ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การที่เงินบาทอ่อนค่าลงเป็นผลจากการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ รายงานข่าวจาก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท ณ วันที่ 12 พ.ค.47 ว่าปิดตลาดที่ระดับ
40.45-40.51 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากวันก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนค่าเงินในภูมิภาคมีการเคลื่อน
ไหวเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า การที่
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงนี้ มีสาเหตุจากการที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นออก เพราะกังวลว่าต้นทุนเงิน
กู้ที่นำมาซื้อหุ้นจะสูงขึ้น เนื่องจาก ธ.กลาง สรอ.มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่ง
เงินทุนที่ไหลออกจำนวนมากมาจากตลาดหุ้น และส่วนใหญ่เป็นการแลกเงินดอลลาร์กลับออกไป อันเป็นผลจาก
การที่ ธปท.เคยออกเกณฑ์บังคับไม่ให้นักลงทุนต่างชาติมีเงินบาทในบัญชีได้เกินกว่า 300 ล.บาทต่อบัญชี เพื่อ
ป้องกันเงินบาทแข็งค่าเกินไป ทำให้เมื่อต่างชาติมีการขายหุ้นจึงต้องแลกดอลลาร์ออกไปเลย แต่ยังไม่ใช่การ
ไหลออกที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ธปท.เห็นว่าค่าเงินบาทที่อ่อนลงมาอยู่ในระดับปัจจุบัน เหมาะกับภาวะ
เศรษฐกิจของไทยในระดับนี้ เพราะภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินบาทจึงอ่อนค่าได้
บ้าง (ผู้จัดการรายวัน)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือน เม.ย.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ผอ.ศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน เม.ย.47 ว่า ปรับ
ตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
แนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมัน และการคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครง
สร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 101.6 ดัชนีฯ เกี่ยวกับ
โอกาสในการหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 96.1 ดัชนีฯ เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 114.3 ลดลงจากเดือนก่อน
ซึ่งอยู่ที่ระดับ 103, 96.9 และ 116.8 ตามลำดับ โดยสัญญาณที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ดัชนีความเชื่อ
มั่นผู้บริโภคในอนาคตต่อภาวะเศรษฐกิจที่ลดลงจาก 109.1 เหลือ 105.7 และดัชนีความเชื่อมั่นต่อการหา
งานทำในอนาคตที่ลดลงเหลือ 99.5 ซึ่งเป็นลดต่ำกว่า 100 ในรอบ 7 เดือน อนึ่ง จากการปรับตัวลดลง
อย่างต่อเนื่องของดัชนีฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 47 แสดงถึงสัญญาณว่าที่น่าเป็นห่วงว่า ดัชนีฯ มีโอกาส
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
3. ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมากถึง 21.6% รองผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร ศูนย์
ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้าชี้แจงข้อมูลต่อคณะ
กรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ถึงผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ต่อ
ภาวะตลาดหุ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาก ประกอบกับมีปัจจัยลบอื่นๆ ตั้งแต่ต้นปี
ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ความไม่ชัดเจนเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปรับขึ้นของราคา
น้ำมันโลก และความกังวลเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาด
หุ้นที่ปรับลดลงมากที่สุดในโลกถึง 21.6% สวนทางกับปี 46 ที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก
(ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธ.ยูโอบีลงนามซื้อหุ้น ธ.เอเชียจาก ธ.เอบีเอ็นแอมโร ประธานกรรมการและประธานคณะ
ผู้บริหาร ธ.ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ยูโอบีสิงคโปร์) เปิดเผยว่า ยูโอบีได้ลงนามในสัญญากับ ธ.เอบีเอ็นแอมโร
เพื่อซื้อหุ้นสามัญของ ธ.เอเชีย ที่ ธ.เอบีเอ็นแอมโรถืออยู่ 80.77% หรือจำนวน 4,115.76 ล.หุ้น คิดเป็น
