การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2546 พรรคประชาธิปัตย์วันที่สอง (25 เม.ย.47) จัดขึ้นที่ที่ศูนย์การแสดงสินค้าไบเทค บางนา โดยมีแกนนำพรรค ส.ส. รวมถึงบรรดาสมาชิกพรรคกว่า 3,000 คน ร่วมฟังการปราศรัยจากหัวหน้าพรรค ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30น. โดยช่วงแรกเป็นการฉายวีดิทัศน์เหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่นสถานการณ์ภาคใต้ การปล้นปืนในค่ายทหาร การอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร การชุมนุมคัดค้านการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และความล้มเหลวที่เกิดจากปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น
หลังจากนั้นเวลา 10.00น. นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ก็ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาช่วงที่ประเทศประสบกับวิกฤต และในครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะกลับมาต่อสู้เพื่อแก้ไขวิกฤต ทั้งจะกอบกู้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่กำลังมืดมนและถอยหลังเข้าคลอง เพราะการบริหารปัจจุบันเห็นได้ว่า มีการละเลยนโยบายเศรษฐกิจแบบพอเพียง ในขณะที่แนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยรักไทย ที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยนั้น กำลังพาประชาชนไปสู่จุดที่หมิ่นเหม่แห่งหายนะพร้อมที่จะล่มสลายได้ในพริบตา ‘สังคมไทยกำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน คนไทย เด็กไทยต่อสู้และฆ่าฟันกันเอง ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยรักไทย ก็ยังรุมเร้าและยังรุนแรงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ลองถามใจท่านเองว่า สังคมแบบนี้หรือที่เรียกว่า ไทยรักไทย ผมคิดว่า นี่เป็นสังคมแบบไทยฆ่าไทยมากกว่า’ นายบัญญัติกล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือ รัฐบาลไทยรักไทยสนับสนุนให้คนเป็นหนี้ โดยอ้างว่าต้องเป็นหนี้ก่อนแล้วจึงจะรวยได้ ตรงนี้ตนคิดว่าหากคนไทยทุกคนมีกิจการผูกขาดอย่างนายกฯ ยิ่งกู้ก็คงอาจจะยิ่งรวยจริง แต่หนี้ที่รัฐบาลได้สร้างให้กับประชาชนของนั้น เป็นหนี้ที่ใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากกว่านำไปลงทุน จึงเรียกได้ว่ายิ่งกู้จึงยิ่งจนไม่ใช่ยิ่งรวย เหมือนนายกฯและอีกหลายคนในรัฐบาลชุดนี้
‘แนวทางของรัฐบาลไทยรักไทย เป็นแนวทางแห่งความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย โดยขาดความรับผิดชอบในระยะยาว การกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อใช้จ่ายกับโครงการที่เกินความจำเป็นและไร้สาระ การสร้างหนี้ในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ จะทำให้ภาครัฐมีภาระระยะยาวจำนวนมหาศาลตามมา โดยรัฐบาลจะชำระหนี้เหล่านั้นได้ ก็ด้วยการขูดรีดภาษีจากประชาชน ดังนั้น ในอนาคตจะต้องเกิดการเก็บภาษีแบบใหม่ๆ เพื่อให้ได้เงินมากเท่ากับหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วตอนนี้ และในไม่ช้า คนที่ไม่เคยต้องจ่ายภาษีก็ต้องจ่าย สินค้าหรือบริการที่ไม่เคยเก็บภาษี อีกไม่นานก็ต้องเก็บ สินค้าที่เคยเสียภาษี ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้น ภาษีที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้พัฒนาประเทศแบบที่ถูกที่ควร’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายบัญญัติกล่าวว่า วิสัยทัศน์ของประชาธิปัตย์ แตกต่างกับวิสัยทัศน์แบบ ‘คิดสั้น’ ของรัฐบาลไทยรักไทย เพราะประชาธิปัตย์ไม่เชื่อในทฤษฎีการเป็นหนี้ที่แก้ปัญหาปากท้องระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาว แต่พรรคประชาธิปัตย์เชื่อเรื่องการมีส่วนร่วมการเติบโตจากท้องถิ่น การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน มากกว่าการใช้อำนาจสั่งการแบบรัฐบาลไทยรักไทย ทั้งนี้คิดว่าวิสัยทัศน์ของผู้นำแบบซีอีโอ เป็นการใช้นโยบายประชานิยมแบบเอาตัวรอด ซื้อเวลาด้วยการสร้างหนี้ให้ประชาชน ล้างผลาญทรัพยากรของวันนี้ให้หมดไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้ประเทศต้องล้มครืนอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าไม่ใช่นโยบายประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดถือมาโดยตลอด
‘การบริหารแบบผู้นำซีอีโอไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ความจริงจะเป็นเรื่องล้าสมัยเสียด้วยซ้ำ ก็คือการเอาระบบเผด็จการมาตบแต่งเสียใหม่ให้ดูดี น่าเชื่อถือเพื่อตบตาประชาชน แต่ด้านในกลับไม่ได้ดูดีอย่างที่เห็น สุดท้ายแล้วคนไทยวันนี้ต้องรับภาระหนี้ท่วมหัว คนไทยวันหน้าจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกหลาน ขณะนี้เราไม่ได้อยู่บนวิธีการที่ถูกต้องแห่งการก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างที่ท่านนายกฯ ได้สร้างภาพไว้ เพราะวิธีการของท่านไม่ได้สร้างรากฐานที่ถูกต้องให้คนไทยอย่างยั่งยืน ท่านกำลังพาเราไปสู่ความหายนะ ความหายนะที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันแบกภาระหนี้สิน และตกเป็นทาส เป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจในที่สุด’ นายบัญญัติกล่าว
ทั้งนี้นายบัญญัติได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีทั้งหมด 3 ข้อก็คือ 1.สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม 2.รายได้ที่ดีและมั่นคงกว่าเดิม 3.ประเทศชาติที่แข็งแกร่งและสงบร่มเย็นภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อให้ภาพความคิดเหล่านี้เป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์จึงมีภารกิจที่เรียกว่า ‘4 ภารกิจเร่งด่วน’ ที่จะดำเนินการในทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลคือ
ภารกิจที่ 1 คือการรับภาระด้านการศึกษาของเด็กไทยอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งขยายโอกาสทางการศึกษาพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน สำหรับนโยบายนี้แบ่งเป็น
ให้เยาวชนเรียนฟรีตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยม 6
ลดภาระค่าหน่วยกิตของนักศึกษาปริญญาตรีลง 50% และภายใน 2 ปี จะเพิ่มจำนวนการรับนักศึกษาระบบเอ็นทรานซ์อีก 20%
สร้างหลักประกันความถูกต้องโปร่งใสและกำหนดมาตรฐานของระบบเอ็นทรานซ์ เพื่อป้องกันการใช้เส้นสายหรือข้อสอบรั่วเช่นในปัจจุบัน
ให้ทุนการศึกษาทั่วประเทศแก่นักศึกษาที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์อย่างทั่วถึง อย่างน้อยอำเภอละ 1 ทุน เพื่อเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยระดับโลก
ภายในเวลา 1 ปีหากเป็นรัฐบาล จะมีการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาใหม่ เพื่อเด็กทุกคนจะได้รับการเรียนการสอนจากโรงเรียนที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
ภารกิจที่ 2 ของประชาธิปัตย์ คือ การเพิ่มรายได้ให้คนไทย พร้อมช่วยลดหนี้สินให้กลับสู่สภาวะปลอดหนี้ แบ่งเป็น
จะเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเกษตรผสมผสานตามแนวทางแห่งพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียงและโครงการเกษตรสมัยใหม่โดยรัฐจะช่วยเหลือให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาทในช่วงแรกเริ่มเป็นเวลา 4 ปี
จัดให้มีรายได้เสริมอีก 1,000 บาทต่อเดือนแก่ผู้ที่อาสาและเข้าร่วมดูแลโครงการปลูกป่าเพื่อในหลวงและโครงการเพื่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อพลิกฟื้นธรรมชาติคืนความเขียวขจีให้กับประเทศ
