นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนมกราคม 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคมยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian Flu) ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมเพียงเล็กน้อย การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวในอัตราเร่งโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักร ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนยังคงขยายตัวดี การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการผลิตขยายตัวดีเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกบ้างเล็กน้อย โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.6 ต่อปีตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 ต่อปี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนมกราคมยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าชะลอตัวลงเล็กน้อยโดยอยู่ที่ 107.5 จุด เทียบกับ 110.9 จุด ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับของการระบาดของไข้หวัดนก
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคมยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 35.4 ต่อปี สูงที่สุดในรอบปี 2546
- การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 53.3 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55.8 ต่อปี ซึ่งผลจากการเบิกจ่ายงบกลางเป็นจำนวน 15,975 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16.5 พันล้านบาท) จำนวน 982 ล้านบาท
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ในเดือนมกราคม 2547 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 6.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนมกราคมกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ 202 ล้านดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูง ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกและเพื่อการบริโภคภายในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 15.7 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 72.1
- สินเชื่อขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดย สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี ในเดือนธันวาคม ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวร้อยละ 6.0 ต่อปี
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมชะลอตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.09 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมกราคม 2547 เทียบกับเฉลี่ย 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม 2546 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธันวาคมเกินดุลทั้งสิ้น 732 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนมกราคม
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 (ตุลาคม 2546 - มกราคม 2547) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 345,739 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 21.2 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 395,650 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 49,911 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 24,374 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 74,285 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 เท่ากับ 2,887.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.90 ของ GDP ลดลงจากเดือนตุลาคม 5.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.09 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.83 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนมกราคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในระดับสูง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกบ้างเล็กน้อย โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนมกราคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 24.6 ต่อปี ตามการขยายตัวสูงของอุปสงค์ภายในประเทศ 2) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 18.7 ต่อปี 3) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนมกราคมอยู่ที่ 107.5 จุด ชะลอตัวลงจากเดือนธันวาคมที่ 110.9 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian Flu) 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวสูงที่ร้อยละ 17.2 และ 11.8 ต่อปีในเดือนธันวาคม และร้อยละ 15.2 และ 8.5 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของ อุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่ทั้งปี 2546 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 13.2 และ 9.5 ต่อปี ตามลำดับ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะการ ลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร 1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคมยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่ง ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 และ 35.4 ต่อปี ในเดือนธันวาคม ซึ่งขยายตัวสูงสุดในรอบปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 30.1 และ 22.7 ต่อปี และทั้งปี 2546 ขยายตัวร้อยละ 14.8 และ 11.1 ต่อปี 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคมอยู่ที่ 52.5 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 19 เดือน 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนมกราคมอยู่ที่ 14.4 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 37.7 ต่อปี 5) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวสูงตามการขยายตัวของภาคก่อสร้าง โดยเดือนธันวาคมปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวร้อยละ 15.5 ต่อปีในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 5.2 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ
การใช้จ่ายภาครัฐยังคงขยายตัวสูง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนมกราคมอยู่ที่ 114.6 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 53.5 ต่อปี ประกอบด้วยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.8 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายงบกลางจำนวน 15,975 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 982 ล้านบาท
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง 1) การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนมกราคมอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 13.4 และ 7.9 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ขณะที่ทั้งปี 2546 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ต่อปี 2) การนำเข้าขยายตัวดี โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคมอยู่ที่ 6.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.8 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น 31.6 และ 16.4 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้งปี 2546 ปริมาณการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 8.7 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนมกราคมกลับมาเกินดุล 202 ล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาคการผลิตขยายตัวในอัตราเร่ง ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 15.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 24.5 ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรรวม อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์เหล็ก ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 5.2 ต่อปี ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 11.6 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 12.3 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 72.1 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 69.2 ต่อปีในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 66.2 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ
สินเชื่อและเงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดย 1) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs เดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี 2) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนธันวาคมยังคงทรงตัวโดยขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี ชะลอตัวเล็กน้อยจากร้อยละ 4.5 ต่อปีในเดือนก่อน 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.8 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 4 ลดลงจากร้อยละ 15.3 จากเดือนก่อน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง และมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดย 1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.12 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ต่อปี 2) สินเชื่อ คงขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.17 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนพฤศจิกายนจำนวน 22.3 พันล้านบาท 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอยู่ที่ 130.8 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 11.4 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 9 แห่ง อยู่ที่ 1.63 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 โดยมีกำไรสุทธิเดือนพฤศจิกายน จำนวน 2,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,109 ล้านบาท จากเดือนที่ผ่านมา
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของค่าเช่าบ้าน 2) อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.09 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมกราคม 2547 เทียบกับเฉลี่ย 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม 2546 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธันวาคมเกินดุลทั้งสิ้น 732 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากดุลบริการที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทั้งสิ้น 2.4 และ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในไตรมาสที่ 4 และทั้งปี 2546 ตามลำดับ 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 42.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนมกราคม 2547 คิดเป็น 6.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าหรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนมกราคม 2547 และช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 96,154 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 16,829 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12.0) และมีรายได้สุทธิรวม 87,945 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 16,690 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.4 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12.6)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - มกราคม 2547) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 377,213 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 88,735 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.8 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 21.5) โดยมีรายได้สุทธิ 342,881 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 85,988 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 22.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนมกราคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 94,574 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 30.1) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 86,824 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 7,750 ล้านบาท
