เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (31 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุ 101.0 เมกกะเฮิรต์ ถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) สั่งยกเลิกการประมูลโครงการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ด ว่า ตนคิดว่าขณะนี้มันมีเวลาที่จะมาคิดทบทวนเรื่องนี้มากขึ้น เพราะมีความสับสนมากว่า ในขณะที่กระทรวงไอซีทีสั่งยกเลิกการประมูลต้องไม่ลืมว่าทางกรมการปกครองก็ต้องเดินหน้าจะออกบัตรนำร่อง มีชิป แต่ว่าข้อมูลยังไม่ใส่ ขณะนี้สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือเราเร่งรัดเรื่องนี้เพื่ออะไรและประโยชน์ต่างๆที่เกิดขึ้นจะตกอยู่กับใคร ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นจากเรื่องของสมาร์ทการ์ดยังไม่ได้มีการพูดกันชัดเจน
‘เราต้องสังเกตว่าประเทศที่เขามีความก้าวหน้ากว่าเรา มีเทคโนโลยีดีกว่า มีรายได้สูงกว่า น้อยประเทศทำเรื่องสมาร์ทการ์ด ถามว่าเพราะเขาไม่พร้อมหรืออะไร ไม่ใช่ แต่ว่าเขามีหลักการสำคัญในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไปตกอยู่ในมือของรัฐมันต้องมีกติกาที่ชัดเจนก่อนว่าจะเก็บอย่างไร ใครดูได้ ใครใช้ได้’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่เพียงพอ เรามีกฎหมายข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่พูดถึงเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล แต่ว่าไม่มีบทลงโทษกรณีที่มีการละเมิด ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาได้ตั้งต้นทำเรื่องนี้ โดยต้องการจะออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก่อน ซึ่งขณะนี้ปรากฎว่ารัฐบาลชุดนี้ยังทำไม่เสร็จ ตนคิดว่าการคุ้มครองตรงนี้สำคัญมากเพราะว่าในขณะที่เรายังไม่ทราบว่าประโยชน์ที่จะตกอยู่กับประชาชนจริงๆคืออะไร อันตรายที่เกิดขึ้นจากการที่มีเทคโนโลยีที่เข้าถึงและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลไว้ในบัตรเดียวมันก็มีมากเช่นเดียวกัน
‘ฟังท่านนายกฯเมื่อวันเสาร์แล้วไม่สบายใจ ท่านบอกคนพูดไม่รู้เทคโนโลยี ความจริงคนที่ได้ตั้งข้อสังเกตวิจารณ์หรือแม้กระทั่งผู้ทรงคุณวุฒิที่เขาเคยทำงานแล้วต้องลาออกไปในเรื่องนื้ทั้งหมด เขาเป็นผู้รู้เทคโนโลยีแต่ว่าสิ่งที่เขาไม่ใช่คือไม่ใช่คนเห่อเทคโนโลยี สักแต่ว่ามีอะไรใหม่แล้วก็ไม่สนใจว่ามีทั้งคุณทั้งโทษแล้วก็เอามาใช้เพื่อความโก้เก๋ ผมยืนยันว่าผมสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ แต่เราต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ใช้ได้ดีมันก็สร้างคุณ แต่ว่าถ้าใช้ไปไม่ดีหรือไม่มีกติกาคุ้มครองที่ดีมันก็สร้างโทษได้ เพราะฉะนั้นผมยังมองไม่ชัดว่าในเมื่อหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองยังไม่มีกติการที่ชัดเจนว่าระบบการเชื่อมโยงข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการเข้าถึง การอ่านข้อมูล จะเป็นอย่างไร ประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรจากการมีบัตรนี้ออกมา’ นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า เมื่อกติกาคุ้มครองไม่มี รมต.จะมาอ้างว่ามีกฎหมายอาญา มันไม่เพียงพอ เพราะว่ากฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการก็ดี การยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายอาชญากรรมทางอิเลคทรอนิกส์ มันเป็นการสะท้อนว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้การก่ออาชญากรรมและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทำได้ง่าย ทำได้รวดเร็วและสร้างโทษได้อย่างมหาศาลสำหรับบุคคล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องสร้างความชัดเจนและสร้างหลักประกันกับคำถามที่ว่า การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างไรโดยไม่ละเมิดหลักการสิทธิเสรีภาพ นอกจากนี้จะต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนในเรื่องของอาชญากรรมทางอิเลคทรอนิกส์ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้เวลามากถ้าจะทำอย่างจริงจัง คือตัวกฎหมายเขาร่างกันมาหลายปีแล้ว ถ้ารัฐบาลจะเร่งรัดมันก็เสร็จ ถ้ารัฐบาลจะทำมันก็ไม่ยากอะไร ขณะเดียวกันการทำระบบทั้งหมดต้องสร้างความชัดเจน ว่าการใช้บัตรใช้อย่างไร ใครเป็นคนใส่ข้อมูล ใครมีสิทธิแก้ไขข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลแต่ละส่วนต้องอาศัยอะไร ถ้าความชัดเจนตรงนี้เกิดขึ้นไม่มีใครต่อต้าน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31/03/47--จบ--
