฐกิจอาเซียน
ในไตรมาส 3 /2546 ภาวะเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนปรับตัวดีขึ้น จากการควบคุมการระบาดของโรคซาร์สสำเร็จ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเศรษฐกิจอินโดนีเชียขยายตัวร้อยละ 3.9 มาเลเชียขยายตัวร้อยละ 4.4 และสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 1.0 จะเห็นว่า คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2546 ขยายตัวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2545 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา อัตราความต้องการภายในประเทศทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ประเทศมาเลเซีย
เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 มาเป็นร้อยละ 5.1 ในไตรมาส 3 ทั้งนี้เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังของรัฐบาล กระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน และให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเกิดความต้องการภายในประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1 ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้าและบริการหดตัวลง เนื่องจากหารหดตัวของการส่งออกสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับสินค้าจำพวกน้ำมันปาล์ม และยางพารา ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวดีขึ้น ภายหลังจากที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคซาร์ส สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 2546 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.5 สำหรับปี 2547 คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ถึง 6.0 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้า
ประเทศสิงคโปร์
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรดชาร์สระบาดที่สามารถควบคุมได้สำเร็จ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับที่จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับสู่ระดับเดิม ประกอบกับการฟื้นตัวของความต้องการในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ปรับตัวดีขึ้น จากที่หดตัวลง อีกทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ภาคการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มจะปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้รัฐบาลสิงคโปร์คาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2546 จะขยายที่ร้อยละ 0.5 - 1.0 และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 3.0 โดยปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ประเทศอินโดนีเซีย
ธนาคารกลางอินโดนีเซียประมาณการว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 3.1 (yoy) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.2 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 6.4 ปัจจัยสำคัญมาจากค่าเงินรูเปียห์ที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง SBI ระยะ 1 เดือนลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 8.51 ในช่วงกลางเดือนกันยายน โดยลดลงจากต้นปีรวม 448 basis points
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 Moody's ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซียจาก B3 เป็น B2 และให้ outlook อยู่ที่ระดับ stable โดยให้เหตุผลว่าอินโดนีเซียมีสถานภาพทางการเงินด้านต่างประเทศ (external financial position) แข็งแกร่งมากขึ้น ระดับหนี้ต่างประเทศลดลงตลอดจนสัดส่วนหนี้ภาครัฐปรับตัวลดลงจากร้อยละ 100 ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2543 มาอยู่ที่ร้อยละ 69 ต่อ GDP ในปัจจุบัน นอกจากนี้ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้นก็มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของประเทศต่อ external shocks ลงไปด้วย
ในปีงบประมาณ 2546 รัฐบาลประมาณการว่างบประมาณจะขาดดุลร้อยละ 2 ของ GDP และแถลงเป้างบประมาณปี 2547 ขาดดุล 24.9 ล้านล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP ลดลงจากเป้าการขาดดุลงบประมาณในปีนี้ ซึ่งตั้งไว้ที่ 34.4 ล้านล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.8 ของ GDP ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 4.5 โดยอัตราเงินเฟ้อ ณ สิ้นปีมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7 จากร้อยละ 9 ณ สิ้นปี 2546 และค่าเงินรูเปียห์เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 8,700 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ สรอ.
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-