สรุปเชือด 8 รัฐมนตรี
โดย นายจุลินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
รายละเอียด
สรุปประเด็นปิดท้ายญัติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ดังต่อไปนี้
1 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี
-บริหารแก้ปัญหาจัดหวัดชายแดนภาคใต้ล้มเหลว
-เอื้อปผระโยชน์ธุรกิจดาวเทียมของพวกพ้อง
กรณีภาคใต้ นั้นนายจุรินทร์ ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว เนื่องจากมีการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
กรณีเอื้อประโยชน์ธุรกิจดาวเทียม
กรณีดังกล่าวนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จากการอนุมัติให้ต่อเรือตรวจการณ์ตรวจการณ์ชายฝั่งจากประเทศจีนมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท เพื่อ แลก กับการเลื่อนวงโคจรของดาวเทียมซียแซทของจีนกับดาวเทียมไอพีสตาร์ของชินแซทเทิ้ลไลท์
2 นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
-ปกป้องพ่อค้ามากกว่าประเทศชาติ ทำให้ราคาสินค้าราคาแพง แต่รัฐมนตรีปัดความรับผิดชอบ
-เอื้อประโยชน์พวกพ้อง กรณีอนุมัติการขายข้าวให้กับบางบริษัทในราคาพิเศษกว่าปกติ รวมทั้งกรณีรับจำนำข้าวที่ไม่โปร่งใส
3 น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
-เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทสื่อสารและโทรคมนาคมของเอกชน โดยเฉพาะกรณีการออก พรก.พิกัดอัตราภาษีสรรสามิต ที่ทำให้ ทศท.เสียประโยชน์ แต่บริษัทเอไอเอสได้ประโยชน์มหาศาล ขณะที่บริษัทคู่แข่งต้องอ่อนแอลง
-แก้สัญญาโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ ทำให้ ทศท.เสียประโยชน์
-แก้สัญญาบริการเสิรมของบริษัทเอไอเอสทำให้ ทศท.มีรายได้น้อยลง
4 นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
-ไม่มีวุฒิภาวะทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
-ทำผิดกฎหมายกรณีสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือเอ็นทรานซ์
5 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
-เอื้อพวกพ้องและธุรกิจครอบครัวนายกรัฐมนตรี
-กรณีสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบางบริษัทที่มีหลานของตัวเองถือหุ้น
-กรณีทางหลวงแหลมฉบังบรรจบทางหลวงหมายเลข 331 ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้น 105 ล้านบาท
-กรณีสร้างถนนรัชดาภิเษกที่ใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เอื้อธุรกิจครอบครัวนายกรัฐมนตรี เช่นโครงการบ้านจัดสรรบางกอกบูลาวาร์ด ของ บริษัทเอสซีเอทเซ็ท เช่นเดียวกับกรณีแอร์และนักบินเอื้ออาทร
6 ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รองนายกรัฐมนตรี
-เอื้อประโยชน์บริษัทมือถือของครอบครัวนายกรัฐมนตรี
7 นายวันมูหมัดนอร์ มะทา รองนายกรัฐมนตรี
-ร่ำรวยผิดปกติ
คำต่อคำสรุปเชือด 8 รัฐมนตรี
ท่านประธานที่เคารพ กระผม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กระผมขออนุญาตท่านประธานทำหน้าที่แทนเพื่อสมาชิกจำนวน 158 ท่าน เพื่อสรุปญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามข้อบังคับ ข้อ 67 และตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ฝ่ายค้านจะสามารถปฏิบัติภารกิจแทนประชาชน แต่ครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ฝ่ายค้านอย่างกระผม และพวกกระผมทั้งหมดในสภาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคนานับประการ นับตั้งแต่การประท้วง ซึ่งท่านประธานคงจะได้เห็นมาตลอดระยะเวลา 3 วัน ที่มีการอภิปรายและการทำหน้าที่ของพวกเรา รวมไปถึงความพยายามในการที่จะข่มขู่คุกคาม ในหลายรูปแบบ ทั้งความพยายามในการที่จะห้ามแตะต้องท่านนายกฯและครอบครัว ทั้งที่ท่านนายกฯเป็นบุคคลสาธารณะ และอยู่ในฐานะที่จะถูกพาดพิงได้ และผู้พาดพิงก็ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะดำเนินการในการที่จะสกัดกั้นการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายค้านมาโดยตลอด