ยกหนี้ที่เกิดจากโครงการที่ล้มเหลวของรัฐในอดีต และหนี้ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ
ลดหนี้ทั้งเงินต้นและอัตราดอกเบี้ย สำหรับผู้มีรายได้น้อยและมีหนี้สินที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ โดยเฉพาะหนี้ที่กู้ยืมจากธนาคารของรัฐ
ในส่วนของกองทุนหมู่บ้านที่ล้มเหลวของไทยรักไทย จะมีการลดภาระการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งการยืดระยะเวลาการชำระเงินต้น พร้อมกับการจัดรูปแบบการบริหารจัดการใหม่
จะจัดให้มีโครงการชำระหนี้ด้วยงาน ด้วยการเข้าร่วมทำงานในโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ
จากภารกิจที่สอง พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าจะช่วยให้เกษตรกรได้กลับมาลืมตาอ้าปากยืนหยัดได้อีกครั้ง และสามารถที่จะลงทุนปรับปรุงผลผลิตต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
ภารกิจที่ 3 คือ ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการเรียนการฝึกฝนวิชาชีพ โดยรัฐจะเข้าไปช่วยเพื่อเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่ดีกว่า แบ่งเป็น
จะส่งเสริมคนไทยให้มีความรู้ในวิชาชีพของตนเอง
สนับสนุนการฝึกงานของนักศึกษาเป็นเวลา 1 ปีหลังจากเรียนจบ เพื่อเพิ่มทักษะจากการทำงานจริงโดยมีเงินตอบแทนไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ
ภารกิจที่ 4 การให้ผู้สูงอายุมีรายได้เป็นของตนเอง ลดความห่วงกังวลของลูกหลาน แบ่งเป็น
ใน 1 ปี ที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะมีการจัดตั้ง กองทุนเลี้ยงชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีสิทธิรับเงินจากกองทุนเลี้ยงชีพ 1,000 บาทต่อเดือน พร้อมกับได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลฟรี
‘ทั้งหมดคือ 4 ภารกิจอันเร่งด่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีโอกาสเป็นรัฐบาลเราขอเดิมพันทันทีว่า จะต้องทำภารกิจเหล่านี้ให้สำเร็จภายในเวลาที่เราพูด วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อนำพาประเทศชาติของเราให้กลับมาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องตามแนวทางแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ในวันนี้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีระบบการตัดสินใจที่แม่นยำฉับไวมากยิ่งขึ้น เป็นพรรคที่ทั้งคิดและทำให้เกิดขึ้นจริง เป็นพรรคที่มีวิสัยทัศน์เพื่อวันนี้ที่ดีขึ้น และเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เชื่อผมเถอะว่าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีศักยภาพที่เหนือกว่า และเราจะแสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้เงินงบประมาณได้ดีมีประสิทธิภาพกว่าถูกต้องกว่า และคุ้มค่ากว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาวโดยการที่จะวางรากฐานด้านการศึกษา และสร้างพื้นฐานที่ดี ที่มีคุณภาพและกระจายสู่คนไทยอย่างทั่วถึง’ นายบัญญัติกล่าว
ในตอนท้ายนายบัญญัติได้กล่าวย้ำว่า อยากฝากเรื่องสำคัญ 3 เรื่องที่ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ คือ 1. มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติอย่างถาวร ในขณะเดียวกัน เราจะแก้ปัญหาปากท้องควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหากจะให้เห็นภาพที่ชัดเจน นี่คือ ‘บันได 2 ขั้นสู่ชีวิตที่ดีขึ้น’ ขั้นแรก คือ เพื่อชีวิตวันนี้ที่ดีขึ้น ด้วยการแก้ปัญหาปากท้องและรายได้ ยกระดับการทำงาน พร้อมปลดหนี้ และ ขั้นที่สอง เพื่ออนาคตวันข้างหน้าที่ดีกว่า ด้วยการศึกษาและเสริมสร้างศักยภาพของทุกคนอย่างต่อเนื่อง จึงจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทั้ง 2 ขั้นบันไดที่จะก้าวขึ้นไป จะนำไปสู่จุดหมายที่วางไว้ นั่นคือ ชีวิตของพี่น้องคนไทยที่ดีกว่าเดิม 2.บอกประชาชนถึง 4 ภารกิจเร่งด่วน ที่จะทำให้นโยบายของประชาธิปัตย์ลุล่วงไปได้ และ 3. บอกประชาชนว่า ประชาธิปัตย์จะทำ 4 ภารกิจนี้ในทันที ภายใน 12 - 24 เดือน เมื่อมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25/04/47--จบ--
