1. สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
การผลิต
ไม่มีรายงานจากสะพานปลากรุงเทพฯ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทจับปลาทูน่า
นายธำมรงค์ ประกอบบุญ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณปีละ 40,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากร้อยละ 85 ของปลาทูน่าที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปต้องนำเข้าจากต่างประเทศในรูปของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็ง เพราะไทยไม่มีเรืออวนล้อม สำหรับ จับปลาทูน่าของตนเอง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยเพิ่มสูงขึ้น ถ้าไม่เร่งดำเนินการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแปรรูปปลาทูน่าของไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2548 คณะกรรมาธิการจัดการประมงทูน่าในมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission : IOTC) กำหนดโควตาการจับปลา ทูน่าในมหาสมุทรอินเดีย อาจส่งผลให้ไทยซึ่งไม่มีเรือสำหรับจับปลาทูน่าถูกกีดกันจากประเทศสมาชิกที่ทำการประมงอยู่ก่อนได้
ดังนั้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของการทำประมงน้ำลึกของไทย และลดการพึ่งพาวัตถุดิบการนำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมแปรรูปปลาทูน่าของไทย กระทรวงเกษตรฯ จึงหารือร่วมกับตัวแทนชาวประมง และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จัดทำโครงการพัฒนาประมงน้ำลึกขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดตั้งกองเรือประมงอวนล้อมจับปลาทูน่าน้ำลึก และพัฒนาบุคลากรด้านประมงน้ำลึกในสถาบันการศึกษาอย่างจริงจัง อันจะนำไปสู่การขยายพื้นที่ทำการประมงในพื้นที่ทะเลหลวง และสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะดำเนินการในรูปของบริษัทร่วมทุนระหว่างภาครัฐ เอกชนและกลุ่มชาวประมง ในสัดส่วน 40 : 30 : 30 ภายใต้ชื่อ “ บริษัทไทยทูน่า จำกัด ” เพื่อดำเนินธุรกิจการประมง อวนล้อมจับปลาทูน่าในรูป “ บริษัทจำกัด ” ในเบื้องต้นจะดำเนินการจัดหาเรือประมงปลาทูน่าขนาด 1,000 ตันกรอส จำนวน 15 ลำ เพื่อออกทำการประมงอวนล้อมจับปลาทูน่าในเขตมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเขตทะเลหลวงที่ไทยมีสิทธิดำเนินการได้ในฐานะสมาชิก IOTC จากนั้นขยายผลยังมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ต่อไป คาดว่ากองเรือดังกล่าวจะสามารถจับปลาทูน่าได้ปีละ 7.5 หมื่นตัน
การที่ประเทศไทยไม่มีเรือประมงอวนล้อมสำหรับจับปลาทูน่า ทำให้ต้องนำเข้าปลาทูน่าจาก ต่างประเทศ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง คิดเป็นมูลค่ากว่าปีละ 2 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ไทยมีสิทธิเข้าไปจับปลาทูน่าในเขตทะเลหลวงได้เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งถือเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้การพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านการลงทุนให้กับภาคอุตสาหกรรมปลา ทูน่าด้วย โดยกระทรวงเกษตรฯ เตรียมนำโครงการดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.89 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 27.61 บาทของสัปดาห์ก่อน 0.28 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯไม่มีรายงานราคาจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2.2 ปลาช่อน ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.41 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.46 บาท ของสัปดาห์ก่อน 0.05 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
2.3 กุ้งกุลาดำ กุ้งกุลาดำสดขนาดกลางราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 279.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 256.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 23.00 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร เฉลี่ยกิโลกรัมละ 311.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 299.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 12.00 บาท
2.4 ปลาทู ปลาทูสดขนาดกลาง ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 21.85 บาท ทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ก่อน
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.43 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 47.50 บาท ของสัปดาห์ก่อน 2.07 บาท
2.5 ปลาหมึก ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 85.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 5.00 บาท
2.6 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.15 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 3.08 บาท ของสัปดาห์ก่อน 0.07 บาท
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% (ระหว่างวันที่ 9 - 13 ก.พ. 2547) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.10 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 6 ประจำวันที่ 9-15 กุมภาพันธุ์ 2547--จบ--
