อุตสาหกรรมพลาสติก
ภาพรวมอุตสาหกรรม
ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพอนามัยมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ฟิล์มถนอมอาหารในการเก็บ
รักษาอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากฟิล์มถนอมอาหารมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทำให้อาหารคงความสด รักษาคุณค่าทางโภชนาการ
ป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่น และสามารถป้องกันสิ่งสกปรกภายนอก ทำให้อุตสาหกรรมฟิมล์ถนอมอาหารมีความต้องการใช้มากขึ้น พบว่า
สัดส่วนการนำเข้าและการส่งออกในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2546 แผ่น ฟิมล์ฟอยล์และแถบ มีมูลค่าสูงที่สุดทั้งการนำเข้าและ
การส่งออก
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 327.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง
ร้อยละ 0.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออก
ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มี
มูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก มีสัดส่วนการ
ส่งออกร้อยละ 31.32 , 22.93 และ 5.15 ของมูลค่าส่งออกรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบว่าผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการ
ส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กล่องและหีบที่ทำด้วยพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และแผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ
ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 146.15 , 40.00 , 8.68 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อ
เทียบกับไตรมาสก่อนได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก และเครื่องใช้สำนักงานที่ทำด้วยพลาสติก
โดยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 21.17 และ 17.65 ตามลำดับ ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์
ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบที่ทำด้วยพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก
และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำด้วยพลาสติก มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 134.9 , 58.49 และ 14.97
ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องใช้สำนักงานที่ทำด้วย
พลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 22.22
ประเภท มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ผลิตภัณฑ์ 2544 2545 Q32546 Q42545 Q42546
ถุงและกระสอบพลาสติก 234.6 265.8 95.40 72.9 75.2
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ 257.9 290.8 94.50 72.4 102.7
เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบฯ 15.0 24.3 10.00 4.4 10.3
กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก 16.1 17.9 3.90 4.7 5.7
เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก 25.8 26.5 6.80 7.2 5.6
หลอดและท่อพลาสติก 17.0 20.7 6.00 5.3 8.4
พลาสติกปูพื้นและผนัง 22.5 36.3 9.80 10.0 10.4
เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก 56.4 61.4 15.70 14.7 16.9
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 271.5 336.6 86.20 99.0 92.7
รวมทั้งสิ้น 916.8 1080.3 328.30 290.6 327.9
ที่มา : ข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 442.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.36 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2546 ร้อยละ 10.12 แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่
ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟลอย์และแถบพลาสติก
คิดเป็นร้อยละ 46.87 ของมูลค่าการนำเข้าโดยรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่
ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และแผ่นฟิมล์ฟลอย์และแถบพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ
19.72 , 11.11 และ 8.47 ตามลำดับส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วได้แก่ เครื่องใช้และ
เครื่องตกแต่งภายในบ้าน มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.70 ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์
พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มในทุกกลุ่ม โดยมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ เครื่องใช้และ
เครื่องตกแต่งภายในบ้าน ถุงกล่องและกระสอบพลาสติก และหลอดและท่อพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 ,
52.2 และ 28.79 ตามลำดับ
ประเภท มูลค่านำเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ผลิตภัณฑ์ 2544 2545 Q32546 Q42545 Q42546
ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก 138.6 150.8 43.6 39.1 52.2
หลอดและท่อพลาสติก 45.4 49.2 15.3 13.2 17.0
เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งในบ้าน 18.2 15.6 8.1 3.9 7.8
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก 442.4 504.9 141.7 127.5 153.7
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 659.5 752.9 193.3 210.3 212.0
รวมทั้งสิ้น 1,304.1 1473.4 402.0 394.0 442.7
ที่มา : ข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
แนวโน้ม
ปัญหาการเลียนแบบสินค้า ปัญหาการตัดราคาจากประเทศคู่แข่งที่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ปัญหาการกีดกันทางการ
ค้าที่ไม่ใช่ภาษี ยังคงเป็นปัญหาหลักที่ท้าทายผู้ผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก
ของไทยจึงควรเน้นการผลิตเพื่อให้สินค้าของตนมีความแตกต่างจากคู่แข่ง เน้นการปรุงปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าให้ตรงกับ
ความต้องการของผู้บริโภค เน้นการออกแบบให้มีความแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภครวมถึงการขยายรูปแบบของ
ผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อให้พลาสติกสามารถเข้าไปทดแทนวัสดุอื่นๆได้ เช่น การเข้าไปสู่ตลาดของเล่น ตลาดวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
เพื่อเพิ่มช่องทางทางการตลาดและขยายฐานการจำหน่ายสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงการผลิตพลาสติกชนิดพิเศษจาก
เม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ ที่ใช้กับงานที่มีลักษณะเฉพาะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสามารถแข่งขันได้
ในระยะยาว
ภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี (Petrochemical Industry)
ปี 2546 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น อันเป็นผลจากการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัว รวมทั้งการ
ส่งออกไปยังประเทศจีนจำนวนมาก ผู้ผลิตยังคงมีแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัท อินโดรา ปิโตรเคม จำกัด
เพิ่งได้รับการส่งเสริมจาก BOI เมื่อเดือนกันยายน 2546 ในการผลิต PTA กำลังผลิต 704 พันตันต่อปี ภายในนิคมอุตสาหกรรม
เอเชีย จังหวัดระยอง , กลุ่มปูนซีเมนต์ไทยมีแผนขยายกำลังผลิต MMA จาก 70 พันตันต่อปี เป็น 90 พันตันต่อปี และขยายการ
ผลิต PTA จาก 800 พันตันต่อปี เป็น 900 พันตันต่อปี เป็นต้น
การผลิต
ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2546 ผู้ผลิตมีการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มที่ ทั้งนี้ ไม่มีโรงงานใดปิดเพื่อการซ่อมบำรุง
ในช่วงดังกล่าวเลย
การตลาด
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2546 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 1,157.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 57.2 เมื่อ
เทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 238.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า
7,726.9 ล้านบาทลดลงร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่านำเข้า 10,088.2 ล้านบาทลดลงร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าสำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และเกาหลีใต้
เป็นต้น
เมื่อพิจารณาเม็ดพลาสติกหลักของประเทศไทย พบว่า ไตรมาส 4 ปี 2546 เม็ดพลาสติกที่มีการนำเข้ามากที่สุดคือ
PE โดยมีปริมาณนำเข้า 46,094.9 ตัน ลดลงร้อยละ 4.12 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีปริมาณเท่ากับ 48,077.2 ตัน
แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้า PE ที่สำคัญได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์
สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ เป็นต้น
ปิโตรเคมี มูลค่านำเข้า (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2545 Q3/2546 Q4/2546 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 486.0 736.0 1,157.2 57.2 238.1
ขั้นกลาง 7,685.0 7,986.0 7,726.9 -3.2 0.5
ขั้นปลาย 9,325.0 10,368.9 10,088.2 -2.7 8.1
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2546 การส่งออกปิโตรขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 4,164.0 ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 20.3 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 1,643.5
ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงถึง ร้อยละ 57.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่าส่งออก 22,923.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ
15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมการส่งออกเม็ดพลาสติกในไตรมาส 4 ปี 2546 พบว่า การส่งออกเม็ดพลาสติกหลักของประเทศมีปริมาณ
763,233 ตัน โดยเม็ดพลาสติกที่มีปริมาณส่งออกสูงสุด 4 อันดับแรกได้แก่ PE, PP , PVC และ PC ตลาดส่งออกหลักยัง
คงเป็นประเทศจีน (รวมฮ่องกง)
ปิโตรเคมี มูลค่าส่งออก (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2545 Q3/2546 Q4/2546 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 3,952.0 5,228.0 4,164.0 -20.3 5.3
ขั้นกลาง 3,850.0 3,087.2 1,643.5 -46.7 -57.3
ขั้นปลาย 19,892.0 21,574.5 22,923.1 6.2 15.2
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
ราคา
ไตรมาส 4 ปี 2546 ราคาแนฟทาเอเซีย ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการแนฟทาที่
เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเอทิลีนในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคามาบตาพุด (Map Ta Phut Formula Price) ในเดือน
ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม อยู่ที่ระดับ 22.17 22.92 และ 23.91 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาเฉลี่ย) ส่วนราคา
จำหน่ายเม็ดพลาสติกกลุ่มโอเลฟินส์ (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือนธันวาคม 2546 ของ LDPE, HDPE และ PP
(Blown Film) อยู่ที่ระดับ 31.05, 28.85 และ 28.99 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยในเดือนกันยายน 2546
ที่ระดับ 28.56, 25.46 และ 29.27 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-
ภาพรวมอุตสาหกรรม
ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพอนามัยมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ฟิล์มถนอมอาหารในการเก็บ
รักษาอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากฟิล์มถนอมอาหารมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทำให้อาหารคงความสด รักษาคุณค่าทางโภชนาการ
ป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่น และสามารถป้องกันสิ่งสกปรกภายนอก ทำให้อุตสาหกรรมฟิมล์ถนอมอาหารมีความต้องการใช้มากขึ้น พบว่า
สัดส่วนการนำเข้าและการส่งออกในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2546 แผ่น ฟิมล์ฟอยล์และแถบ มีมูลค่าสูงที่สุดทั้งการนำเข้าและ
การส่งออก
การตลาด
การส่งออก
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 327.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง
ร้อยละ 0.21 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดส่งออก
ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเชียน และออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มี
มูลค่าส่งออกสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก มีสัดส่วนการ
ส่งออกร้อยละ 31.32 , 22.93 และ 5.15 ของมูลค่าส่งออกรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบว่าผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการ
ส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กล่องและหีบที่ทำด้วยพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และแผ่นฟิมล์ฟอยล์และแถบ
ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 146.15 , 40.00 , 8.68 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อ
เทียบกับไตรมาสก่อนได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก และเครื่องใช้สำนักงานที่ทำด้วยพลาสติก
โดยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 21.17 และ 17.65 ตามลำดับ ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์
ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบที่ทำด้วยพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก
และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำด้วยพลาสติก มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 134.9 , 58.49 และ 14.97
ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องใช้สำนักงานที่ทำด้วย
พลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 22.22
ประเภท มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ผลิตภัณฑ์ 2544 2545 Q32546 Q42545 Q42546
ถุงและกระสอบพลาสติก 234.6 265.8 95.40 72.9 75.2
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ 257.9 290.8 94.50 72.4 102.7
เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบฯ 15.0 24.3 10.00 4.4 10.3
กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก 16.1 17.9 3.90 4.7 5.7
เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก 25.8 26.5 6.80 7.2 5.6
หลอดและท่อพลาสติก 17.0 20.7 6.00 5.3 8.4
พลาสติกปูพื้นและผนัง 22.5 36.3 9.80 10.0 10.4
เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก 56.4 61.4 15.70 14.7 16.9
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 271.5 336.6 86.20 99.0 92.7
รวมทั้งสิ้น 916.8 1080.3 328.30 290.6 327.9
ที่มา : ข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
การนำเข้า
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 442.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.36 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2546 ร้อยละ 10.12 แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่
ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ และกลุ่มอาเซียน โดยผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิมล์ฟลอย์และแถบพลาสติก
คิดเป็นร้อยละ 46.87 ของมูลค่าการนำเข้าโดยรวม เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นได้แก่
ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก หลอดและท่อพลาสติก และแผ่นฟิมล์ฟลอย์และแถบพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ
19.72 , 11.11 และ 8.47 ตามลำดับส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วได้แก่ เครื่องใช้และ
เครื่องตกแต่งภายในบ้าน มีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.70 ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนพบว่าผลิตภัณฑ์
พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มในทุกกลุ่ม โดยมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกได้แก่ เครื่องใช้และ
เครื่องตกแต่งภายในบ้าน ถุงกล่องและกระสอบพลาสติก และหลอดและท่อพลาสติก ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 ,
52.2 และ 28.79 ตามลำดับ
ประเภท มูลค่านำเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ผลิตภัณฑ์ 2544 2545 Q32546 Q42545 Q42546
ถุง กล่องและกระสอบพลาสติก 138.6 150.8 43.6 39.1 52.2
หลอดและท่อพลาสติก 45.4 49.2 15.3 13.2 17.0
เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งในบ้าน 18.2 15.6 8.1 3.9 7.8
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก 442.4 504.9 141.7 127.5 153.7
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 659.5 752.9 193.3 210.3 212.0
รวมทั้งสิ้น 1,304.1 1473.4 402.0 394.0 442.7
ที่มา : ข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
แนวโน้ม
ปัญหาการเลียนแบบสินค้า ปัญหาการตัดราคาจากประเทศคู่แข่งที่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ปัญหาการกีดกันทางการ
ค้าที่ไม่ใช่ภาษี ยังคงเป็นปัญหาหลักที่ท้าทายผู้ผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ดังนั้นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก
ของไทยจึงควรเน้นการผลิตเพื่อให้สินค้าของตนมีความแตกต่างจากคู่แข่ง เน้นการปรุงปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าให้ตรงกับ
ความต้องการของผู้บริโภค เน้นการออกแบบให้มีความแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภครวมถึงการขยายรูปแบบของ
ผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อให้พลาสติกสามารถเข้าไปทดแทนวัสดุอื่นๆได้ เช่น การเข้าไปสู่ตลาดของเล่น ตลาดวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
เพื่อเพิ่มช่องทางทางการตลาดและขยายฐานการจำหน่ายสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงการผลิตพลาสติกชนิดพิเศษจาก
เม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ ที่ใช้กับงานที่มีลักษณะเฉพาะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสามารถแข่งขันได้
ในระยะยาว
ภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี (Petrochemical Industry)
ปี 2546 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในวัฏจักรขาขึ้น อันเป็นผลจากการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัว รวมทั้งการ
ส่งออกไปยังประเทศจีนจำนวนมาก ผู้ผลิตยังคงมีแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัท อินโดรา ปิโตรเคม จำกัด
เพิ่งได้รับการส่งเสริมจาก BOI เมื่อเดือนกันยายน 2546 ในการผลิต PTA กำลังผลิต 704 พันตันต่อปี ภายในนิคมอุตสาหกรรม
เอเชีย จังหวัดระยอง , กลุ่มปูนซีเมนต์ไทยมีแผนขยายกำลังผลิต MMA จาก 70 พันตันต่อปี เป็น 90 พันตันต่อปี และขยายการ
ผลิต PTA จาก 800 พันตันต่อปี เป็น 900 พันตันต่อปี เป็นต้น
การผลิต
ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2546 ผู้ผลิตมีการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มที่ ทั้งนี้ ไม่มีโรงงานใดปิดเพื่อการซ่อมบำรุง
ในช่วงดังกล่าวเลย
การตลาด
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2546 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 1,157.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 57.2 เมื่อ
เทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 238.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า
7,726.9 ล้านบาทลดลงร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่านำเข้า 10,088.2 ล้านบาทลดลงร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้าสำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และเกาหลีใต้
เป็นต้น
เมื่อพิจารณาเม็ดพลาสติกหลักของประเทศไทย พบว่า ไตรมาส 4 ปี 2546 เม็ดพลาสติกที่มีการนำเข้ามากที่สุดคือ
PE โดยมีปริมาณนำเข้า 46,094.9 ตัน ลดลงร้อยละ 4.12 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีปริมาณเท่ากับ 48,077.2 ตัน
แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แหล่งนำเข้า PE ที่สำคัญได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์
สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ เป็นต้น
ปิโตรเคมี มูลค่านำเข้า (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2545 Q3/2546 Q4/2546 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 486.0 736.0 1,157.2 57.2 238.1
ขั้นกลาง 7,685.0 7,986.0 7,726.9 -3.2 0.5
ขั้นปลาย 9,325.0 10,368.9 10,088.2 -2.7 8.1
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2546 การส่งออกปิโตรขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 4,164.0 ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 20.3 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 1,643.5
ล้านบาท ลดลงถึงร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงถึง ร้อยละ 57.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนเม็ดพลาสติกมีมูลค่าส่งออก 22,923.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ
15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมการส่งออกเม็ดพลาสติกในไตรมาส 4 ปี 2546 พบว่า การส่งออกเม็ดพลาสติกหลักของประเทศมีปริมาณ
763,233 ตัน โดยเม็ดพลาสติกที่มีปริมาณส่งออกสูงสุด 4 อันดับแรกได้แก่ PE, PP , PVC และ PC ตลาดส่งออกหลักยัง
คงเป็นประเทศจีน (รวมฮ่องกง)
ปิโตรเคมี มูลค่าส่งออก (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2545 Q3/2546 Q4/2546 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 3,952.0 5,228.0 4,164.0 -20.3 5.3
ขั้นกลาง 3,850.0 3,087.2 1,643.5 -46.7 -57.3
ขั้นปลาย 19,892.0 21,574.5 22,923.1 6.2 15.2
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
ราคา
ไตรมาส 4 ปี 2546 ราคาแนฟทาเอเซีย ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการแนฟทาที่
เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเอทิลีนในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคามาบตาพุด (Map Ta Phut Formula Price) ในเดือน
ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม อยู่ที่ระดับ 22.17 22.92 และ 23.91 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาเฉลี่ย) ส่วนราคา
จำหน่ายเม็ดพลาสติกกลุ่มโอเลฟินส์ (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือนธันวาคม 2546 ของ LDPE, HDPE และ PP
(Blown Film) อยู่ที่ระดับ 31.05, 28.85 และ 28.99 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยในเดือนกันยายน 2546
ที่ระดับ 28.56, 25.46 และ 29.27 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ
--ศูนย์ประสานการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4375 , 0-2644-8604--
-พห-