นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ล่าสุด ที่มีการโยกสลับในหลายตำแหน่งว่า การปรับครม.ครั้งนี้ ตนคิดว่ามีเหตุผลดังนี้คือ ประเด็นที่ 1.เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และเมื่อการปรับครม.เกิดขึ้น กระแสเรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)ก็จะลดลง
ประเด็นที่ 2 รัฐบาลกำลังยอมรับว่าการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ล้มเหลว เพราะรัฐมนตรี 2 กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม มีการเปลี่ยนแปลง ประเด็นที่ 3 สะท้อนภาพของนายกฯ ที่ยังไม่พร้อมที่จะตัดรมต.ในส่วนที่ยังมีความผูกพันธ์ ทั้งส่วนตัว หรือเคยทำประโยชน์ให้แก่กัน ซึ่งจะสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงรมต.บางกระทรวงที่แม้ว่าจะล้มเหลวในการบริหารงานไปเป็นรองนายกฯ ประเด็นที่ 4 ความสำคัญของตำแหน่งรองนายกฯ กำลังกลายเป็นตำแหน่งกรุ ที่รองรับผู้ที่ไม่มีทางไปหรือไม่มีตำแหน่งให้ลง ประเด็นที่ 5 การจะปรับครม.หรือไม่ คงไม่มีผลอะไร หากรูปแบบของการบริหารบ้านเมืองในเวลานี้ ซึ่งศูนย์รวมการทำงานยังอยู่ที่ตัวนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว ประเด็นที่ 6 การปรับครม.ที่มีการโยกย้ายรมต.ที่ผิดพลาดในการบริหารงานไปอยู่กระทรวงอื่นเพื่อหลบเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือว่านายกฯกำลังทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีตามระบอบประชาธิปไตย
ต่อข้อซักถามว่าการปรับครม.ที่เกิดขึ้นจะมีผลกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรมต.ของฝ่ายค้านหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีผลแน่นอนในด้านของรมต.ที่จะถูกอภิปราย เพราะความล้มเหลวเกิดขึ้นอย่างชัดเจนถึงขนาดที่รัฐบาลก็ยอมรับ จนต้องปรับรมต.ที่ล้มเหลวในการบริหารงานไปอยู่กระทรวงอื่น เมื่อถามถึงการต่อเนื่องของการบริหารงานในกระทรวงต่างๆ นายบัญญัติกล่าวว่า เรื่องความต่อเนื่องหลายคนลืมไปแล้ว เพราะขณะนี้การบริหารงานทั้งหมด ขึ้นอยู่ที่ตัวนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว
‘เมื่อท่านนายกฯทักษิณ เข้ามาเป็นนายกฯความรู้สึกกังวลว่าการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีจะทำให้งานไม่ต่อเนื่องมันหมดไปตั้งนานแล้ว เพราะบทบาทสำคัญไปอยู่ที่นายกฯทั้งนั้น บทบาทของรัฐมนตรีช่วงหลังๆ ผมคิดว่าดูจะไม่ใช่บทบาทของคนที่มีบทบาทในการนำเสนอหลักการหรือวิธีการในการแก้ปัญหา หรือจะมีบทบาทในทำนองรับสนองนโยบายจากนายกฯเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่าเรื่องความต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องคงจะเลิกพูดกันได้แล้ว’ นายบัญญัติกล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะผู้บริหารและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าว โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การปรับครม.ครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อกระจายตำแหน่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลบบางกลุ่มหรื่อไม่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ตั้งข้อสังเกตใน 4 ประการดังต่อไปนี้ ประการที่ 1 เป็นการปรับเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ประการที่ 2 การแต่งตั้งรัฐมนตรี เพื่อสร้างฐานการเลือกตั้งครั้งหน้า ประการที่ 3 เป็นการสลับตำแหน่งของรัฐมนตรีที่เริ่มจะบอบช้ำ ไปอยู่กระทรวงอื่น และประการที่ 4 เป็นการโยกย้ายเพื่อหลบเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามการปรับครม.ที่เกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะเรียกว่าเป็นครม.เวียนเทียน และเชื่อว่าการปรับครม.ทักษิณ 8 จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะจะมีอีกแน่นอนในอนาคต
