ปัญหาความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนนับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศ ถูกตั้งข้อสงสัย และวิพาษณ์วิจารณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอดเรื่องสิทธิมนุษยชน ล่าสุดเกิดกรณีการหายตัวไปของ นายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความชื่อดัง ซึ่งทำคดีเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้มีข้อสังเกตว่า เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ ประกอบกับท่าทีเมินเฉยขาดความรับผิดชอบของบรรดาผู้บริหารของรัฐบาล สะท้อนภาพความไม่ปลอดภัยและขาดเชื่อมั่นแก่ครอบครัวนายสมชาย ตลอดจนประชาชนในประเทศเป็นอย่างยิ่ง ศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ นำเสนอเรื่องดังกล่าวใน 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 เป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนคุกคามผู้บริสุทธิ์
นายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับการยอมรับและเป็นทนายความที่มีบทบาทดีเด่น เพราะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มเหงรังแก โดยไม่เลือกฐานะและศาสนา และด้วยความเป็นมุสลิม จึงมักจะถูกขอความช่วยเหลือในเรื่องของคดีพี่น้องมุสลิมที่ตกเป็นจำเลย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก
นอกจากนี้ นายสมชาย ยังเป็นแกนนำในการล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ เพื่อให้รัฐบาลยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีกำหนดนัดพบนายกฯ ทักษิณ เพื่อมอบรายชื่อในวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาอีกด้วย แต่กลับมาหายตัวไปอย่างลึกลับ
ประเด็นที่ 2 รัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนประเด็นด่วนสรุปเป็นเรื่องส่วนตัว
การหายตัวไปของ นายสมชาย หลายฝ่ายต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการเป็นทนายเข้าไปแก้ต่างคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐหลายคดี ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่เจ้าหน้าที่บางคนของรัฐมาตลอด และที่ผ่านมาเคยถูกข่มขู่มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งล่าสุดนางอังคณา วงศ์ราเชน ภรรยาของนายสมชาย ให้ข้อมูลว่า เคยมีคนโทรศัพท์มาขอหมายเลขทะเบียนรถเพื่อจะต่อทะเบียนรถให้ และในวันเกิดเหตุ นายสมชายออกจากสำนักงานทนายความของตัวเองจากถนนรัชดาภิเษกไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีน่า ถนนรามคำแหงแล้วขาดการติดต่อไป
แต่จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของ นายกฯ ทักษิณ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม มีความเห็นทำนองเดียวกันว่า สาเหตุการหายตัวไปของนายสมชายน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องการทะเลาะกับครอบครัว และเชื่อว่ายังหลบอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น โดยสรุปเป็นเรื่องส่วนตัว
ประเด็นที่ 3 หลายฝ่ายไม่เชื่อมั่นในความจริงใจในการแก้ปัญหาของรัฐบาลทักษิณ
จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกันว่า หากนายสมชายถูกอุ้มจริง ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความจริงจากคำกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่า ประเทศไทยยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่มาก อันจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ของประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้พี่น้องชาวมุสลิมในภาคใต้และชาวมุสลิมทั่วประเทศไม่พอใจ เพราะนายสมชายเป็นทนายขวัญใจและเป็นที่พึ่งของประชาชน
ทัศนะของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่า การหายตัวไปของสมชาย ลีนะไพจิตร ไม่น่าจะมาจากสาเหตุเรื่องส่วนตัว แต่น่าจะมาจากสาเหตุการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องชาวมุสลิมทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะนายสมชายมีบทบาทสูงในหมู่พี่น้องมุสลิม
“ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมามีบทบาทร่วมกับคุณเด่น (โต๊ะมีนา ส.ว.ปัตตานี) ในการล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประเด็นนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลไม่พอใจ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีหน้าที่ที่จะต้องหาตัวคุณสมชายให้เจอ เพราะถ้าหาไม่เจอแล้วก็จะมีความคิดว่าถูกอุ้ม ทำให้มุสลิมทั้งหมดรู้สึกเหมือนกับที่เคยรู้สึกมาก่อนว่ารัฐไม่เคยแยแสคนมุสลิม ถูกปฏิเสธความเป็นกลางในกระบวนการยุติธรรมมาตลอด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้การแก้ปัญหาภาคใต้ทำได้ยากขึ้น เพราะคนไม่เชื่อมั่น ไม่มั่นใจว่ารัฐให้ความคุ้มครองได้”
