หลังจากที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้ปราศรัย ในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำของพรรคฯ เมื่อวันเสาร์ (29 ก.พ.47) ที่ผ่านมา โดยได้กล่าวปรามาสถึงพรรคการเมืองอื่นโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่สูสี ยังคงต้องรอไปอีก 20 ปี เพราะพรรคไทยรักไทยจะเป็นรัฐบาลต่อไป นั้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ยังยืนยันว่าไม่ใช่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ ที่มุ่งหวังจะเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และเพื่อผลประโยชน์บริษัทตัวเองและพวกพ้อง รวมทั้งไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองเพื่อที่จะเป็นนายกฯ เพียงอย่างเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้พิสูจน์มากว่า 50 ปี แล้วว่าเราเป็นสถาบันทางการเมืองที่พร้อมจะเป็นทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนในการกำหนดอนาคต
“ที่พรรคไทยรักไทย ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ รอไปอีก 20 ปี นั้นคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร ในฐานะพรรคฯ ที่เป็นสถาบันทางการเมือง เรารอได้ แต่ไม่แน่ใจว่าประชาชนจะทนรอได้นานขนาดนั้นหรือไม่ ผมคิดว่าพรรคไทยรักไทยจะคุยโม้โอ้อวดเรื่องของตนอย่างไรก็คุยไป แต่ไม่ควรไปกล่าวร้ายป้ายสี หรือดูหมิ่น หรือดูถูกเหยียดหยาม พรรคการเมืองอื่น” นายองอาจ กล่าว
ส่วนการที่หัวหน้าพรรคไทยรักไทย บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ด่าเก่ง แต่พรรคไทยรักไทยทำงานเก่งนั้น ตนคิดว่าไม่เป็นความจริง เพราะนายกฯทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด่าเก่งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์หลายเท่า เพราะหากตรวจสอบดูจากคำปราศรัยจะเห็นว่าเป็นคำด่าถ้อยคำหยาบคาย ดูถูก เหยียดหยามผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ความถี่ในการด่าก็สูงกว่านักการเมืองพรรคอื่น และมักจะใช้อารมณ์ผสมคำด่าอยู่ตลอดเวลา จึงอยากให้นายกฯ ทบทวนคำพูดของตนเสียใหม่ ให้ลดการด่าว่าคนอื่นน้อยลงจะดีกว่าการที่จะไปกล่าวหาคนอื่น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการที่นายกฯ ประกาศว่าจะแก้ปัญหาหนี้สิน ให้จบภายในสิ้นปีนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ ยังมองไม่เห็นว่านายกฯ จะดำเนินการอย่างไรที่จะแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ ในทางตรงกันข้าม นอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาภาคประชาชน ยังทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นตามโครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ ของรัฐบาล
นอกจากนั้นการที่นายกฯ พูดถึงปัญหาการชุมนุมของพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) ที่คัดค้านการแปรรูปของรัฐบาล ทำนองว่า ใครที่ออกขัดขวางการแปรูปฯ เป็นพวกไม่รักชาตินั้น ตนอยากทำความเข้าใจกับนายกฯ ว่า ความรักชาติระหว่างนายกฯ กับพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตคงไม่แตกต่างกัน เพียงแต่มุมในการมองปัญหาเดียวกันอาจจะแตกต่างกันในเรื่องจุดยืนของการที่จะปกป้องผลประโยชน์ชาติ ในขณะที่พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่นายกฯ กลับมีผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อตนเองและพวกพ้องหลายรูปแบบ ฉะนั้นนายกฯ ไม่ควรผูกขาดความรักชาติเป็นของท่านคนเดียว ควรเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง อย่ามองความเห็นที่แตกต่างคือความแตกแยก และควรมองปัญหาการชุมนุมของพนักงานการไฟฟ้าด้วยท่าทีที่สุขุมรอบคอบ ก็น่าจะช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 02/03/47--จบ--
-สส-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ยังยืนยันว่าไม่ใช่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ ที่มุ่งหวังจะเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และเพื่อผลประโยชน์บริษัทตัวเองและพวกพ้อง รวมทั้งไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองเพื่อที่จะเป็นนายกฯ เพียงอย่างเดียว แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้พิสูจน์มากว่า 50 ปี แล้วว่าเราเป็นสถาบันทางการเมืองที่พร้อมจะเป็นทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนในการกำหนดอนาคต
“ที่พรรคไทยรักไทย ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ รอไปอีก 20 ปี นั้นคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร ในฐานะพรรคฯ ที่เป็นสถาบันทางการเมือง เรารอได้ แต่ไม่แน่ใจว่าประชาชนจะทนรอได้นานขนาดนั้นหรือไม่ ผมคิดว่าพรรคไทยรักไทยจะคุยโม้โอ้อวดเรื่องของตนอย่างไรก็คุยไป แต่ไม่ควรไปกล่าวร้ายป้ายสี หรือดูหมิ่น หรือดูถูกเหยียดหยาม พรรคการเมืองอื่น” นายองอาจ กล่าว
ส่วนการที่หัวหน้าพรรคไทยรักไทย บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ด่าเก่ง แต่พรรคไทยรักไทยทำงานเก่งนั้น ตนคิดว่าไม่เป็นความจริง เพราะนายกฯทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด่าเก่งมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์หลายเท่า เพราะหากตรวจสอบดูจากคำปราศรัยจะเห็นว่าเป็นคำด่าถ้อยคำหยาบคาย ดูถูก เหยียดหยามผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ความถี่ในการด่าก็สูงกว่านักการเมืองพรรคอื่น และมักจะใช้อารมณ์ผสมคำด่าอยู่ตลอดเวลา จึงอยากให้นายกฯ ทบทวนคำพูดของตนเสียใหม่ ให้ลดการด่าว่าคนอื่นน้อยลงจะดีกว่าการที่จะไปกล่าวหาคนอื่น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการที่นายกฯ ประกาศว่าจะแก้ปัญหาหนี้สิน ให้จบภายในสิ้นปีนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ ยังมองไม่เห็นว่านายกฯ จะดำเนินการอย่างไรที่จะแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ ในทางตรงกันข้าม นอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาภาคประชาชน ยังทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นตามโครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ ของรัฐบาล
นอกจากนั้นการที่นายกฯ พูดถึงปัญหาการชุมนุมของพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) ที่คัดค้านการแปรรูปของรัฐบาล ทำนองว่า ใครที่ออกขัดขวางการแปรูปฯ เป็นพวกไม่รักชาตินั้น ตนอยากทำความเข้าใจกับนายกฯ ว่า ความรักชาติระหว่างนายกฯ กับพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตคงไม่แตกต่างกัน เพียงแต่มุมในการมองปัญหาเดียวกันอาจจะแตกต่างกันในเรื่องจุดยืนของการที่จะปกป้องผลประโยชน์ชาติ ในขณะที่พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่นายกฯ กลับมีผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อตนเองและพวกพ้องหลายรูปแบบ ฉะนั้นนายกฯ ไม่ควรผูกขาดความรักชาติเป็นของท่านคนเดียว ควรเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง อย่ามองความเห็นที่แตกต่างคือความแตกแยก และควรมองปัญหาการชุมนุมของพนักงานการไฟฟ้าด้วยท่าทีที่สุขุมรอบคอบ ก็น่าจะช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 02/03/47--จบ--
-สส-