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46- ม.ค. 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 395,650 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.4 (ไม่รวมรายจ่ายจากเงินคงคลังจำนวน 25,075 ล้านบาท) โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 353,431 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.97 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 42,219 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 327,516 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 39.4 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 25,915 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 13.2 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 88,934 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 94,453 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 5,518 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 12,162 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 6,644 ล้านบาท
สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 345,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 60,457 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 395,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 77,710 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 49,911 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 24,374 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 74,285 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 91,097 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 113,948 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 22,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 639 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 9,849 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 13,641 ล้านบาท
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 328,711 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 418,964 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 90,254 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 2,298 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 26,680 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 65,872 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 52,905 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,600 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,062,705 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณเกินดุล 895 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 53,800 ล้านบาท
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 6,499 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี) คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุล 10,646 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 เท่ากับ 2,887.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.90 ของ GDP ลดลงจากเดือนตุลาคม 5.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.09 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,622.3 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 864.6 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 400.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.83 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 27.02 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 11.8 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 4.7 พันล้านบาท และหนี้ FIDF เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.9 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 2/2547 25 กุมภาพันธ์ 2547--
-รก-
เศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคมยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian Flu) ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมเพียงเล็กน้อย การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวในอัตราเร่งโดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักร ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนยังคงขยายตัวดี การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการผลิตขยายตัวดีเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
- เครื่องชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกบ้างเล็กน้อย โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.6 ต่อปีตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 ต่อปี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนมกราคมยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าชะลอตัวลงเล็กน้อยโดยอยู่ที่ 107.5 จุด เทียบกับ 110.9 จุด ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับของการระบาดของไข้หวัดนก
- เครื่องชี้ภาวะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคมยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี ส่วนการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 35.4 ต่อปี สูงที่สุดในรอบปี 2546
- การใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวสูง โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 53.3 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55.8 ต่อปี ซึ่งผลจากการเบิกจ่ายงบกลางเป็นจำนวน 15,975 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16.5 พันล้านบาท) จำนวน 982 ล้านบาท
- การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ในเดือนมกราคม 2547 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 6.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนมกราคมกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ 202 ล้านดอลลาร์ สรอ.
- การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูง ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกและเพื่อการบริโภคภายในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 15.7 ต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 72.1
- สินเชื่อขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดย สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี ในเดือนธันวาคม ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวร้อยละ 6.0 ต่อปี
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมชะลอตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.09 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมกราคม 2547 เทียบกับเฉลี่ย 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม 2546 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธันวาคมเกินดุลทั้งสิ้น 732 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนมกราคม
- ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2546 (ตุลาคม 2546 - มกราคม 2547) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 345,739 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 21.2 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 395,650 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 49,911 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 24,374 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 74,285 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 เท่ากับ 2,887.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.90 ของ GDP ลดลงจากเดือนตุลาคม 5.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.09 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.83 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนมกราคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในระดับสูง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกบ้างเล็กน้อย โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนมกราคมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 24.6 ต่อปี ตามการขยายตัวสูงของอุปสงค์ภายในประเทศ 2) ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าคงทนในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 18.7 ต่อปี 3) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนมกราคมอยู่ที่ 107.5 จุด ชะลอตัวลงจากเดือนธันวาคมที่ 110.9 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian Flu) 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวสูงที่ร้อยละ 17.2 และ 11.8 ต่อปีในเดือนธันวาคม และร้อยละ 15.2 และ 8.5 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของ อุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่ทั้งปี 2546 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 13.2 และ 9.5 ต่อปี ตามลำดับ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะการ ลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร 1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคมยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวในอัตราเร่ง ทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 และ 35.4 ต่อปี ในเดือนธันวาคม ซึ่งขยายตัวสูงสุดในรอบปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 30.1 และ 22.7 ต่อปี และทั้งปี 2546 ขยายตัวร้อยละ 14.8 และ 11.1 ต่อปี 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคมอยู่ที่ 52.5 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 19 เดือน 4) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนมกราคมอยู่ที่ 14.4 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 37.7 ต่อปี 5) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวสูงตามการขยายตัวของภาคก่อสร้าง โดยเดือนธันวาคมปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวร้อยละ 15.5 ต่อปีในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 5.2 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ
การใช้จ่ายภาครัฐยังคงขยายตัวสูง โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนมกราคมอยู่ที่ 114.6 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 53.5 ต่อปี ประกอบด้วยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.8 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายงบกลางจำนวน 15,975 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลจากเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 982 ล้านบาท
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง 1) การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนมกราคมอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.0 ต่อปี ส่วนปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 13.4 และ 7.9 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ขณะที่ทั้งปี 2546 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ต่อปี 2) การนำเข้าขยายตัวดี โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคมอยู่ที่ 6.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.8 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น 31.6 และ 16.4 ต่อปีในเดือนธันวาคม และในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้งปี 2546 ปริมาณการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 8.7 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนมกราคมกลับมาเกินดุล 202 ล้านดอลลาร์ สรอ.