เงินจำนวน 22,019 ล.บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยและ ก.คลัง ภายใน 1-2
เดือน ในส่วนของ ธปท. นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ในระยะต่อไปจะมีการควบ
รวมกิจการระหว่าง ธ.ยูโอบีรัตนสินและ ธ.เอเชีย ส่วนธนาคารใดจะเป็นแกนนำในการบริหารงานขึ้นอยู่กับ
การพิจารณาของ ธ.ยูโอบีสิงคโปร์ (ไทยโพสต์, สยามรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ. กลางอังกฤษอาจจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ รายงานจากลอนดอน
เมื่อ วันที่ 12 พ.ค. 47 นาย Mervyn King ผวก.ธ.กลางอังกฤษเปิดเผยว่า อาจจะปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยเนื่องจากมีแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อที่อันตรายจาก การที่ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เงิน
เฟ้อที่เคลื่อนไหวเกินกว่าเป้าหมายของทางการที่ระดับร้อยละ 2.0 ในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ แม้ว่าทางการจะได้
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.25 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม การปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายล่วงหน้าก่อนภาวะตลาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็ยังไม่อาจจะทราบได้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ย
นโยบายจะเป็นไปทางใด ซึ่งขึ้นกับแนวโน้มเหตุการณ์ในอนาคต แต่นักเศรษฐศาสตร์จาก RBS Financial
Markets กล่าวว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ทั้งนี้ธ.กลางอังกฤษได้ปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยไตรมาสละครั้งในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจุบันนักวิเคราะห์เห็นว่าจะมีการปรับถี่ขึ้นเป็นทุกๆ
2 เดือนต่อครั้งแทนการปรับทุก 3 เดือนต่อครั้งและเห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวของ ธ.กลาง
อังกฤษจะเป็นการปรับเพิ่มครั้งละร้อยละ 0.25 เพื่อป้องกันปัญหาการตื่นตระหนกของธุรกิจ ทั้งนี้ ธ.กลาง
อังกฤษกล่าวว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ตลาดเงินปรับตัวและพ้นจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้า
หมายของทางการร้อยละ 2.0 ภายใน 2 ปี (รอยเตอร์)
2. จีนยืนยันเศรษฐกิจปี 47 จะเติบโตร้อยละ 7.0 รายงานจากกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 Wen Jiabao นรม.ของจีน กล่าวว่า เขามั่นใจว่าเศรษฐกิจของจีนในปี 47 จะมี
อัตราการเติบโตร้อยละ 7.0 ซึ่งจะทำให้จีดีพีเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าภายในปี 2563 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของ
จีนในปี 46 เติบโตร้อยละ 9.1 และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราการเติบโตร้อยละ 9.7 อย่างไรก็ตาม
นรม.ของจีนยอมรับว่าจีนที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียนั้น ที่
จริงแล้วปริมาณและประสิทธิภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร และยังคงห่างไกลจากประเทศ
ที่ทันสมัยและพัฒนาแล้ว โดยมีปัญหาสำคัญหลายอย่างที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ เช่น
การลงทุนมากเกินไปในสินทรัพย์ถาวร การลงทุนอย่างไม่ไตร่ตรอง การขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการ
ผลิตพลังงาน เช่น ถ่านหินและน้ำมัน การขยายตัวมากเกินไปของปริมาณเงินหมุนเวียนและการให้สินเชื่อ
และแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปฏิรูปภาคการธนาคารนับเป็นเรื่องสำคัญที่
รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ แต่การขาดแคลนเครื่องมือในการจัดการกับเงินทุนหมุนเวียนนับเป็นปัญหาใหญ่ที่
กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งกล่าวได้ว่าการปฏิรูปภาคการธนาคารจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จหรือ
ล้มเหลวในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนได้เลย ทั้งนี้ จีนได้พยายามจัดการกับปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินของกอง
ทุนจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ ธ.กลางจีนมีความยากลำบากมากขึ้นในการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนใน
ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากต่างประเทศที่พยายามให้จีนลดค่าเงินหยวน ซึ่งจีน
ให้สัญญาว่าจะทำให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเวลาที่เหมาะสม (รอยเตอร์)
3. การปล่อยสินเชื่อของ ธ.ญี่ปุ่นในเดือน เม.ย.47 ลดลงร้อยละ 4.0 เทียบปีต่อปี รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การให้สินเชื่อของ ธ.ญี่ปุ่นในเดือน เม.ย.47
ลดลงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 40 โดยตัวเลขเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า
ยอดรวมสินเชื่อของธนาคาร 4 ประเภทหลักของญี่ปุ่นรวมตัวเลขของ shinkin banks (credit unions)
ในเดือน เม.ย.47 อยู่ที่ระดับ 453.1981 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 4.010 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้
ตัวเลขดังกล่าวลดลงทุกเดือนนับตั้งแต่ ธ.กลางญี่ปุ่นได้รวมตัวเลขของ shinkin banks เข้ามาตั้งแต่เดือน
ม.ค.44 ซึ่งถ้าไม่รวมตัวเลขของ shinkin banks ยอดสินเชื่อรวมจะลดลงร้อยละ 4.5 อยู่ที่ระดับ
391.4490 ล้านล้านเยน เป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 76 ส่วนการให้สินเชื่อของ ธ.ต่างประเทศใน
ญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 23.3 จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 5.6195 ล้านล้านเยน (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน เม.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 พ.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ 22 คนว่า ผลผลิต
อุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน เม.ย.47 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 0.2
ส่วน Capacity utilization ของโรงงานในประเทศ เหมืองแร่และระบบสาธารณูปโภคในเดือน
เม.ย.47 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 76.7 จากร้อยละ 76.5 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ จากอากาศที่อบอุ่นนอก
ฤดูกาลในเดือน มี.ค.ส่งผลให้ผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า อุณหภูมิที่เป็นปกติในเดือน
เม.ย.47 จะทำให้ผลผลิตกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าผลผลิตของนอกภาคอุตสาหกรรมรถยนต์จะ
สามารถชดเชยภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัวจากการที่มีสินค้าคงคลังจำนวนมาก ทั้งนี้ ธ.กลาง สรอ.จะ
ประกาศตัวเลขที่แท้จริงในวันศุกร์ที่ 14 พ.ค.47(รอยเตอร์)
5. รอยเตอร์คาดว่าคำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.47 จะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
รายงานจากโตเกียว เมื่อ 7 พ.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 26 คนว่า คำสั่งซื้อ
เครื่องจักรหลัก ซึ่งไม่รวมถึงหมวดเครื่องมือเครื่องใช้ของธุรกิจพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่น ในเดือน มี.ค.47
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ที่ระดับร้อยละ 5.1 โดยมีช่วงประมาณการตั้งแต่ลดลงร้อยละ 6.1
ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 แต่หากเมื่อเทียบกับเดือนกันของปีก่อนคาดว่าคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 ทั้งนี้ นัก
วิเคราะห์เห็นว่าการที่ตัวเลขคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงภาวะการส่งออกที่แข็งแกร่งอันจะส่งผลให้กำไรในภาค
ธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้น โดยตัวเลขที่แท้จริงจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 13 พ.ค.47 (รอยเตอร์)
6. อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือนเม.ย. อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน
รายงานจากโซล เมื่อ วันที่ 13 พ.ค. 47 สำนักงานสถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย.
อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.4 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่
แล้ว และต่ำกว่าอัตราการว่างงานในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงานใน
ประเทศในปีนี้ โดยจำนวนคนทำงานในภาคค้าส่งและค้าปลีกในเดือนเม.ย. 47 ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
หลังจากที่ชะลอตัวในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาซึ่งบ่งชี้ว่าการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น นักเศรษฐศาสตร์
กล่าวว่าโดยปกติตลาดแรงงานจะสะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานจะเพิ่มมากขึ้น หาก
นักธุรกิจเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13/5/47 12/5/47 30/1/47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.488 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.3206/40.6059 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1250 - 1.2500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 622.01/19.46 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,300/7,400 7,300/7,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.34 35.07 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 7 พ.ค..47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. การที่เงินบาทอ่อนค่าลงเป็นผลจากการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ รายงานข่าวจาก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท ณ วันที่ 12 พ.ค.47 ว่าปิดตลาดที่ระดับ
40.45-40.51 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากวันก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนค่าเงินในภูมิภาคมีการเคลื่อน
ไหวเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า การที่
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงนี้ มีสาเหตุจากการที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นออก เพราะกังวลว่าต้นทุนเงิน
กู้ที่นำมาซื้อหุ้นจะสูงขึ้น เนื่องจาก ธ.กลาง สรอ.มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่ง
เงินทุนที่ไหลออกจำนวนมากมาจากตลาดหุ้น และส่วนใหญ่เป็นการแลกเงินดอลลาร์กลับออกไป อันเป็นผลจาก
การที่ ธปท.เคยออกเกณฑ์บังคับไม่ให้นักลงทุนต่างชาติมีเงินบาทในบัญชีได้เกินกว่า 300 ล.บาทต่อบัญชี เพื่อ
ป้องกันเงินบาทแข็งค่าเกินไป ทำให้เมื่อต่างชาติมีการขายหุ้นจึงต้องแลกดอลลาร์ออกไปเลย แต่ยังไม่ใช่การ
ไหลออกที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ธปท.เห็นว่าค่าเงินบาทที่อ่อนลงมาอยู่ในระดับปัจจุบัน เหมาะกับภาวะ
เศรษฐกิจของไทยในระดับนี้ เพราะภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินบาทจึงอ่อนค่าได้
บ้าง (ผู้จัดการรายวัน)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือน เม.ย.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ผอ.ศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน เม.ย.47 ว่า ปรับ
ตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
แนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมัน และการคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครง
สร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 101.6 ดัชนีฯ เกี่ยวกับ
โอกาสในการหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 96.1 ดัชนีฯ เกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 114.3 ลดลงจากเดือนก่อน
ซึ่งอยู่ที่ระดับ 103, 96.9 และ 116.8 ตามลำดับ โดยสัญญาณที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ดัชนีความเชื่อ
มั่นผู้บริโภคในอนาคตต่อภาวะเศรษฐกิจที่ลดลงจาก 109.1 เหลือ 105.7 และดัชนีความเชื่อมั่นต่อการหา
งานทำในอนาคตที่ลดลงเหลือ 99.5 ซึ่งเป็นลดต่ำกว่า 100 ในรอบ 7 เดือน อนึ่ง จากการปรับตัวลดลง
อย่างต่อเนื่องของดัชนีฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 47 แสดงถึงสัญญาณว่าที่น่าเป็นห่วงว่า ดัชนีฯ มีโอกาส
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้)
3. ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมากถึง 21.6% รองผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร ศูนย์
ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เข้าชี้แจงข้อมูลต่อคณะ
กรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ถึงผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ต่อ
ภาวะตลาดหุ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาก ประกอบกับมีปัจจัยลบอื่นๆ ตั้งแต่ต้นปี
ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ความไม่ชัดเจนเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปรับขึ้นของราคา
น้ำมันโลก และความกังวลเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาด
หุ้นที่ปรับลดลงมากที่สุดในโลกถึง 21.6% สวนทางกับปี 46 ที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก
(ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ธ.ยูโอบีลงนามซื้อหุ้น ธ.เอเชียจาก ธ.เอบีเอ็นแอมโร ประธานกรรมการและประธานคณะ
ผู้บริหาร ธ.ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ยูโอบีสิงคโปร์) เปิดเผยว่า ยูโอบีได้ลงนามในสัญญากับ ธ.เอบีเอ็นแอมโร
เพื่อซื้อหุ้นสามัญของ ธ.เอเชีย ที่ ธ.เอบีเอ็นแอมโรถืออยู่ 80.77% หรือจำนวน 4,115.76 ล.หุ้น คิดเป็น
เงินจำนวน 22,019 ล.บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยและ ก.คลัง ภายใน 1-2
เดือน ในส่วนของ ธปท. นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ในระยะต่อไปจะมีการควบ
รวมกิจการระหว่าง ธ.ยูโอบีรัตนสินและ ธ.เอเชีย ส่วนธนาคารใดจะเป็นแกนนำในการบริหารงานขึ้นอยู่กับ
การพิจารณาของ ธ.ยูโอบีสิงคโปร์ (ไทยโพสต์, สยามรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ. กลางอังกฤษอาจจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ รายงานจากลอนดอน
เมื่อ วันที่ 12 พ.ค. 47 นาย Mervyn King ผวก.ธ.กลางอังกฤษเปิดเผยว่า อาจจะปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยเนื่องจากมีแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อที่อันตรายจาก การที่ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เงิน
เฟ้อที่เคลื่อนไหวเกินกว่าเป้าหมายของทางการที่ระดับร้อยละ 2.0 ในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ แม้ว่าทางการจะได้
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.25 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม การปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายล่วงหน้าก่อนภาวะตลาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็ยังไม่อาจจะทราบได้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ย
นโยบายจะเป็นไปทางใด ซึ่งขึ้นกับแนวโน้มเหตุการณ์ในอนาคต แต่นักเศรษฐศาสตร์จาก RBS Financial
Markets กล่าวว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ทั้งนี้ธ.กลางอังกฤษได้ปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยไตรมาสละครั้งในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจุบันนักวิเคราะห์เห็นว่าจะมีการปรับถี่ขึ้นเป็นทุกๆ
2 เดือนต่อครั้งแทนการปรับทุก 3 เดือนต่อครั้งและเห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวของ ธ.กลาง
อังกฤษจะเป็นการปรับเพิ่มครั้งละร้อยละ 0.25 เพื่อป้องกันปัญหาการตื่นตระหนกของธุรกิจ ทั้งนี้ ธ.กลาง
อังกฤษกล่าวว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ตลาดเงินปรับตัวและพ้นจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้า
หมายของทางการร้อยละ 2.0 ภายใน 2 ปี (รอยเตอร์)
2. จีนยืนยันเศรษฐกิจปี 47 จะเติบโตร้อยละ 7.0 รายงานจากกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 Wen Jiabao นรม.ของจีน กล่าวว่า เขามั่นใจว่าเศรษฐกิจของจีนในปี 47 จะมี
อัตราการเติบโตร้อยละ 7.0 ซึ่งจะทำให้จีดีพีเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าภายในปี 2563 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของ
จีนในปี 46 เติบโตร้อยละ 9.1 และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราการเติบโตร้อยละ 9.7 อย่างไรก็ตาม
นรม.ของจีนยอมรับว่าจีนที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียนั้น ที่
จริงแล้วปริมาณและประสิทธิภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร และยังคงห่างไกลจากประเทศ
ที่ทันสมัยและพัฒนาแล้ว โดยมีปัญหาสำคัญหลายอย่างที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ เช่น
การลงทุนมากเกินไปในสินทรัพย์ถาวร การลงทุนอย่างไม่ไตร่ตรอง การขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการ
ผลิตพลังงาน เช่น ถ่านหินและน้ำมัน การขยายตัวมากเกินไปของปริมาณเงินหมุนเวียนและการให้สินเชื่อ
และแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปฏิรูปภาคการธนาคารนับเป็นเรื่องสำคัญที่
รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ แต่การขาดแคลนเครื่องมือในการจัดการกับเงินทุนหมุนเวียนนับเป็นปัญหาใหญ่ที่
กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งกล่าวได้ว่าการปฏิรูปภาคการธนาคารจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จหรือ
ล้มเหลวในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนได้เลย ทั้งนี้ จีนได้พยายามจัดการกับปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินของกอง
ทุนจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ ธ.กลางจีนมีความยากลำบากมากขึ้นในการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนใน
ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากต่างประเทศที่พยายามให้จีนลดค่าเงินหยวน ซึ่งจีน
ให้สัญญาว่าจะทำให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในเวลาที่เหมาะสม (รอยเตอร์)