-สส-
‘เราต้องสังเกตว่าประเทศที่เขามีความก้าวหน้ากว่าเรา มีเทคโนโลยีดีกว่า มีรายได้สูงกว่า น้อยประเทศทำเรื่องสมาร์ทการ์ด ถามว่าเพราะเขาไม่พร้อมหรืออะไร ไม่ใช่ แต่ว่าเขามีหลักการสำคัญในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไปตกอยู่ในมือของรัฐมันต้องมีกติกาที่ชัดเจนก่อนว่าจะเก็บอย่างไร ใครดูได้ ใครใช้ได้’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่เพียงพอ เรามีกฎหมายข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่พูดถึงเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล แต่ว่าไม่มีบทลงโทษกรณีที่มีการละเมิด ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาได้ตั้งต้นทำเรื่องนี้ โดยต้องการจะออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก่อน ซึ่งขณะนี้ปรากฎว่ารัฐบาลชุดนี้ยังทำไม่เสร็จ ตนคิดว่าการคุ้มครองตรงนี้สำคัญมากเพราะว่าในขณะที่เรายังไม่ทราบว่าประโยชน์ที่จะตกอยู่กับประชาชนจริงๆคืออะไร อันตรายที่เกิดขึ้นจากการที่มีเทคโนโลยีที่เข้าถึงและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลไว้ในบัตรเดียวมันก็มีมากเช่นเดียวกัน
‘ฟังท่านนายกฯเมื่อวันเสาร์แล้วไม่สบายใจ ท่านบอกคนพูดไม่รู้เทคโนโลยี ความจริงคนที่ได้ตั้งข้อสังเกตวิจารณ์หรือแม้กระทั่งผู้ทรงคุณวุฒิที่เขาเคยทำงานแล้วต้องลาออกไปในเรื่องนื้ทั้งหมด เขาเป็นผู้รู้เทคโนโลยีแต่ว่าสิ่งที่เขาไม่ใช่คือไม่ใช่คนเห่อเทคโนโลยี สักแต่ว่ามีอะไรใหม่แล้วก็ไม่สนใจว่ามีทั้งคุณทั้งโทษแล้วก็เอามาใช้เพื่อความโก้เก๋ ผมยืนยันว่าผมสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ แต่เราต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ใช้ได้ดีมันก็สร้างคุณ แต่ว่าถ้าใช้ไปไม่ดีหรือไม่มีกติกาคุ้มครองที่ดีมันก็สร้างโทษได้ เพราะฉะนั้นผมยังมองไม่ชัดว่าในเมื่อหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองยังไม่มีกติการที่ชัดเจนว่าระบบการเชื่อมโยงข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการเข้าถึง การอ่านข้อมูล จะเป็นอย่างไร ประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรจากการมีบัตรนี้ออกมา’ นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า เมื่อกติกาคุ้มครองไม่มี รมต.จะมาอ้างว่ามีกฎหมายอาญา มันไม่เพียงพอ เพราะว่ากฎหมายข้อมูลข่าวสารราชการก็ดี การยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายอาชญากรรมทางอิเลคทรอนิกส์ มันเป็นการสะท้อนว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้การก่ออาชญากรรมและการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทำได้ง่าย ทำได้รวดเร็วและสร้างโทษได้อย่างมหาศาลสำหรับบุคคล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องสร้างความชัดเจนและสร้างหลักประกันกับคำถามที่ว่า การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างไรโดยไม่ละเมิดหลักการสิทธิเสรีภาพ นอกจากนี้จะต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนในเรื่องของอาชญากรรมทางอิเลคทรอนิกส์ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้เวลามากถ้าจะทำอย่างจริงจัง คือตัวกฎหมายเขาร่างกันมาหลายปีแล้ว ถ้ารัฐบาลจะเร่งรัดมันก็เสร็จ ถ้ารัฐบาลจะทำมันก็ไม่ยากอะไร ขณะเดียวกันการทำระบบทั้งหมดต้องสร้างความชัดเจน ว่าการใช้บัตรใช้อย่างไร ใครเป็นคนใส่ข้อมูล ใครมีสิทธิแก้ไขข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลแต่ละส่วนต้องอาศัยอะไร ถ้าความชัดเจนตรงนี้เกิดขึ้นไม่มีใครต่อต้าน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31/03/47--จบ--
-สส-