นายสมัย เจริญช่าง กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เห็นว่า “ถือเป็นความสูญเสียของสังคม ที่คนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของคนด้อยโอกาสทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดอย่าง โดยที่ผ่านมา นายสมชายได้ใช้วิชาชีพด้านกฎหมายให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง โดยไม่คิดค่าตอบแทน ดังนั้นการหายตัวไปครั้งนี้ถือว่าสังคมวิกฤติแล้ว ยิ่งคุณสมชายเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในหมู่พี่น้องมุสลิม เพราะมีบทบาทอย่างสูงและได้รับนับถือมาตั้งแต่รุ่นพ่อ มีการต่อสู้และเป็นแบบอย่างที่ดีของมุสลิมมีประวัติการต่อสู้ มีความลำบาก เคยเป็นผู้นำยุวมุสลิม การดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในกรอบของศาสนา ดังนั้นการหายตัวไปถือเป็นความสูญเสีย เหมือนกับหัวใจของคนมุสลิมสูญเสียไป
เขาเคยบอกว่า เขาไม่อยากเป็นฮีโร่ แต่เมื่อใครเดือดร้อนก็เข้ามาหา ชมรมนักกฎหมายมุสลิมก็ต้องเข้าไปช่วย ซึ่งคุณสมชายเป็นประธานอยู่ บางครั้งมีคนคิดหรือกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและที่ผ่านมาญาติของคุณสมชายได้ตั้งข้อสังเกต รวมทั้งมีคนมาเตือนว่าให้ระวังตัว เพราะถูกขึ้นบัญชีดำเป็น 1 ใน40 ที่ถูกหมายหัว”
ประเด็นที่ 4 รัฐบาลล้มเหลวแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.47 เกิดเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงสถานที่ราชการและบ้านประชาชน จำนวน 15 จุด กระจายในพื้นที่
3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และสงขลา ภาพสะท้อนความล้มเหลวการแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ แม้ว่าจะมีการทุ่มเทสรรพกำลังทุกทางลงไปอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ยังไร้ผล ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจสภาพปัญหาที่แท้จริง และเรื่องความไม่จริงใจในการสถาปนาความมั่นคงให้เกิดขึ้นในพื้นที่
ความรุนแรงมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหา เพราะเกิดขึ้นหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดปัตตานี เมื่อวันอังคารที่ 16 มี.ค.47 แสดงให้เห็นว่า ประชาชนยังไม่พอใจรัฐบาล เพราะการไปประชุมสัญจรนอกจากไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาของ
ประชาชนทั่วไปแล้ว งบประมาณที่รัฐบาลอนุมัติเพื่อการพัฒนาในโครงการต่างๆ จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นการเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจบางกลุ่มเท่านั้น และระหว่างการประชุมยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ เพราะมีการปิดถนนตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับคณะรัฐมนตรีอย่างละเอียด สร้างความตึงเครียดในพื้นที่เพิ่มขึ้นไปอีก
จากเหตุการณ์ลอบวางเพลิงที่เกิดขึ้น ยังชี้ให้เห็นว่า ความยุ่งยากในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเพิ่มมากขึ้นอีก หลังจากการหายตัวไปของ นายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความมุสลิมชื่อดัง เพราะด้วยบทบาทนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของพี่น้องมุสลิม และเป็นทนายให้กับผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคดี ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่พอใจ เพราะเวลานี้คนมุสลิมและคนทั่วไปเชื่อว่า นายสมชายถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ้มหายตัวไป
แนวโน้มดังกล่าวน่าจะเป็นจริง เพราะจากคำชี้แจงในสภา ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า “ได้รับข้อมูลน่าเชื่อว่า นายสมชายถูกคนที่มีลักษณะการแต่งตัวแปลกๆแบบเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ้มตัวไป”
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งจะเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวมุสลิม ซึ่งความไม่สงบครั้งนี้ น่าจะมีสาเหตุเกี่ยวโยงกับการหายตัวไปของทนายสมชาย ลีนะไพจิตรด้วย
สรุป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น่าเป็นห่วงว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกำลังถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากเหตุการณ์การสังหารผู้บริสุทธิ์ระหว่างการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ผ่านมาองค์กรต่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ และวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หากกรณีการหายตัวไปของ นายสมชาย ลีนะไพจิตร รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี ยังใช้วิธีการเบี่ยงเบนประเด็นให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทำให้เกิดความกระจ่างโดยเร็ว น่าเป็นห่วงว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะสร้างความแตกแยกให้เกิดกับคนไทยพุทธและมุสลิม รวมถึงปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20/03/47--จบ--