3. การปล่อยสินเชื่อของ ธ.ญี่ปุ่นในเดือน เม.ย.47 ลดลงร้อยละ 4.0 เทียบปีต่อปี รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 12 พ.ค.47 ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การให้สินเชื่อของ ธ.ญี่ปุ่นในเดือน เม.ย.47
ลดลงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 40 โดยตัวเลขเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า
ยอดรวมสินเชื่อของธนาคาร 4 ประเภทหลักของญี่ปุ่นรวมตัวเลขของ shinkin banks (credit unions)
ในเดือน เม.ย.47 อยู่ที่ระดับ 453.1981 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 4.010 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้
ตัวเลขดังกล่าวลดลงทุกเดือนนับตั้งแต่ ธ.กลางญี่ปุ่นได้รวมตัวเลขของ shinkin banks เข้ามาตั้งแต่เดือน
ม.ค.44 ซึ่งถ้าไม่รวมตัวเลขของ shinkin banks ยอดสินเชื่อรวมจะลดลงร้อยละ 4.5 อยู่ที่ระดับ
391.4490 ล้านล้านเยน เป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 76 ส่วนการให้สินเชื่อของ ธ.ต่างประเทศใน
ญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 23.3 จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 5.6195 ล้านล้านเยน (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์คาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน เม.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 12 พ.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ 22 คนว่า ผลผลิต
อุตสาหกรรมของ สรอ.ในเดือน เม.ย.47 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 0.2
ส่วน Capacity utilization ของโรงงานในประเทศ เหมืองแร่และระบบสาธารณูปโภคในเดือน
เม.ย.47 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 76.7 จากร้อยละ 76.5 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ จากอากาศที่อบอุ่นนอก
ฤดูกาลในเดือน มี.ค.ส่งผลให้ผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า อุณหภูมิที่เป็นปกติในเดือน
เม.ย.47 จะทำให้ผลผลิตกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าผลผลิตของนอกภาคอุตสาหกรรมรถยนต์จะ
สามารถชดเชยภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัวจากการที่มีสินค้าคงคลังจำนวนมาก ทั้งนี้ ธ.กลาง สรอ.จะ
ประกาศตัวเลขที่แท้จริงในวันศุกร์ที่ 14 พ.ค.47(รอยเตอร์)
5. รอยเตอร์คาดว่าคำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.47 จะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
รายงานจากโตเกียว เมื่อ 7 พ.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 26 คนว่า คำสั่งซื้อ
เครื่องจักรหลัก ซึ่งไม่รวมถึงหมวดเครื่องมือเครื่องใช้ของธุรกิจพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่น ในเดือน มี.ค.47
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ที่ระดับร้อยละ 5.1 โดยมีช่วงประมาณการตั้งแต่ลดลงร้อยละ 6.1
ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 แต่หากเมื่อเทียบกับเดือนกันของปีก่อนคาดว่าคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 ทั้งนี้ นัก
วิเคราะห์เห็นว่าการที่ตัวเลขคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงภาวะการส่งออกที่แข็งแกร่งอันจะส่งผลให้กำไรในภาค
ธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้น โดยตัวเลขที่แท้จริงจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 13 พ.ค.47 (รอยเตอร์)
6. อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือนเม.ย. อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน
รายงานจากโซล เมื่อ วันที่ 13 พ.ค. 47 สำนักงานสถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย.
อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.4 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่
แล้ว และต่ำกว่าอัตราการว่างงานในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงานใน
ประเทศในปีนี้ โดยจำนวนคนทำงานในภาคค้าส่งและค้าปลีกในเดือนเม.ย. 47 ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
หลังจากที่ชะลอตัวในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาซึ่งบ่งชี้ว่าการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น นักเศรษฐศาสตร์
กล่าวว่าโดยปกติตลาดแรงงานจะสะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานจะเพิ่มมากขึ้น หาก
นักธุรกิจเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13/5/47 12/5/47 30/1/47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.488 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.3206/40.6059 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1250 - 1.2500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 622.01/19.46 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,300/7,400 7,300/7,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.34 35.07 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 7 พ.ค..47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-