ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้กลางปีหน้าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเป็นบวก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ธปท.ต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก ทั้งอัตราดอกเบี้ยของ ธพ.และอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อ
คืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์/พี) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น
ต้องการปรับให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปภายในกลางปี 49 แต่สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงของ ธพ.จะ
เป็นบวกเมื่อใดขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสภาพคล่องได้ปรับลดลงค่อนข้างมาก หาก
ปรับลดลงอีกอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ ธพ.ปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อาร์/พี 14 วันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ส.ค.47 จนถึงครั้งล่าสุด ได้ปรับขึ้นไปแล้วทั้งร้อยละ 2.0 มาอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 3.25 แล้ว ดังนั้น หาก ธปท.ต้องการให้ดอกเบี้ยอาร์/พีสูงกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อในกลางปีหน้า ธปท.จะ
ต้องมีการปรับอัตราดกเบี้ยขึ้นอีกอย่างน้อยที่สุดร้อยละ 0.75 ในช่วงต่อจากนี้จนถึงกลางปีหน้า เนื่องจากในรายงาน
แนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ได้คาดการณ์ไว้ว่าในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะขยายตัวที่
ระดับร้อยละ 3.5-4.5 (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
2. ธปท. ห้าม ธพ.ถือหน่วยลงทุนแต่ละกองเกินร้อยละ 20 นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนถึง ธพ.ทุกแห่ง เรื่อง การประกอบธุรกิจ
หลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลง
ทุน โดยกำหนดให้ ธพ.ต้องไม่ถือหน่วยลงทุนเป็นสัดส่วนที่มาก หรือทั้งหมดของกองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งทั้งทาง
ตรงและทางอ้อม รวมทั้งต้องไม่ลงทุนก่อภาระผูกพันหรือให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งผ่านกองทุนรวม เพื่อหลีก
เลี่ยงเกณฑ์อัตราส่วนการซื้อหรือมีหุ้นกับเงินกองทุน และเกณฑ์อัตราส่วนการให้สินเชื่อลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อ
บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (Single Lending Limit) ตามที่ ธปท.กำหนด ทั้งนี้ ธพ.จะซื้อหรือมีหน่วยลง
ทุนแต่ละกองไม่เกินร้อยละ 20 ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวม และสามารถซื้อหน่วยลงทุน
ของกองทุนรวมประเภทอื่นนอกจากหน่วยลงทุนของตราสารแห่งหนี้ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้
แล้วทั้งหมดของกองทุนรวม โดยอัตราส่วนการซื้อหรือมีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแต่ละกองไม่ใช้บังคับกับการซื้อหรือ
มีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ ธพ.ได้ลงทุนอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพ
ธุรกิจ, เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า, ไทยรัฐ, โลกวันนี้)
3. ก.คลังมอบนโยบายให้กรมสรรพากรหาแนวทางให้ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ 20 ล้านคน ยื่นแบบ
เสียภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมสรรพากรหาแนวทางที่จะทำให้ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศที่มีอยู่
กว่า 20 ล้านคน เข้ามายื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ครบทั้งหมด แม้ว่าแรงงานนั้นจะมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์
ที่ต้องเสียภาษีก็ตาม แต่เพื่อต้องการให้แรงงานเหล่านั้นสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมหรือ
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือสิทธิประโยชน์ทางสังคมอื่น ๆ ที่แรงงานควรได้รับ เพราะในปัจจุบันอาจมี
บริษัทหรือนายจ้างบางแห่งไม่ได้เข้าสู่ระบบประกันสังคม จึงทำให้แรงงานบางส่วนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้
รับ ทั้งนี้ หากกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงระบบการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้ากับระบบสมาร์ทการ์ด
ได้ จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นและได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ อนึ่ง ปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบเสียภาษีเพียง 7 ล้าน
คน จากกำลังแรงงานกว่า 20 ล้านคน ขณะที่สมาชิกของกองทุนประกันสังคมมีกว่า 8 ล้านคน (เดลินิวส์, กรุงเทพ
ธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง, สยามรัฐ, ข่าวสด)
4. บสก.เผยพร้อมควบรวมกิจการกับ บบส.ตามแผนของ ก.คลัง กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) เปิดเผยถึงกรณี รมว.คลังมีนโยบายให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์
สถาบันการเงิน (บบส.) กับ บสก.ควบรวมกิจการกันว่า ในขณะนี้ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เนื่องจากยังไม่มีการ
หารือร่วมกัน อย่างไรก็ตาม หากทางการมีนโยบายก็ยินดีปฏิบัติตาม โดยเห็นว่า การควบรวมจะส่งผลดีต่อการแก้
ปัญหานี้ทั้งในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) เพราะจะทำให้
การแก้ไขหนี้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ระหว่างการรอความชัดเจนการควบรวมดังกล่าว จะส่งผลให้แผนการเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องล่าช้าออกไปก่อน โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ
สถาบันการเงิน ได้รับทราบถึงแผนงานเบื้องต้นและวัตถุประสงค์ในการควบรวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งการ
ให้ศึกษาถึงข้อดีข้อเสียและอื่น ๆ เพิ่มเติมก่อนนำกลับมาเสนอใหม่อีกครั้ง (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.5 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศ
อังกฤษ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.48 ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมคือ ร้อยละ 4.5 ในการ
ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจากการที่เศรษฐกิจในเดือน ส.ค.48 ขยายตัวต่ำกว่าที่ ธ.
