วันนี้(18 เม.ย.47) เวลา 10.20น. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงภาวะการณ์ของตลาดหุ้นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้จับตาดูความเคลื่อนไหนในตลาดหลักทรัพย์แล้วพบว่า รัฐบาลเข้าไปมีบทบาทมากกว่าปกติ เห็นได้จากความพยายามผลักดัน 3 กองทุนหลัก ได้แก่กองทุนวายุภักษ์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือกบข. และกองทุนประกันสังคม ที่มีมูลค่ามากถึง 1.8 แสนล้านบาท และอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปปั่นกระแสสร้างความคึกคักในตลาดหุ้น การผลักดันดังกล่าวนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีส่วนเอื้อประโยชน์ ให้กับคนในรัฐบาล ให้ได้ประโยชน์จากการผลักดันกองทุนเหล่านี้
นายองอาจกล่าวว่า นับตั้งแต่ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลับเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ โดยวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ก็เดินทางไปที่ตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาก็มีการเรียกผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผู้บริหารระดับสูงของ กลต. รวมถึงตัวแทนโบรกเกอร์ เข้าพบ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเห็นได้ชัดว่า การเมืองแทรกแซงตลาดหลักทรัพย์มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะตำแหน่งรมว.คลัง แม้จะอ้างว่าเป็นการให้กำลังใจเพราะตลาดอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม
‘การแสดงบทบาทของนายสมคิด ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ มักจะหมกมุ่น วนเวียน อยู่กับตลาดหลักทรัพย์ และมีความพยามที่จะปลุกตลาด ให้ดัชนีหุ้นฟื้นอยู่เหนือ 700 จุดให้ได้ หลังจากที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำกว่า 700 จุด มาตั้งแต่ ต้นเดือนมีนาคม หากดูตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ดัชนีตลาดมาปิดที่ 647.30 จุด ลดลงจากสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งดัชนีสูงถึง 772.15 จุด ลดลงถึง 16.17 % มูลค่าตลาดรวมเมื่อสิ้นปี 2546 เท่ากับ 4.79 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 4.15 ล้านล้านบาท เพียงระยะเวลา 3 เดือน มูลค่าตลาดรวมหายไป 6.4 แสนล้านบาท ผมคิดว่าเหตุที่ภาวะการลงทุนอยู่ในสภาวะตกต่ำ มาจากรัฐบาลไม่ได้มีขบวนการ ‘จ้องทำลายรัฐบาล’ หรือนายกฯแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีบรรยากาศที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อม ความไม่น่าเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้มีการเปลี่ยนคนและเปลี่ยนนโยบายใหม่โดยมีการเปลี่ยนตัวรมว.คลังจากร.อ.สุชาติมาเป็นนายสมคิดและเปลี่ยนนโยบายใหม่จากเดิมสมัยร.อ.สุชาติที่กำนดว่าไม่สามารถนำเงินจากกองทุนวายุภักษ์มาซื้อหุ้นใมนตลาดหลักทรัพย์ได้ยกเว้นหุ้นที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ก็เปลี่ยนมาเป็นสามารรถใช้กองทุนวายุภักษ์ซื้อหุ้นทั่วไปนอกเหนือจากที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ได้ สรุปก็คือรัฐบาลพยายามที่จะนำเงินกองทุนวานยุภักษ์ไปซื้อหุ้น ทั้งนี้อยากฝากให้จับตากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมูลค่า 4 หมื่นล้านบาทและกองทุนประกันสังคมมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกองทุนวายุภักษ์แล้วจะเป็น 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะชี้นำตลาดหุ้น สร้างราคา ทำดัชนีตามที่ต้องการได้ และคนที่จะได้ประโยชน์คือคนในรัฐบาลและผู้ใกล้ชิดที่ผ่านมามีการนำเงินกองทุนวายุภักษ์ไปใช้ไม่ถูกต้องทั้งที่คณะกรรมการกำกับกองทุนวายุภักษ์ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทำไมจึงปล่อยให้มีความบกพร่องเกิดขึ้นได้ และขณะนี้เรามีความเป็นห่วงเงินกองทุนประกันสังคมและกบข.ว่าจะโปร่งใสหรือไม่ จะมีการนำไปซื้อหุ้นในกลุ่มคนของรัฐบาลหรือไม่พรรคประชาธิปัตย์จะจับตาเรื่องนี้ต่อไป รวมทั้งฝากให้สังคมจับตาดูการนำเงินจากองทุนทั้ง 3 ไปซื้อหุ้นอย่างใกล้ชิด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18/04/47--จบ--
