นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีออกมาตอบโต้ ที่พรรคประชาธิปัตย์วิพากษ์วิจารณ์โครงการช่วยเหลือคนจนของรัฐบาลว่าเป็นการขัดขวางการทำงานของยรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์อยากให้นายกฯ ตั้งสติและอย่าใช้อารมณ์ในการให้ความเห็นในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีความคิดที่จะขัดขวางการช่วยเหลือคนจนของรัฐบาล เพียงแต่เป็นห่วงว่าการช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นการสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนกรณีที่นายกฯระบุว่า สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการใช้เงินงบประมาณไปมากถึง 1.4 ล้านล้านบาทนั้น นายองอาจกล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้วความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯ ดังนั้นการที่นายกฯทักษิณออกมาระบุเช่นนี้ก็เป็นการโยนความผิดให้กับคนอื่นทั้งที่เกิดขึ้นในสมัยของตัวเอง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวชี้แจงว่า ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิตได้สร้างความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นจำนวนมาก คือ
1. การปกป้องค่าเงินบาทโดยการขนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปเปลี่ยนเป็นเงินดอลล่าร์ ทำให้ประเทศสูญเสียเงินไปกว่า 39 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,145,000 ล้านบาท รวมถึงการนำเงินทุนสำรองของประเทศไปทำ SWAP หรือการแสดงภาระผูกพันล่วงหน้าเป็นจำนวนถึง 1,292,500 ล้านบาท ซึ่งหากรวมความเสียหายทั้ง 2 รายการแล้ว ประเทศจะสูญเสียเงินทั้งสิ้นถึง 3.3 ล้านล้านบาท
2.การสั่งปิด 58 ไฟแนนซ์ ทำให้กองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาสถาบันการเงิน ต้องไประดมเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยแพงถึงร้อยละ 20 มาชำระให้กับสถาบันการเงินที่ถูกปิด และหากดูตัวเลขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูแล้วพบว่าเมื่อปี 2539 มีหนี้จำนวน 57,210 ล้านบาท แต่ในปี 2540 หนี้ดังกลล่าวกลับเพิ่มขึ้นเป็น 893,111 ล้านบาท
‘ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกฯแล้ว ก็ควรใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จะไปโยนว่าเป็นความล้มเหลวหรือความผิดพลาดของใคร ซึ่งเป็นการโยนบาปที่ไม่เป็นความจริง และจากตัวอย่างที่หยิบยกขึ้นมาจะเห็นได้ว่ารัฐบาลพล.อ.ชวลิต ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกฯ ได้ทิ้งหนี้สาธารณะไว้ให้เป็นภาระของรัฐบาลประชาธิปัตย์ถึง 1,901,355 ล้านบาท ภาระหนี้ทั้งหมดคือมรดกหนี้ และการผลาญเงินของชาติครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะปฏิเสธความรับผิดชอบหรือจะโยนความผิดให้กับผู้อื่นไม่ได้เลย’ นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1/04/47--จบ--
-สส-
ส่วนกรณีที่นายกฯระบุว่า สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการใช้เงินงบประมาณไปมากถึง 1.4 ล้านล้านบาทนั้น นายองอาจกล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้วความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกฯ ดังนั้นการที่นายกฯทักษิณออกมาระบุเช่นนี้ก็เป็นการโยนความผิดให้กับคนอื่นทั้งที่เกิดขึ้นในสมัยของตัวเอง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวชี้แจงว่า ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิตได้สร้างความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นจำนวนมาก คือ
1. การปกป้องค่าเงินบาทโดยการขนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปเปลี่ยนเป็นเงินดอลล่าร์ ทำให้ประเทศสูญเสียเงินไปกว่า 39 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,145,000 ล้านบาท รวมถึงการนำเงินทุนสำรองของประเทศไปทำ SWAP หรือการแสดงภาระผูกพันล่วงหน้าเป็นจำนวนถึง 1,292,500 ล้านบาท ซึ่งหากรวมความเสียหายทั้ง 2 รายการแล้ว ประเทศจะสูญเสียเงินทั้งสิ้นถึง 3.3 ล้านล้านบาท
2.การสั่งปิด 58 ไฟแนนซ์ ทำให้กองทุนฟื้นฟูเพื่อพัฒนาสถาบันการเงิน ต้องไประดมเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยแพงถึงร้อยละ 20 มาชำระให้กับสถาบันการเงินที่ถูกปิด และหากดูตัวเลขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูแล้วพบว่าเมื่อปี 2539 มีหนี้จำนวน 57,210 ล้านบาท แต่ในปี 2540 หนี้ดังกลล่าวกลับเพิ่มขึ้นเป็น 893,111 ล้านบาท
‘ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกฯแล้ว ก็ควรใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จะไปโยนว่าเป็นความล้มเหลวหรือความผิดพลาดของใคร ซึ่งเป็นการโยนบาปที่ไม่เป็นความจริง และจากตัวอย่างที่หยิบยกขึ้นมาจะเห็นได้ว่ารัฐบาลพล.อ.ชวลิต ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกฯ ได้ทิ้งหนี้สาธารณะไว้ให้เป็นภาระของรัฐบาลประชาธิปัตย์ถึง 1,901,355 ล้านบาท ภาระหนี้ทั้งหมดคือมรดกหนี้ และการผลาญเงินของชาติครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะปฏิเสธความรับผิดชอบหรือจะโยนความผิดให้กับผู้อื่นไม่ได้เลย’ นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1/04/47--จบ--
-สส-