กลางอังกฤษคาดการณ์ไว้จะเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 ก่อนเดือน พ.ย.48
โดยสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ของอังกฤษในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.48 อาจจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ
4 เดือน ลดลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.5 ในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.48 สาเหตุจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง
ซึ่ง NIESR กล่าวว่าหากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นไปในทิศทางนี้ อาจจะต้องมีการปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ธ.กลางอังกฤษคงต้องจับตามองแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่มีส่วนสัมพันธ์กับ
ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับแนวคิดที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต
(รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน รายงาน
จากลอนดอนเมื่อ 6 ต.ค.48 The Office for National Statistics (ONS) เปิดเผยว่า ผลผลิต
อุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ร้อยละ 0.9 ลดลง
เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 โดยมีสาเหตุจากผลผลิต
น้ำมันและแก๊สลดลงต่ำสุดในรอบปีถึงร้อยละ 7.6 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลในการหยุดพักการผลิตของโรงงานเพื่อ
บำรุงรักษาอุปกรณ์ ประกอบกับมีเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตน้ำมันในทะเลเหนือของอังกฤษ ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการ
ผลิตรวม ทั้งนี้ ตัวเลขจากทางการเปิดเผยว่า ผลผลิตน้ำมันของอังกฤษในเดือน มิ.ย.48 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดใน
รอบ 16 ปี โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลดลงเป็นจำนวน 1.44 พัน ล.บาร์เรลต่อวัน จาก 1.53 พัน ล.บาร์เรล
ต่อวันในเดือน ก.ย.47 ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า การลดลงของผลผลิตน้ำมันในทะเลเหนือของอังกฤษเป็น
การลดลงต่ำสุดในบรรดาผู้ผลิตน้ำมันของโลก (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 ลดลงร้อยละ 3.7 จากเดือนก่อน
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ต.ค.48 คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดู
กาลแล้วลดลงร้อยละ 3.7 ในเดือน ส.ค.48 จากเดือนก่อน ลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.45 และลด
ลงมากกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะลดลงร้อยละ 2.0 ต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดใน
รอบหลายปีในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงร้อยละ 6.2 หลังจากเพิ่มขึ้น
มากกว่าร้อยละ 8.0 ในเดือน ก.ค.48 โดยความต้องการสินค้าประเภททุนจากต่างประเทศลดลงเกือบร้อยละ
9.0 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากในประเทศลดลงร้อยละ 1.3 ต่อเดือน นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าสาเหตุส่วน
หนึ่งที่ทำให้คำสั่งซื้อในเดือน ส.ค.48 ลดลงมากเมื่อเทียบต่อเดือนมาจากยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมากในช่วง 3 เดือน
ก่อนหน้านี้ โดยหากเทียบต่อปีแล้ว คำสั่งซื้อในเดือน ส.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากเดือน ส.ค.47 ในขณะที่คำ
สั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ยอดค้าปลีกของเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 กลับลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดย
ดัชนี PMI ซึ่งเป็นผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อของธุรกิจค้าปลีกลดลงในเดือน ก.ย.48 มาอยู่ในระดับ
ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.47 โดยเป็นผลจากผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 ก.ย.48 ที่ผ่านมาที่ไม่มีพรรคการ
เมืองใดได้คะแนนเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพันธมิตรเดิมได้ทำให้การปฏิรูประบบเศรษฐกิจต้อง
ชะลอออกไปซึ่งส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (รอยเตอร์)
4. คาดว่าในปี 48 จีนจะเกินดุลการค้าสูงกว่า 90 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