-สส-
นายองอาจกล่าวว่า นับตั้งแต่ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลับเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ โดยวันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ก็เดินทางไปที่ตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาก็มีการเรียกผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผู้บริหารระดับสูงของ กลต. รวมถึงตัวแทนโบรกเกอร์ เข้าพบ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเห็นได้ชัดว่า การเมืองแทรกแซงตลาดหลักทรัพย์มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะตำแหน่งรมว.คลัง แม้จะอ้างว่าเป็นการให้กำลังใจเพราะตลาดอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม
‘การแสดงบทบาทของนายสมคิด ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ มักจะหมกมุ่น วนเวียน อยู่กับตลาดหลักทรัพย์ และมีความพยามที่จะปลุกตลาด ให้ดัชนีหุ้นฟื้นอยู่เหนือ 700 จุดให้ได้ หลังจากที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำกว่า 700 จุด มาตั้งแต่ ต้นเดือนมีนาคม หากดูตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ดัชนีตลาดมาปิดที่ 647.30 จุด ลดลงจากสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งดัชนีสูงถึง 772.15 จุด ลดลงถึง 16.17 % มูลค่าตลาดรวมเมื่อสิ้นปี 2546 เท่ากับ 4.79 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 4.15 ล้านล้านบาท เพียงระยะเวลา 3 เดือน มูลค่าตลาดรวมหายไป 6.4 แสนล้านบาท ผมคิดว่าเหตุที่ภาวะการลงทุนอยู่ในสภาวะตกต่ำ มาจากรัฐบาลไม่ได้มีขบวนการ ‘จ้องทำลายรัฐบาล’ หรือนายกฯแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีบรรยากาศที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อม ความไม่น่าเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล’ นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้มีการเปลี่ยนคนและเปลี่ยนนโยบายใหม่โดยมีการเปลี่ยนตัวรมว.คลังจากร.อ.สุชาติมาเป็นนายสมคิดและเปลี่ยนนโยบายใหม่จากเดิมสมัยร.อ.สุชาติที่กำนดว่าไม่สามารถนำเงินจากกองทุนวายุภักษ์มาซื้อหุ้นใมนตลาดหลักทรัพย์ได้ยกเว้นหุ้นที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ก็เปลี่ยนมาเป็นสามารรถใช้กองทุนวายุภักษ์ซื้อหุ้นทั่วไปนอกเหนือจากที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ได้ สรุปก็คือรัฐบาลพยายามที่จะนำเงินกองทุนวานยุภักษ์ไปซื้อหุ้น ทั้งนี้อยากฝากให้จับตากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมูลค่า 4 หมื่นล้านบาทและกองทุนประกันสังคมมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกองทุนวายุภักษ์แล้วจะเป็น 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะชี้นำตลาดหุ้น สร้างราคา ทำดัชนีตามที่ต้องการได้ และคนที่จะได้ประโยชน์คือคนในรัฐบาลและผู้ใกล้ชิดที่ผ่านมามีการนำเงินกองทุนวายุภักษ์ไปใช้ไม่ถูกต้องทั้งที่คณะกรรมการกำกับกองทุนวายุภักษ์ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทำไมจึงปล่อยให้มีความบกพร่องเกิดขึ้นได้ และขณะนี้เรามีความเป็นห่วงเงินกองทุนประกันสังคมและกบข.ว่าจะโปร่งใสหรือไม่ จะมีการนำไปซื้อหุ้นในกลุ่มคนของรัฐบาลหรือไม่พรรคประชาธิปัตย์จะจับตาเรื่องนี้ต่อไป รวมทั้งฝากให้สังคมจับตาดูการนำเงินจากองทุนทั้ง 3 ไปซื้อหุ้นอย่างใกล้ชิด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18/04/47--จบ--
-สส-