เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประกาศตัวพร้อมลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการประกาศวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนากรุงเทพในวันอังคารที่ 20 มกราคม 2547 ที่บริเวณสวนลุมพินี โดยจะลงพื้นที่เพื่อศึกษาความต้องการของชาวกทม. ... หลังจากนั้น 60 วันของการลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 29 มี.ค.47 นายอภิรักษ์ ได้ประกาศถึงแนวทางนโยบายที่ได้มาจากการรับฟังความต้องการ ประกอบกับความคิดเห็นของชาวกทม. โดยแบ่งเป็น 5 เรื่องใหญ่คือ หลัก 1.จราจร 2.ความปลอดภัย 3.สิ่งแวดล้อม 4.ชีวิตความเป็นอยู่ 5.ความโปร่งใสในการบริหารกทม.
และในวันนี้นายอภิรักษ์ ได้ย้ำถึงความพร้อมอีกครั้ง ในการประกาศตัวรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเสริมทีม เสริมศักยภาพการทำงานให้มีความเข้มแข็ง พร้อมทำหน้าที่แก้ปัญหาของชาวกทม. คือ ดร.วัลลภ สุวรรณดี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เป็นรองผู้ว่าฯด้านการศึกษา และนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ กรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยาเจเอฟ จำกัด เป็นรองผู้ว่าด้านการคลัง
สำหรับบุคคลทั้ง 2 ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งเคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยนายวัลลภ ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่คลุกคลีในด้านการศึกษามานาน เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ส่วนนายพนิช ยังเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง วางแผน บริหารจัดการระบบสถาบันการเงินระดับชาติมาแล้วหลายแห่ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า บุคคลทั้ง 2 เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้ทีมงานของนายอภิรักษ์ เข้มแข็งและพร้อมพัฒนากรุงเทพฯได้ ‘คุณพนิชถือเป็นคนหนุ่มและเป็นนักบริหารมืออาชีพคนหนึ่ง ที่จะมาเสริมทีมงานของคุณอภิรักษ์ และถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์การเมืองในการทำงานในกรรมาธิการ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความพร้อมในการบริหาร ซึ่งผมคิดว่าจะให้มาดูในเรื่องการเงินการคลัง ส่วนอาจารย์วัลลภ ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์สูงในการทำงานปฏิรูปการศึกษา ผมเชื่อว่าการเลือกบุคคลทั้ง 2 จะเป็นการย้ำถึงความพร้อมของทีมงานของคุณอภิรักษ์ได้’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิรักษ์ เปิดเผยถึงเหตุจูงใจสำคัญที่ได้คัดเลือกบุคคลทั้งสองเข้าร่วมทีมงานรองผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ว่า เนื่องจากเข้าใจดีว่าปัญหาเงินงบประมาณของ กทม. ที่มีไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ของคนกรุงเทพฯ เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาความสะอาด การจัดเก็บขยะ ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีนโยบายในการเพิ่มรายได้ และจัดระบบการบริหารจัดการที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการบริหารงบประมาณ
‘การเฟ้นหาตัวรองผู้ว่าฯ เราเน้นความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์แต่ละด้านโดยตรง เพราะเรามุ่งที่จะผลักดันนโยบายให้บรรลุผล เช่น แผนงานด้านจราจร การจัดระเบียบความสะอาด ภูมิทัศน์ของเมือง รวมถึงจัดการศึกษา เราจำเป็นต้องอาศัยงบประมาณมหาศาล เราต้องมีศักยภาพ พึ่งตนเองให้ได้ในเรื่องงบทุน ไม่ใช่คิดโครงการ แล้วรอคอยงบสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นการพัฒนาไม่ทันต่อการเติบโตของเมืองแน่นอน’ นายอภิรักษ์กล่าว
นายอภิรักษ์กล่าวว่า ขณะนี้ทีมงานได้หารือกับทีมงานของรองผู้ว่าฯแล้ว ได้ข้อสรุปว่า จะต้องมีการระดมทุนเอง โดยในแนวคิดแรกคือ การออกพันธบัตรกทม.อายุ 5 ปี แนวคิดที่สองคือ จะนำบริษัทกรุงเทพธนาคมซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินโครงการใหญ่ที่กรุงเทพฯถือหุ้นอยู่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุนเพื่อดำเนินโครงการในอนาคต เช่น เร่งทำสวนต่อขยายรถไฟฟ้า บีทีเอส ทำอุโมงค์ลอดทางแยก เป็นต้น นอกจากนี้จะมีการลงทุนระบบกำจัดขยะด้วยเทคโนโลยี ที่ใช้พื้นที่น้อย และไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษตามมา
นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังสามารถนำมาลงทุนด้านการจัดการศึกษา ซึ่งจะต้องปรับหลักสูตร การจัดการเรียน การสอน โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้เยาวชนคนเมืองหลวงทันต่อสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น การลงทุนทำ child science park ให้สอดคล้องกับลักษณะแต่ละโซน อย่างไรก็ตาม การระดมทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพให้กับศูนย์ท่องเที่ยวของ กทม. ได้มีการวางแผน ปรับแต่งเมือง หรือแม้การลงทุนเบื้องต้นให้กับผู้ประกอบการ ร้านค้าอาหารแผงลอย เพื่อเป็นร้านอาหารอนามัยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โอกาสต่อไปเราจะได้เสนอแผนการระดมทุนที่ชัดเจน พร้อมกับเสนอว่าเราจะมาทำอะไรแต่ละนโยบาย นายอภิรักษ์กล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10/04/47--จบ--