-สส-
หลังจากนั้นเวลา 10.00น. นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ก็ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาช่วงที่ประเทศประสบกับวิกฤต และในครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะกลับมาต่อสู้เพื่อแก้ไขวิกฤต ทั้งจะกอบกู้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่กำลังมืดมนและถอยหลังเข้าคลอง เพราะการบริหารปัจจุบันเห็นได้ว่า มีการละเลยนโยบายเศรษฐกิจแบบพอเพียง ในขณะที่แนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยรักไทย ที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยนั้น กำลังพาประชาชนไปสู่จุดที่หมิ่นเหม่แห่งหายนะพร้อมที่จะล่มสลายได้ในพริบตา ‘สังคมไทยกำลังเสื่อมโทรมลงทุกวัน คนไทย เด็กไทยต่อสู้และฆ่าฟันกันเอง ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยรักไทย ก็ยังรุมเร้าและยังรุนแรงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ลองถามใจท่านเองว่า สังคมแบบนี้หรือที่เรียกว่า ไทยรักไทย ผมคิดว่า นี่เป็นสังคมแบบไทยฆ่าไทยมากกว่า’ นายบัญญัติกล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือ รัฐบาลไทยรักไทยสนับสนุนให้คนเป็นหนี้ โดยอ้างว่าต้องเป็นหนี้ก่อนแล้วจึงจะรวยได้ ตรงนี้ตนคิดว่าหากคนไทยทุกคนมีกิจการผูกขาดอย่างนายกฯ ยิ่งกู้ก็คงอาจจะยิ่งรวยจริง แต่หนี้ที่รัฐบาลได้สร้างให้กับประชาชนของนั้น เป็นหนี้ที่ใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากกว่านำไปลงทุน จึงเรียกได้ว่ายิ่งกู้จึงยิ่งจนไม่ใช่ยิ่งรวย เหมือนนายกฯและอีกหลายคนในรัฐบาลชุดนี้
‘แนวทางของรัฐบาลไทยรักไทย เป็นแนวทางแห่งความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย โดยขาดความรับผิดชอบในระยะยาว การกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อใช้จ่ายกับโครงการที่เกินความจำเป็นและไร้สาระ การสร้างหนี้ในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ จะทำให้ภาครัฐมีภาระระยะยาวจำนวนมหาศาลตามมา โดยรัฐบาลจะชำระหนี้เหล่านั้นได้ ก็ด้วยการขูดรีดภาษีจากประชาชน ดังนั้น ในอนาคตจะต้องเกิดการเก็บภาษีแบบใหม่ๆ เพื่อให้ได้เงินมากเท่ากับหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วตอนนี้ และในไม่ช้า คนที่ไม่เคยต้องจ่ายภาษีก็ต้องจ่าย สินค้าหรือบริการที่ไม่เคยเก็บภาษี อีกไม่นานก็ต้องเก็บ สินค้าที่เคยเสียภาษี ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้น ภาษีที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้พัฒนาประเทศแบบที่ถูกที่ควร’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายบัญญัติกล่าวว่า วิสัยทัศน์ของประชาธิปัตย์ แตกต่างกับวิสัยทัศน์แบบ ‘คิดสั้น’ ของรัฐบาลไทยรักไทย เพราะประชาธิปัตย์ไม่เชื่อในทฤษฎีการเป็นหนี้ที่แก้ปัญหาปากท้องระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาว แต่พรรคประชาธิปัตย์เชื่อเรื่องการมีส่วนร่วมการเติบโตจากท้องถิ่น การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน มากกว่าการใช้อำนาจสั่งการแบบรัฐบาลไทยรักไทย ทั้งนี้คิดว่าวิสัยทัศน์ของผู้นำแบบซีอีโอ เป็นการใช้นโยบายประชานิยมแบบเอาตัวรอด ซื้อเวลาด้วยการสร้างหนี้ให้ประชาชน ล้างผลาญทรัพยากรของวันนี้ให้หมดไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้ประเทศต้องล้มครืนอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าไม่ใช่นโยบายประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดถือมาโดยตลอด
‘การบริหารแบบผู้นำซีอีโอไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ความจริงจะเป็นเรื่องล้าสมัยเสียด้วยซ้ำ ก็คือการเอาระบบเผด็จการมาตบแต่งเสียใหม่ให้ดูดี น่าเชื่อถือเพื่อตบตาประชาชน แต่ด้านในกลับไม่ได้ดูดีอย่างที่เห็น สุดท้ายแล้วคนไทยวันนี้ต้องรับภาระหนี้ท่วมหัว คนไทยวันหน้าจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกหลาน ขณะนี้เราไม่ได้อยู่บนวิธีการที่ถูกต้องแห่งการก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างที่ท่านนายกฯ ได้สร้างภาพไว้ เพราะวิธีการของท่านไม่ได้สร้างรากฐานที่ถูกต้องให้คนไทยอย่างยั่งยืน ท่านกำลังพาเราไปสู่ความหายนะ ความหายนะที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันแบกภาระหนี้สิน และตกเป็นทาส เป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจในที่สุด’ นายบัญญัติกล่าว
ทั้งนี้นายบัญญัติได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีทั้งหมด 3 ข้อก็คือ 1.สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม 2.รายได้ที่ดีและมั่นคงกว่าเดิม 3.ประเทศชาติที่แข็งแกร่งและสงบร่มเย็นภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อให้ภาพความคิดเหล่านี้เป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์จึงมีภารกิจที่เรียกว่า ‘4 ภารกิจเร่งด่วน’ ที่จะดำเนินการในทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลคือ
ภารกิจที่ 1 คือการรับภาระด้านการศึกษาของเด็กไทยอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งขยายโอกาสทางการศึกษาพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน สำหรับนโยบายนี้แบ่งเป็น
ให้เยาวชนเรียนฟรีตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยม 6
ลดภาระค่าหน่วยกิตของนักศึกษาปริญญาตรีลง 50% และภายใน 2 ปี จะเพิ่มจำนวนการรับนักศึกษาระบบเอ็นทรานซ์อีก 20%
สร้างหลักประกันความถูกต้องโปร่งใสและกำหนดมาตรฐานของระบบเอ็นทรานซ์ เพื่อป้องกันการใช้เส้นสายหรือข้อสอบรั่วเช่นในปัจจุบัน
ให้ทุนการศึกษาทั่วประเทศแก่นักศึกษาที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์อย่างทั่วถึง อย่างน้อยอำเภอละ 1 ทุน เพื่อเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยระดับโลก
ภายในเวลา 1 ปีหากเป็นรัฐบาล จะมีการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาใหม่ เพื่อเด็กทุกคนจะได้รับการเรียนการสอนจากโรงเรียนที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
ภารกิจที่ 2 ของประชาธิปัตย์ คือ การเพิ่มรายได้ให้คนไทย พร้อมช่วยลดหนี้สินให้กลับสู่สภาวะปลอดหนี้ แบ่งเป็น
จะเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเกษตรผสมผสานตามแนวทางแห่งพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียงและโครงการเกษตรสมัยใหม่โดยรัฐจะช่วยเหลือให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาทในช่วงแรกเริ่มเป็นเวลา 4 ปี
จัดให้มีรายได้เสริมอีก 1,000 บาทต่อเดือนแก่ผู้ที่อาสาและเข้าร่วมดูแลโครงการปลูกป่าเพื่อในหลวงและโครงการเพื่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อพลิกฟื้นธรรมชาติคืนความเขียวขจีให้กับประเทศ
ยกหนี้ที่เกิดจากโครงการที่ล้มเหลวของรัฐในอดีต และหนี้ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ
ลดหนี้ทั้งเงินต้นและอัตราดอกเบี้ย สำหรับผู้มีรายได้น้อยและมีหนี้สินที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ โดยเฉพาะหนี้ที่กู้ยืมจากธนาคารของรัฐ
