วันนี้ (3 ก.พ. 48) เวลา 11.20 น. นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้ายื่นฟ้องพรรคไทยรักไทยฐานหมิ่นประมาทฯ กรณีสติ๊กเกอร์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา โดยได้นำเอกสารฟ้องร้อง พรรคไทยรักไทย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและในฐานะส่วนตัว น.ต. ศิธา ทิวารี นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ พล.ต.ต. โกสินทร์ หินเธาว์ นายประชา เหตะกูล ในข้อหาหรือฐานความผิด หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร , พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ในกรณีกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์บิดเบือนพระราชดำรัสมาใช้หาเสียง ทำให้พรรคเสื่อมเสียพร้อมยืนยันว่าไม่ได้ฟ้องเพื่อแก้เกี้ยวทางการเมือง แต่ต้องการให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง โดยจะยื่นเรื่องต่อ กกต.ต่อไป
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 48 ตำรวจกองปราบปรามได้ยึดสติกเกอร์แผ่นสีเหลือง 3,000 แผ่น มีข้อความว่า “เผยรับสั่งราชินี ความยากจนไม่ใช่เป็นสิ่งน่าอาย ความชั่วช้าคดโกงนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่าละอายอย่างยิ่ง” และแผ่นสีขาว 3,000 แผ่น มีข้อความว่า “เผยรับสั่งในหลวง ยิ่งรวยยิ่งโกง ทำทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป” ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคและฐานะส่วนตัวได้ใส่ความโจทก์โดยให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางที่เป็นเรื่องสกปรก ไม่ว่าจะเป็นการนำสถาบันและพระราชดำรัสที่ผิดๆ มาทำสติกเกอร์ น่าสมเพชเหมือนคนหมดทางสู้ ทั้งที่การเมืองคือการแข่งขันทำความดี เพื่อให้ประชาชนเกิดความศรัทธา แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับใช้วิธีการทำลาย
ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง (กกต.) กล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ทำสติกเกอร์รับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ้างว่ามีพยานยืนยันการรับออเดอร์ที่ห้องผู้นำฝ่ายค้าน บนชั้น 3 อาคารรัฐสภา ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมายอมรับและขอโทษคนทั้งประเทศ ส่วนจำเลยที่ 4 กล่าวหาว่าโจทก์มีพฤติการณ์ตัดตอนคำพูดโน้มน้าวให้คนเข้าใจผิดตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายปรีดี พนมยงค์, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือซีดีตากใบ และสติกเกอร์ที่คลองเตย และจำเลยที่ 5 ให้สัมภาษณ์ว่าตำรวจจับกุมและยึดสติกเกอร์ได้ที่หน้าที่ทำการศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ เขตคลองเตย และบางส่วนยึดได้ขณะขนลงมาจากชั้นสองของอาคาร เรื่องที่เกิดขึ้นคาดว่าเป็นการจัดแคมเปญโค้งสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ โดยจำเลยที่ 6 นำข้อความดังกล่าวไปตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1-6 เป็นการหมิ่นประมาท ใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำสัมภาษณ์เข้าใจว่าโจทก์เล่นการเมืองสกปรก โดยเป็นผู้ทำสติกเกอร์พระราชดำรัสออกเผยแพร่ ทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหมดตามความผิดด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 48 ตำรวจกองปราบปรามได้ยึดสติกเกอร์แผ่นสีเหลือง 3,000 แผ่น มีข้อความว่า “เผยรับสั่งราชินี ความยากจนไม่ใช่เป็นสิ่งน่าอาย ความชั่วช้าคดโกงนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่าละอายอย่างยิ่ง” และแผ่นสีขาว 3,000 แผ่น มีข้อความว่า “เผยรับสั่งในหลวง ยิ่งรวยยิ่งโกง ทำทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป” ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคและฐานะส่วนตัวได้ใส่ความโจทก์โดยให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางที่เป็นเรื่องสกปรก ไม่ว่าจะเป็นการนำสถาบันและพระราชดำรัสที่ผิดๆ มาทำสติกเกอร์ น่าสมเพชเหมือนคนหมดทางสู้ ทั้งที่การเมืองคือการแข่งขันทำความดี เพื่อให้ประชาชนเกิดความศรัทธา แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับใช้วิธีการทำลาย
ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง (กกต.) กล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้ทำสติกเกอร์รับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ้างว่ามีพยานยืนยันการรับออเดอร์ที่ห้องผู้นำฝ่ายค้าน บนชั้น 3 อาคารรัฐสภา ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมายอมรับและขอโทษคนทั้งประเทศ ส่วนจำเลยที่ 4 กล่าวหาว่าโจทก์มีพฤติการณ์ตัดตอนคำพูดโน้มน้าวให้คนเข้าใจผิดตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายปรีดี พนมยงค์, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือซีดีตากใบ และสติกเกอร์ที่คลองเตย และจำเลยที่ 5 ให้สัมภาษณ์ว่าตำรวจจับกุมและยึดสติกเกอร์ได้ที่หน้าที่ทำการศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ เขตคลองเตย และบางส่วนยึดได้ขณะขนลงมาจากชั้นสองของอาคาร เรื่องที่เกิดขึ้นคาดว่าเป็นการจัดแคมเปญโค้งสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ โดยจำเลยที่ 6 นำข้อความดังกล่าวไปตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1-6 เป็นการหมิ่นประมาท ใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำสัมภาษณ์เข้าใจว่าโจทก์เล่นการเมืองสกปรก โดยเป็นผู้ทำสติกเกอร์พระราชดำรัสออกเผยแพร่ ทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหมดตามความผิดด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-