-สส-
และในวันนี้นายอภิรักษ์ ได้ย้ำถึงความพร้อมอีกครั้ง ในการประกาศตัวรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเสริมทีม เสริมศักยภาพการทำงานให้มีความเข้มแข็ง พร้อมทำหน้าที่แก้ปัญหาของชาวกทม. คือ ดร.วัลลภ สุวรรณดี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เป็นรองผู้ว่าฯด้านการศึกษา และนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ กรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยาเจเอฟ จำกัด เป็นรองผู้ว่าด้านการคลัง
สำหรับบุคคลทั้ง 2 ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งเคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยนายวัลลภ ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่คลุกคลีในด้านการศึกษามานาน เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ส่วนนายพนิช ยังเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง วางแผน บริหารจัดการระบบสถาบันการเงินระดับชาติมาแล้วหลายแห่ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า บุคคลทั้ง 2 เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้ทีมงานของนายอภิรักษ์ เข้มแข็งและพร้อมพัฒนากรุงเทพฯได้ ‘คุณพนิชถือเป็นคนหนุ่มและเป็นนักบริหารมืออาชีพคนหนึ่ง ที่จะมาเสริมทีมงานของคุณอภิรักษ์ และถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์การเมืองในการทำงานในกรรมาธิการ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความพร้อมในการบริหาร ซึ่งผมคิดว่าจะให้มาดูในเรื่องการเงินการคลัง ส่วนอาจารย์วัลลภ ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์สูงในการทำงานปฏิรูปการศึกษา ผมเชื่อว่าการเลือกบุคคลทั้ง 2 จะเป็นการย้ำถึงความพร้อมของทีมงานของคุณอภิรักษ์ได้’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิรักษ์ เปิดเผยถึงเหตุจูงใจสำคัญที่ได้คัดเลือกบุคคลทั้งสองเข้าร่วมทีมงานรองผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ว่า เนื่องจากเข้าใจดีว่าปัญหาเงินงบประมาณของ กทม. ที่มีไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ของคนกรุงเทพฯ เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาความสะอาด การจัดเก็บขยะ ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีนโยบายในการเพิ่มรายได้ และจัดระบบการบริหารจัดการที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการบริหารงบประมาณ
‘การเฟ้นหาตัวรองผู้ว่าฯ เราเน้นความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์แต่ละด้านโดยตรง เพราะเรามุ่งที่จะผลักดันนโยบายให้บรรลุผล เช่น แผนงานด้านจราจร การจัดระเบียบความสะอาด ภูมิทัศน์ของเมือง รวมถึงจัดการศึกษา เราจำเป็นต้องอาศัยงบประมาณมหาศาล เราต้องมีศักยภาพ พึ่งตนเองให้ได้ในเรื่องงบทุน ไม่ใช่คิดโครงการ แล้วรอคอยงบสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นการพัฒนาไม่ทันต่อการเติบโตของเมืองแน่นอน’ นายอภิรักษ์กล่าว
นายอภิรักษ์กล่าวว่า ขณะนี้ทีมงานได้หารือกับทีมงานของรองผู้ว่าฯแล้ว ได้ข้อสรุปว่า จะต้องมีการระดมทุนเอง โดยในแนวคิดแรกคือ การออกพันธบัตรกทม.อายุ 5 ปี แนวคิดที่สองคือ จะนำบริษัทกรุงเทพธนาคมซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินโครงการใหญ่ที่กรุงเทพฯถือหุ้นอยู่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุนเพื่อดำเนินโครงการในอนาคต เช่น เร่งทำสวนต่อขยายรถไฟฟ้า บีทีเอส ทำอุโมงค์ลอดทางแยก เป็นต้น นอกจากนี้จะมีการลงทุนระบบกำจัดขยะด้วยเทคโนโลยี ที่ใช้พื้นที่น้อย และไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษตามมา
นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังสามารถนำมาลงทุนด้านการจัดการศึกษา ซึ่งจะต้องปรับหลักสูตร การจัดการเรียน การสอน โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้เยาวชนคนเมืองหลวงทันต่อสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เช่น การลงทุนทำ child science park ให้สอดคล้องกับลักษณะแต่ละโซน อย่างไรก็ตาม การระดมทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพให้กับศูนย์ท่องเที่ยวของ กทม. ได้มีการวางแผน ปรับแต่งเมือง หรือแม้การลงทุนเบื้องต้นให้กับผู้ประกอบการ ร้านค้าอาหารแผงลอย เพื่อเป็นร้านอาหารอนามัยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โอกาสต่อไปเราจะได้เสนอแผนการระดมทุนที่ชัดเจน พร้อมกับเสนอว่าเราจะมาทำอะไรแต่ละนโยบาย นายอภิรักษ์กล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10/04/47--จบ--
-สส-