ในส่วนของกองทุนหมู่บ้านที่ล้มเหลวของไทยรักไทย จะมีการลดภาระการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งการยืดระยะเวลาการชำระเงินต้น พร้อมกับการจัดรูปแบบการบริหารจัดการใหม่
จะจัดให้มีโครงการชำระหนี้ด้วยงาน ด้วยการเข้าร่วมทำงานในโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ
จากภารกิจที่สอง พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าจะช่วยให้เกษตรกรได้กลับมาลืมตาอ้าปากยืนหยัดได้อีกครั้ง และสามารถที่จะลงทุนปรับปรุงผลผลิตต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
ภารกิจที่ 3 คือ ผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการเรียนการฝึกฝนวิชาชีพ โดยรัฐจะเข้าไปช่วยเพื่อเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่ดีกว่า แบ่งเป็น
จะส่งเสริมคนไทยให้มีความรู้ในวิชาชีพของตนเอง
สนับสนุนการฝึกงานของนักศึกษาเป็นเวลา 1 ปีหลังจากเรียนจบ เพื่อเพิ่มทักษะจากการทำงานจริงโดยมีเงินตอบแทนไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ
ภารกิจที่ 4 การให้ผู้สูงอายุมีรายได้เป็นของตนเอง ลดความห่วงกังวลของลูกหลาน แบ่งเป็น
ใน 1 ปี ที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะมีการจัดตั้ง กองทุนเลี้ยงชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีสิทธิรับเงินจากกองทุนเลี้ยงชีพ 1,000 บาทต่อเดือน พร้อมกับได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลฟรี
‘ทั้งหมดคือ 4 ภารกิจอันเร่งด่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีโอกาสเป็นรัฐบาลเราขอเดิมพันทันทีว่า จะต้องทำภารกิจเหล่านี้ให้สำเร็จภายในเวลาที่เราพูด วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อนำพาประเทศชาติของเราให้กลับมาอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องตามแนวทางแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ในวันนี้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีระบบการตัดสินใจที่แม่นยำฉับไวมากยิ่งขึ้น เป็นพรรคที่ทั้งคิดและทำให้เกิดขึ้นจริง เป็นพรรคที่มีวิสัยทัศน์เพื่อวันนี้ที่ดีขึ้น และเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เชื่อผมเถอะว่าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีศักยภาพที่เหนือกว่า และเราจะแสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้เงินงบประมาณได้ดีมีประสิทธิภาพกว่าถูกต้องกว่า และคุ้มค่ากว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาวโดยการที่จะวางรากฐานด้านการศึกษา และสร้างพื้นฐานที่ดี ที่มีคุณภาพและกระจายสู่คนไทยอย่างทั่วถึง’ นายบัญญัติกล่าว
ในตอนท้ายนายบัญญัติได้กล่าวย้ำว่า อยากฝากเรื่องสำคัญ 3 เรื่องที่ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ คือ 1. มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติอย่างถาวร ในขณะเดียวกัน เราจะแก้ปัญหาปากท้องควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหากจะให้เห็นภาพที่ชัดเจน นี่คือ ‘บันได 2 ขั้นสู่ชีวิตที่ดีขึ้น’ ขั้นแรก คือ เพื่อชีวิตวันนี้ที่ดีขึ้น ด้วยการแก้ปัญหาปากท้องและรายได้ ยกระดับการทำงาน พร้อมปลดหนี้ และ ขั้นที่สอง เพื่ออนาคตวันข้างหน้าที่ดีกว่า ด้วยการศึกษาและเสริมสร้างศักยภาพของทุกคนอย่างต่อเนื่อง จึงจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทั้ง 2 ขั้นบันไดที่จะก้าวขึ้นไป จะนำไปสู่จุดหมายที่วางไว้ นั่นคือ ชีวิตของพี่น้องคนไทยที่ดีกว่าเดิม 2.บอกประชาชนถึง 4 ภารกิจเร่งด่วน ที่จะทำให้นโยบายของประชาธิปัตย์ลุล่วงไปได้ และ 3. บอกประชาชนว่า ประชาธิปัตย์จะทำ 4 ภารกิจนี้ในทันที ภายใน 12 - 24 เดือน เมื่อมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25/04/47--จบ--
-สส-