วันที่ 6 ต.ค. 48 นสพ. International Business Daily รายงานว่า ก.พาณิชย์ของจีนได้คาดการณ์ว่าใน
ปี 48 จีนจะเกินดุลการค้าประมาณ 90 — 100 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. โดยตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ อาจจะ
สูงถึง 1.4 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้รมว.การค้าระหว่างประเทศคาดว่าการส่งออกในปี 48 จะสูงกว่าปีที่
แล้วร้อยละ 30 อยู่ที่ระดับ 750 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 660 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 18 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้จีนเกินดุลการค้าทำสถิติสูงสุดที่ 60.2 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. มากกว่าปีที่แล้วถึง 32 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมาจีนเกินดุลการค้า
ถึง 10 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทำสถิติสูงสุดเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากการส่งออกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทำให้การนำ
เข้าฟื้นตัว นักวิเคราะห์กล่าวว่าการค้าที่ขยายตัวอย่างมากดังกล่าวจะส่งผลให้แรงกดดันให้ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนยัง
คงมีอยู่ต่อไปและส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคู่ค้าตึงเครียดขึ้น โดยการส่งออกได้ขยายตัวอย่างมากแม้ว่า
จะได้มีการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนเท่ากับ 8.11 หยวนต่อ
1 ดอลลาร์ สรอ.เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา รวมทั้งสหภาพยุโรปและสรอ. ได้จำกัดโควตาสิ่งทอจากจีนแล้วก็
ตาม อย่างไรก็ตามทางการจีนได้ให้ความชัดเจนว่าปักกิ่งจะพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังก่อนที่ปล่อยเงิน
หยวนให้แข็งค่าขึ้นอีก (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ต.ค. 48 6 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.972 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.7869/41.0758 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.48542 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.79/ 16.26 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,050/9,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.58 53.82 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้กลางปีหน้าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเป็นบวก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ธปท.ต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก ทั้งอัตราดอกเบี้ยของ ธพ.และอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อ
คืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์/พี) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น
ต้องการปรับให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปภายในกลางปี 49 แต่สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงของ ธพ.จะ
เป็นบวกเมื่อใดขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสภาพคล่องได้ปรับลดลงค่อนข้างมาก หาก
ปรับลดลงอีกอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ ธพ.ปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อาร์/พี 14 วันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ส.ค.47 จนถึงครั้งล่าสุด ได้ปรับขึ้นไปแล้วทั้งร้อยละ 2.0 มาอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 3.25 แล้ว ดังนั้น หาก ธปท.ต้องการให้ดอกเบี้ยอาร์/พีสูงกว่าระดับอัตราเงินเฟ้อในกลางปีหน้า ธปท.จะ
ต้องมีการปรับอัตราดกเบี้ยขึ้นอีกอย่างน้อยที่สุดร้อยละ 0.75 ในช่วงต่อจากนี้จนถึงกลางปีหน้า เนื่องจากในรายงาน
แนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุดเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ได้คาดการณ์ไว้ว่าในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะขยายตัวที่
ระดับร้อยละ 3.5-4.5 (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
2. ธปท. ห้าม ธพ.ถือหน่วยลงทุนแต่ละกองเกินร้อยละ 20 นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนถึง ธพ.ทุกแห่ง เรื่อง การประกอบธุรกิจ
หลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลง
ทุน โดยกำหนดให้ ธพ.ต้องไม่ถือหน่วยลงทุนเป็นสัดส่วนที่มาก หรือทั้งหมดของกองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งทั้งทาง
ตรงและทางอ้อม รวมทั้งต้องไม่ลงทุนก่อภาระผูกพันหรือให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งผ่านกองทุนรวม เพื่อหลีก
เลี่ยงเกณฑ์อัตราส่วนการซื้อหรือมีหุ้นกับเงินกองทุน และเกณฑ์อัตราส่วนการให้สินเชื่อลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อ
บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (Single Lending Limit) ตามที่ ธปท.กำหนด ทั้งนี้ ธพ.จะซื้อหรือมีหน่วยลง
ทุนแต่ละกองไม่เกินร้อยละ 20 ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวม และสามารถซื้อหน่วยลงทุน
ของกองทุนรวมประเภทอื่นนอกจากหน่วยลงทุนของตราสารแห่งหนี้ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้
แล้วทั้งหมดของกองทุนรวม โดยอัตราส่วนการซื้อหรือมีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมแต่ละกองไม่ใช้บังคับกับการซื้อหรือ
มีหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ ธพ.ได้ลงทุนอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพ
ธุรกิจ, เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า, ไทยรัฐ, โลกวันนี้)
3. ก.คลังมอบนโยบายให้กรมสรรพากรหาแนวทางให้ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ 20 ล้านคน ยื่นแบบ
เสียภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมสรรพากรหาแนวทางที่จะทำให้ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศที่มีอยู่
กว่า 20 ล้านคน เข้ามายื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ครบทั้งหมด แม้ว่าแรงงานนั้นจะมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์
ที่ต้องเสียภาษีก็ตาม แต่เพื่อต้องการให้แรงงานเหล่านั้นสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมหรือ
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือสิทธิประโยชน์ทางสังคมอื่น ๆ ที่แรงงานควรได้รับ เพราะในปัจจุบันอาจมี
บริษัทหรือนายจ้างบางแห่งไม่ได้เข้าสู่ระบบประกันสังคม จึงทำให้แรงงานบางส่วนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้
รับ ทั้งนี้ หากกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงระบบการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้ากับระบบสมาร์ทการ์ด
ได้ จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นและได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ อนึ่ง ปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบเสียภาษีเพียง 7 ล้าน
คน จากกำลังแรงงานกว่า 20 ล้านคน ขณะที่สมาชิกของกองทุนประกันสังคมมีกว่า 8 ล้านคน (เดลินิวส์, กรุงเทพ
ธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง, สยามรัฐ, ข่าวสด)
4. บสก.เผยพร้อมควบรวมกิจการกับ บบส.ตามแผนของ ก.คลัง กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) เปิดเผยถึงกรณี รมว.คลังมีนโยบายให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์
สถาบันการเงิน (บบส.) กับ บสก.ควบรวมกิจการกันว่า ในขณะนี้ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เนื่องจากยังไม่มีการ
หารือร่วมกัน อย่างไรก็ตาม หากทางการมีนโยบายก็ยินดีปฏิบัติตาม โดยเห็นว่า การควบรวมจะส่งผลดีต่อการแก้
ปัญหานี้ทั้งในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) เพราะจะทำให้
การแก้ไขหนี้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ระหว่างการรอความชัดเจนการควบรวมดังกล่าว จะส่งผลให้แผนการเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องล่าช้าออกไปก่อน โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ
สถาบันการเงิน ได้รับทราบถึงแผนงานเบื้องต้นและวัตถุประสงค์ในการควบรวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งการ
ให้ศึกษาถึงข้อดีข้อเสียและอื่น ๆ เพิ่มเติมก่อนนำกลับมาเสนอใหม่อีกครั้ง (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.5 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศ
อังกฤษ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.48 ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมคือ ร้อยละ 4.5 ในการ
ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจากการที่เศรษฐกิจในเดือน ส.ค.48 ขยายตัวต่ำกว่าที่ ธ.