-พห-
การผลิต
ไม่มีรายงานจากสะพานปลากรุงเทพฯ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทจับปลาทูน่า
นายธำมรงค์ ประกอบบุญ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณปีละ 40,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากร้อยละ 85 ของปลาทูน่าที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปต้องนำเข้าจากต่างประเทศในรูปของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็ง เพราะไทยไม่มีเรืออวนล้อม สำหรับ จับปลาทูน่าของตนเอง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยเพิ่มสูงขึ้น ถ้าไม่เร่งดำเนินการแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแปรรูปปลาทูน่าของไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2548 คณะกรรมาธิการจัดการประมงทูน่าในมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission : IOTC) กำหนดโควตาการจับปลา ทูน่าในมหาสมุทรอินเดีย อาจส่งผลให้ไทยซึ่งไม่มีเรือสำหรับจับปลาทูน่าถูกกีดกันจากประเทศสมาชิกที่ทำการประมงอยู่ก่อนได้
ดังนั้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของการทำประมงน้ำลึกของไทย และลดการพึ่งพาวัตถุดิบการนำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมแปรรูปปลาทูน่าของไทย กระทรวงเกษตรฯ จึงหารือร่วมกับตัวแทนชาวประมง และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จัดทำโครงการพัฒนาประมงน้ำลึกขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดตั้งกองเรือประมงอวนล้อมจับปลาทูน่าน้ำลึก และพัฒนาบุคลากรด้านประมงน้ำลึกในสถาบันการศึกษาอย่างจริงจัง อันจะนำไปสู่การขยายพื้นที่ทำการประมงในพื้นที่ทะเลหลวง และสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะดำเนินการในรูปของบริษัทร่วมทุนระหว่างภาครัฐ เอกชนและกลุ่มชาวประมง ในสัดส่วน 40 : 30 : 30 ภายใต้ชื่อ “ บริษัทไทยทูน่า จำกัด ” เพื่อดำเนินธุรกิจการประมง อวนล้อมจับปลาทูน่าในรูป “ บริษัทจำกัด ” ในเบื้องต้นจะดำเนินการจัดหาเรือประมงปลาทูน่าขนาด 1,000 ตันกรอส จำนวน 15 ลำ เพื่อออกทำการประมงอวนล้อมจับปลาทูน่าในเขตมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเขตทะเลหลวงที่ไทยมีสิทธิดำเนินการได้ในฐานะสมาชิก IOTC จากนั้นขยายผลยังมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ต่อไป คาดว่ากองเรือดังกล่าวจะสามารถจับปลาทูน่าได้ปีละ 7.5 หมื่นตัน
การที่ประเทศไทยไม่มีเรือประมงอวนล้อมสำหรับจับปลาทูน่า ทำให้ต้องนำเข้าปลาทูน่าจาก ต่างประเทศ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง คิดเป็นมูลค่ากว่าปีละ 2 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ไทยมีสิทธิเข้าไปจับปลาทูน่าในเขตทะเลหลวงได้เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งถือเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้การพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านการลงทุนให้กับภาคอุตสาหกรรมปลา ทูน่าด้วย โดยกระทรวงเกษตรฯ เตรียมนำโครงการดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.89 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 27.61 บาทของสัปดาห์ก่อน 0.28 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯไม่มีรายงานราคาจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2.2 ปลาช่อน ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.41 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 58.46 บาท ของสัปดาห์ก่อน 0.05 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
2.3 กุ้งกุลาดำ กุ้งกุลาดำสดขนาดกลางราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 279.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 256.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 23.00 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร เฉลี่ยกิโลกรัมละ 311.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 299.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 12.00 บาท
2.4 ปลาทู ปลาทูสดขนาดกลาง ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 21.85 บาท ทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ก่อน
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.43 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 47.50 บาท ของสัปดาห์ก่อน 2.07 บาท
2.5 ปลาหมึก ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 85.00 บาท ของสัปดาห์ก่อน 5.00 บาท
2.6 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.15 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 3.08 บาท ของสัปดาห์ก่อน 0.07 บาท
สำหรับราคาขายส่งปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% (ระหว่างวันที่ 9 - 13 ก.พ. 2547) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.10 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 6 ประจำวันที่ 9-15 กุมภาพันธุ์ 2547--จบ--
-พห-