-สส-
ประเด็นที่ 1 เป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนคุกคามผู้บริสุทธิ์
นายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับการยอมรับและเป็นทนายความที่มีบทบาทดีเด่น เพราะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มเหงรังแก โดยไม่เลือกฐานะและศาสนา และด้วยความเป็นมุสลิม จึงมักจะถูกขอความช่วยเหลือในเรื่องของคดีพี่น้องมุสลิมที่ตกเป็นจำเลย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก
นอกจากนี้ นายสมชาย ยังเป็นแกนนำในการล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ เพื่อให้รัฐบาลยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีกำหนดนัดพบนายกฯ ทักษิณ เพื่อมอบรายชื่อในวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาอีกด้วย แต่กลับมาหายตัวไปอย่างลึกลับ
ประเด็นที่ 2 รัฐบาลพยายามเบี่ยงเบนประเด็นด่วนสรุปเป็นเรื่องส่วนตัว
การหายตัวไปของ นายสมชาย หลายฝ่ายต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการเป็นทนายเข้าไปแก้ต่างคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐหลายคดี ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่เจ้าหน้าที่บางคนของรัฐมาตลอด และที่ผ่านมาเคยถูกข่มขู่มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งล่าสุดนางอังคณา วงศ์ราเชน ภรรยาของนายสมชาย ให้ข้อมูลว่า เคยมีคนโทรศัพท์มาขอหมายเลขทะเบียนรถเพื่อจะต่อทะเบียนรถให้ และในวันเกิดเหตุ นายสมชายออกจากสำนักงานทนายความของตัวเองจากถนนรัชดาภิเษกไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีน่า ถนนรามคำแหงแล้วขาดการติดต่อไป
แต่จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของ นายกฯ ทักษิณ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม มีความเห็นทำนองเดียวกันว่า สาเหตุการหายตัวไปของนายสมชายน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องการทะเลาะกับครอบครัว และเชื่อว่ายังหลบอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น โดยสรุปเป็นเรื่องส่วนตัว
ประเด็นที่ 3 หลายฝ่ายไม่เชื่อมั่นในความจริงใจในการแก้ปัญหาของรัฐบาลทักษิณ
จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกันว่า หากนายสมชายถูกอุ้มจริง ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความจริงจากคำกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่า ประเทศไทยยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่มาก อันจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ของประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้พี่น้องชาวมุสลิมในภาคใต้และชาวมุสลิมทั่วประเทศไม่พอใจ เพราะนายสมชายเป็นทนายขวัญใจและเป็นที่พึ่งของประชาชน
ทัศนะของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่า การหายตัวไปของสมชาย ลีนะไพจิตร ไม่น่าจะมาจากสาเหตุเรื่องส่วนตัว แต่น่าจะมาจากสาเหตุการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องชาวมุสลิมทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะนายสมชายมีบทบาทสูงในหมู่พี่น้องมุสลิม
“ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมามีบทบาทร่วมกับคุณเด่น (โต๊ะมีนา ส.ว.ปัตตานี) ในการล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประเด็นนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลไม่พอใจ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีหน้าที่ที่จะต้องหาตัวคุณสมชายให้เจอ เพราะถ้าหาไม่เจอแล้วก็จะมีความคิดว่าถูกอุ้ม ทำให้มุสลิมทั้งหมดรู้สึกเหมือนกับที่เคยรู้สึกมาก่อนว่ารัฐไม่เคยแยแสคนมุสลิม ถูกปฏิเสธความเป็นกลางในกระบวนการยุติธรรมมาตลอด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้การแก้ปัญหาภาคใต้ทำได้ยากขึ้น เพราะคนไม่เชื่อมั่น ไม่มั่นใจว่ารัฐให้ความคุ้มครองได้”