กลางอังกฤษคาดการณ์ไว้จะเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 ก่อนเดือน พ.ย.48
โดยสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ของอังกฤษในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.48 อาจจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ
4 เดือน ลดลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.5 ในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.48 สาเหตุจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง
ซึ่ง NIESR กล่าวว่าหากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นไปในทิศทางนี้ อาจจะต้องมีการปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ธ.กลางอังกฤษคงต้องจับตามองแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่มีส่วนสัมพันธ์กับ
ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับแนวคิดที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต
(รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน รายงาน
จากลอนดอนเมื่อ 6 ต.ค.48 The Office for National Statistics (ONS) เปิดเผยว่า ผลผลิต
อุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือน ส.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ร้อยละ 0.9 ลดลง
เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 โดยมีสาเหตุจากผลผลิต
น้ำมันและแก๊สลดลงต่ำสุดในรอบปีถึงร้อยละ 7.6 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลในการหยุดพักการผลิตของโรงงานเพื่อ
บำรุงรักษาอุปกรณ์ ประกอบกับมีเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตน้ำมันในทะเลเหนือของอังกฤษ ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการ
ผลิตรวม ทั้งนี้ ตัวเลขจากทางการเปิดเผยว่า ผลผลิตน้ำมันของอังกฤษในเดือน มิ.ย.48 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดใน
รอบ 16 ปี โดยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลดลงเป็นจำนวน 1.44 พัน ล.บาร์เรลต่อวัน จาก 1.53 พัน ล.บาร์เรล
ต่อวันในเดือน ก.ย.47 ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า การลดลงของผลผลิตน้ำมันในทะเลเหนือของอังกฤษเป็น
การลดลงต่ำสุดในบรรดาผู้ผลิตน้ำมันของโลก (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 ลดลงร้อยละ 3.7 จากเดือนก่อน
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ต.ค.48 คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดู
กาลแล้วลดลงร้อยละ 3.7 ในเดือน ส.ค.48 จากเดือนก่อน ลดลงในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.45 และลด
ลงมากกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะลดลงร้อยละ 2.0 ต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดใน
รอบหลายปีในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงร้อยละ 6.2 หลังจากเพิ่มขึ้น
มากกว่าร้อยละ 8.0 ในเดือน ก.ค.48 โดยความต้องการสินค้าประเภททุนจากต่างประเทศลดลงเกือบร้อยละ
9.0 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากในประเทศลดลงร้อยละ 1.3 ต่อเดือน นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าสาเหตุส่วน
หนึ่งที่ทำให้คำสั่งซื้อในเดือน ส.ค.48 ลดลงมากเมื่อเทียบต่อเดือนมาจากยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมากในช่วง 3 เดือน
ก่อนหน้านี้ โดยหากเทียบต่อปีแล้ว คำสั่งซื้อในเดือน ส.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 จากเดือน ส.ค.47 ในขณะที่คำ
สั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ยอดค้าปลีกของเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 กลับลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดย
ดัชนี PMI ซึ่งเป็นผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อของธุรกิจค้าปลีกลดลงในเดือน ก.ย.48 มาอยู่ในระดับ
ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.47 โดยเป็นผลจากผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 ก.ย.48 ที่ผ่านมาที่ไม่มีพรรคการ
เมืองใดได้คะแนนเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพันธมิตรเดิมได้ทำให้การปฏิรูประบบเศรษฐกิจต้อง
ชะลอออกไปซึ่งส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (รอยเตอร์)
4. คาดว่าในปี 48 จีนจะเกินดุลการค้าสูงกว่า 90 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ
วันที่ 6 ต.ค. 48 นสพ. International Business Daily รายงานว่า ก.พาณิชย์ของจีนได้คาดการณ์ว่าใน
ปี 48 จีนจะเกินดุลการค้าประมาณ 90 — 100 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. โดยตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ อาจจะ
สูงถึง 1.4 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้รมว.การค้าระหว่างประเทศคาดว่าการส่งออกในปี 48 จะสูงกว่าปีที่
แล้วร้อยละ 30 อยู่ที่ระดับ 750 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 660 พัน ล.ดอลลาร์
สรอ. หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 18 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้จีนเกินดุลการค้าทำสถิติสูงสุดที่ 60.2 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. มากกว่าปีที่แล้วถึง 32 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมาจีนเกินดุลการค้า
ถึง 10 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทำสถิติสูงสุดเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากการส่งออกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทำให้การนำ
เข้าฟื้นตัว นักวิเคราะห์กล่าวว่าการค้าที่ขยายตัวอย่างมากดังกล่าวจะส่งผลให้แรงกดดันให้ปรับเพิ่มค่าเงินหยวนยัง
คงมีอยู่ต่อไปและส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคู่ค้าตึงเครียดขึ้น โดยการส่งออกได้ขยายตัวอย่างมากแม้ว่า
จะได้มีการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนเท่ากับ 8.11 หยวนต่อ
1 ดอลลาร์ สรอ.เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา รวมทั้งสหภาพยุโรปและสรอ. ได้จำกัดโควตาสิ่งทอจากจีนแล้วก็
ตาม อย่างไรก็ตามทางการจีนได้ให้ความชัดเจนว่าปักกิ่งจะพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังก่อนที่ปล่อยเงิน
หยวนให้แข็งค่าขึ้นอีก (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ต.ค. 48 6 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.972 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.7869/41.0758 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.48542 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.79/ 16.26 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,050/9,150 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.58 53.82 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--