ภาคการผลิตขยายตัวในอัตราเร่ง ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 15.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 24.5 ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และแผงวงจรรวม อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์เหล็ก ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 5.2 ต่อปี ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 11.6 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 12.3 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 72.1 สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 69.2 ต่อปีในไตรมาสที่ 4 และร้อยละ 66.2 ต่อปีในปี 2546 ตามลำดับ
สินเชื่อและเงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดย 1) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs เดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ต่อปี 2) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนธันวาคมยังคงทรงตัวโดยขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี ชะลอตัวเล็กน้อยจากร้อยละ 4.5 ต่อปีในเดือนก่อน 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.8 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 4 ลดลงจากร้อยละ 15.3 จากเดือนก่อน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง และมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดย 1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.12 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ต่อปี 2) สินเชื่อ คงขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.17 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนพฤศจิกายนจำนวน 22.3 พันล้านบาท 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอยู่ที่ 130.8 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 11.4 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 9 แห่ง อยู่ที่ 1.63 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 โดยมีกำไรสุทธิเดือนพฤศจิกายน จำนวน 2,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,109 ล้านบาท จากเดือนที่ผ่านมา
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของค่าเช่าบ้าน 2) อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.09 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมกราคม 2547 เทียบกับเฉลี่ย 39.71 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนธันวาคม 2546 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธันวาคมเกินดุลทั้งสิ้น 732 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากดุลบริการที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทั้งสิ้น 2.4 และ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ในไตรมาสที่ 4 และทั้งปี 2546 ตามลำดับ 4) ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง โดยอยู่ที่ 42.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนมกราคม 2547 คิดเป็น 6.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าหรือประมาณ 3.7 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังเดือนมกราคม 2547 และช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้เบื้องต้นรวม 96,154 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 16,829 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12.0) และมีรายได้สุทธิรวม 87,945 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 16,690 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.4 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 12.6)
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - มกราคม 2547) รายได้รวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 377,213 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 88,735 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.8 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 21.5) โดยมีรายได้สุทธิ 342,881 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 85,988 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.5 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 22.1) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนมกราคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 94,574 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 30.1) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 86,824 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 7,750 ล้านบาท
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค. 46- ม.ค. 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 395,650 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.4 (ไม่รวมรายจ่ายจากเงินคงคลังจำนวน 25,075 ล้านบาท) โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 353,431 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.97 ของวงเงินงบประมาณ และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 42,219 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 327,516 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 39.4 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 25,915 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 13.2 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 88,934 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 94,453 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 5,518 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุล 12,162 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 6,644 ล้านบาท
สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 345,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 60,457 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 395,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 77,710 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.4 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 49,911 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 24,374 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 74,285 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนมกราคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 91,097 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 113,948 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 22,851 ล้านบาท และเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 639 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 9,849 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 13,641 ล้านบาท
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 328,711 ล้านบาท และมีรายจ่ายรวม 418,964 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 90,254 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 2,298 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 26,680 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังขาดดุล 65,872 ล้านบาท
3.3 คาดการณ์ฐานะการคลังปีงบประมาณ 2547
ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสดตลอดปีงบประมาณ 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลเงินสดขาดดุลรวม 52,905 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP (ปีที่แล้วขาดดุล 40,763 ล้านบาท) โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1,063,600 ล้านบาท และมีการการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,062,705 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี 135,500 ล้านบาท) ทำให้ดุลงบประมาณเกินดุล 895 ล้านบาท ส่วนดุลนอกงบประมาณคาดว่าจะขาดดุลประมาณ 53,800 ล้านบาท
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.ตลอดปี 2547 คาดว่ารัฐบาลจะมีดุลการคลังขาดดุล 6,499 ล้านบาท (ไม่รวมงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี) คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุล 10,646 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 เท่ากับ 2,887.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.90 ของ GDP ลดลงจากเดือนตุลาคม 5.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.09 ของ GDP โดยแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,622.3 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 864.6 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 400.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 26.83 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 27.02 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 11.8 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 4.7 พันล้านบาท และหนี้ FIDF เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.9 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 2/2547 25 กุมภาพันธ์ 2547--
-รก-