นายสมัย เจริญช่าง กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เห็นว่า “ถือเป็นความสูญเสียของสังคม ที่คนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของคนด้อยโอกาสทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดอย่าง โดยที่ผ่านมา นายสมชายได้ใช้วิชาชีพด้านกฎหมายให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง โดยไม่คิดค่าตอบแทน ดังนั้นการหายตัวไปครั้งนี้ถือว่าสังคมวิกฤติแล้ว ยิ่งคุณสมชายเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในหมู่พี่น้องมุสลิม เพราะมีบทบาทอย่างสูงและได้รับนับถือมาตั้งแต่รุ่นพ่อ มีการต่อสู้และเป็นแบบอย่างที่ดีของมุสลิมมีประวัติการต่อสู้ มีความลำบาก เคยเป็นผู้นำยุวมุสลิม การดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในกรอบของศาสนา ดังนั้นการหายตัวไปถือเป็นความสูญเสีย เหมือนกับหัวใจของคนมุสลิมสูญเสียไป
เขาเคยบอกว่า เขาไม่อยากเป็นฮีโร่ แต่เมื่อใครเดือดร้อนก็เข้ามาหา ชมรมนักกฎหมายมุสลิมก็ต้องเข้าไปช่วย ซึ่งคุณสมชายเป็นประธานอยู่ บางครั้งมีคนคิดหรือกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและที่ผ่านมาญาติของคุณสมชายได้ตั้งข้อสังเกต รวมทั้งมีคนมาเตือนว่าให้ระวังตัว เพราะถูกขึ้นบัญชีดำเป็น 1 ใน40 ที่ถูกหมายหัว”
ประเด็นที่ 4 รัฐบาลล้มเหลวแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.47 เกิดเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงสถานที่ราชการและบ้านประชาชน จำนวน 15 จุด กระจายในพื้นที่
3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และสงขลา ภาพสะท้อนความล้มเหลวการแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ แม้ว่าจะมีการทุ่มเทสรรพกำลังทุกทางลงไปอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ยังไร้ผล ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจสภาพปัญหาที่แท้จริง และเรื่องความไม่จริงใจในการสถาปนาความมั่นคงให้เกิดขึ้นในพื้นที่
ความรุนแรงมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหา เพราะเกิดขึ้นหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดปัตตานี เมื่อวันอังคารที่ 16 มี.ค.47 แสดงให้เห็นว่า ประชาชนยังไม่พอใจรัฐบาล เพราะการไปประชุมสัญจรนอกจากไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาของ
ประชาชนทั่วไปแล้ว งบประมาณที่รัฐบาลอนุมัติเพื่อการพัฒนาในโครงการต่างๆ จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นการเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจบางกลุ่มเท่านั้น และระหว่างการประชุมยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ เพราะมีการปิดถนนตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับคณะรัฐมนตรีอย่างละเอียด สร้างความตึงเครียดในพื้นที่เพิ่มขึ้นไปอีก
จากเหตุการณ์ลอบวางเพลิงที่เกิดขึ้น ยังชี้ให้เห็นว่า ความยุ่งยากในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเพิ่มมากขึ้นอีก หลังจากการหายตัวไปของ นายสมชาย ลีนะไพจิตร ทนายความมุสลิมชื่อดัง เพราะด้วยบทบาทนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของพี่น้องมุสลิม และเป็นทนายให้กับผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคดี ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่พอใจ เพราะเวลานี้คนมุสลิมและคนทั่วไปเชื่อว่า นายสมชายถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ้มหายตัวไป
แนวโน้มดังกล่าวน่าจะเป็นจริง เพราะจากคำชี้แจงในสภา ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า “ได้รับข้อมูลน่าเชื่อว่า นายสมชายถูกคนที่มีลักษณะการแต่งตัวแปลกๆแบบเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ้มตัวไป”
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งจะเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวมุสลิม ซึ่งความไม่สงบครั้งนี้ น่าจะมีสาเหตุเกี่ยวโยงกับการหายตัวไปของทนายสมชาย ลีนะไพจิตรด้วย
สรุป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น่าเป็นห่วงว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกำลังถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากเหตุการณ์การสังหารผู้บริสุทธิ์ระหว่างการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดและปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ผ่านมาองค์กรต่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ และวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หากกรณีการหายตัวไปของ นายสมชาย ลีนะไพจิตร รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี ยังใช้วิธีการเบี่ยงเบนประเด็นให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทำให้เกิดความกระจ่างโดยเร็ว น่าเป็นห่วงว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะสร้างความแตกแยกให้เกิดกับคนไทยพุทธและมุสลิม รวมถึงปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20/03/47--จบ--
-สส-