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 09/03/47--จบ--
-สส-
ประเด็นที่ 2 รัฐบาลกำลังยอมรับว่าการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ล้มเหลว เพราะรัฐมนตรี 2 กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม มีการเปลี่ยนแปลง ประเด็นที่ 3 สะท้อนภาพของนายกฯ ที่ยังไม่พร้อมที่จะตัดรมต.ในส่วนที่ยังมีความผูกพันธ์ ทั้งส่วนตัว หรือเคยทำประโยชน์ให้แก่กัน ซึ่งจะสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงรมต.บางกระทรวงที่แม้ว่าจะล้มเหลวในการบริหารงานไปเป็นรองนายกฯ ประเด็นที่ 4 ความสำคัญของตำแหน่งรองนายกฯ กำลังกลายเป็นตำแหน่งกรุ ที่รองรับผู้ที่ไม่มีทางไปหรือไม่มีตำแหน่งให้ลง ประเด็นที่ 5 การจะปรับครม.หรือไม่ คงไม่มีผลอะไร หากรูปแบบของการบริหารบ้านเมืองในเวลานี้ ซึ่งศูนย์รวมการทำงานยังอยู่ที่ตัวนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว ประเด็นที่ 6 การปรับครม.ที่มีการโยกย้ายรมต.ที่ผิดพลาดในการบริหารงานไปอยู่กระทรวงอื่นเพื่อหลบเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือว่านายกฯกำลังทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีตามระบอบประชาธิปไตย
ต่อข้อซักถามว่าการปรับครม.ที่เกิดขึ้นจะมีผลกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรมต.ของฝ่ายค้านหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีผลแน่นอนในด้านของรมต.ที่จะถูกอภิปราย เพราะความล้มเหลวเกิดขึ้นอย่างชัดเจนถึงขนาดที่รัฐบาลก็ยอมรับ จนต้องปรับรมต.ที่ล้มเหลวในการบริหารงานไปอยู่กระทรวงอื่น เมื่อถามถึงการต่อเนื่องของการบริหารงานในกระทรวงต่างๆ นายบัญญัติกล่าวว่า เรื่องความต่อเนื่องหลายคนลืมไปแล้ว เพราะขณะนี้การบริหารงานทั้งหมด ขึ้นอยู่ที่ตัวนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว
‘เมื่อท่านนายกฯทักษิณ เข้ามาเป็นนายกฯความรู้สึกกังวลว่าการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีจะทำให้งานไม่ต่อเนื่องมันหมดไปตั้งนานแล้ว เพราะบทบาทสำคัญไปอยู่ที่นายกฯทั้งนั้น บทบาทของรัฐมนตรีช่วงหลังๆ ผมคิดว่าดูจะไม่ใช่บทบาทของคนที่มีบทบาทในการนำเสนอหลักการหรือวิธีการในการแก้ปัญหา หรือจะมีบทบาทในทำนองรับสนองนโยบายจากนายกฯเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่าเรื่องความต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องคงจะเลิกพูดกันได้แล้ว’ นายบัญญัติกล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะผู้บริหารและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าว โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การปรับครม.ครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อกระจายตำแหน่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลบบางกลุ่มหรื่อไม่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ตั้งข้อสังเกตใน 4 ประการดังต่อไปนี้ ประการที่ 1 เป็นการปรับเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ประการที่ 2 การแต่งตั้งรัฐมนตรี เพื่อสร้างฐานการเลือกตั้งครั้งหน้า ประการที่ 3 เป็นการสลับตำแหน่งของรัฐมนตรีที่เริ่มจะบอบช้ำ ไปอยู่กระทรวงอื่น และประการที่ 4 เป็นการโยกย้ายเพื่อหลบเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามการปรับครม.ที่เกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะเรียกว่าเป็นครม.เวียนเทียน และเชื่อว่าการปรับครม.ทักษิณ 8 จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะจะมีอีกแน่นอนในอนาคต
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 09/03/47--จบ--
-สส-