สำหรับกรณีครอบครัวของท่านนายกฯ ท่านประธานก็คงจะได้เห็นแล้วครับว่า ฝ่ายค้านไม่ได้แตะต้องในเรื่องส่วนตัว ยกเว้นแต่ว่าเรื่องนั้นจะเกี่ยวพันกับการสูญเสียผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยรวม สิ่งที่ฝ่ายค้านต้องประสบกับปัญหาอุปสรรคในลำดับต่อมาก็คือ ความพยายามที่จะสร้างกระแสลดความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายค้าน นั่นก็คือความพยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือในลักษณะของการให้ข่าวว่าฝ่ายค้านจะใช้ข้อมูลเท็จในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง 3 วันที่ผ่านมา เราก็ได้พิสูจน์ให้ท่านประธานได้เห็นแล้วว่า ทั้งหมดไม่ได้เป็นความจริง และพวกเรามีพยานหลักฐานมากมาย หลายประการที่ได้พิสูจน์ให้ท่านประธานได้เห็นในการอภิปรายตลอด 3 วันที่ผ่านมา
ที่สำคัญ ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับว่า พวกกระผมภูมิใจ ที่อย่างน้อยที่สุดได้รับทราบว่า ประชาชนความสนใจให้การติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ ซึ่งอย่างน้อยก็จะดูได้จากผลการสำรวจที่ออกมา พบว่าประชาชน อย่างน้อย 64% สนใจติดตามปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งนั่นหมายความว่าอย่างน้อยนับจากวันนี้ไป จะมีประชาชนทั่วทั้งประเทศไม่น้อยกว่า 64% จะรู้ทันรัฐบาล และรัฐมนตรีอย่างน้อย 8 ท่านที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ข้อกล่าวหาที่ระบุไว้ในญัตตินั้น มีด้วยกัน 5 ข้อกล่าวหา หลักสำคัญ ดังที่ ฯพณฯ บัญญัติ บรรทัดฐาน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ ได้อภิปรายไว้ในวันแรก แต่ผลขออนุญาตที่จะกราบเรียนท่านประธานครับว่า อย่างน้อยมีข้อกล่าวหานึงที่ทั้ง 8 รัฐมนตรี มีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน นั่นก็คือพฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งประโยชน์ตนและพวกพ้องมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ประเทศ คำว่าพวกพ้องที่ว่าคือใครครับ
พวกพ้องที่ว่าก็คือเครือข่ายธุรกิจครอบครัวท่านนายกฯและกลุ่มทุนแวดล้อมท่านนายกฯ และรัฐมนตรี ผมขออนุญาติที่จะกราบเรียนกับท่านประธานว่า การสรุปการอภิปรายวันนี้ อาจจะมีบางกรณีที่จำเป็นต้องพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 แต่ขออนุญาตกราบเรียนขออภัยบุคคลเหล่านั้นต่อท่านประธานไว้เป็นการล่วงหน้า และขอกราบเรียนว่ากระผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้ท่านเหล่านั้นเกิดความเสียหาย แต่อาจจะจำเป็นพาดพิงก็เพราะว่าต้องการให้การสรุปการอภิปรายนั้นเกิดความสมบูรณ์ และเกิดความเข้าใจที่ชัดเจนต่อท่านประธาน และจะกระทำเท่าที่จำเป็นตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ เท่านั้น (ประธานทักท้วง)
ขอกราบเรียนท่านประธานว่า กระผมทราบข้อบังคับดีครับ การสรุปการอภิปรายจะไม่มีการเปิดประเด็นใหม่ กระผมมีหน้าที่สรุปสิ่งที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายมาทั้งหมดตามข้อบังคับ เพียงแต่การพาดพิงบุคคลที่ 3 ก็จะกระทำเท่าที่จำเป็นตามที่เพื่อสมาชิกได้อภิปรายมาแล้วเท่านั้น นี่คือสิ่งที่อยากจะกราบเรียนกับท่านประธานครับ (ประธานทักท้วง)
โดยเหตุที่ญัตตินี้เป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ผมจึงมีหน้าที่และความจำเป็นที่จะต้องชี้ให้ท่านประธานได้เห็นว่า รมต.แต่ละท่านนั้น มีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินอย่างไร ขออนุญาตท่านประธานที่จะเริ่มต้นกับ รมต.ท่านแรก จาก ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี
มีผู้ตั้งคำถามกับฝ่ายค้านว่ามีอะไรให้อภิปรายท่าน "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี" จะเข้าข่ายทารุณคนแก่หรือไม่ แต่กระผมขออนุญาตที่กราบเรียนกับท่านประธานครับว่าการพิจารณาญัตติของฝ่ายค้านไม่ได้ดูที่หนุ่มหรือแก่ครับ แต่ดูที่พฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน และข้อมูลที่ฝ่ายค้านจะแสวงหามาได้ ผมกราบเรียนว่าพวกเราให้เกียรติท่านรองนายกฯเสมอในฐานะนักการเมืองคนหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อท่านขึ้นดำรงตำแหน่งก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่ท่านทำอะไรในทิศทางที่เราเห็นว่าท่านจะต้องถูกตรวจสอบ ท่านก็ยอมอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกตรวจสอบได้
ประเด็นไม่ไว้วางใจท่านพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็คือ ประการที่ 1 ท่านบริหารราชการแผ่นดิน แก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ล้มเหลวในฐานะที่ท่านดูแลเรื่องความมั่นคงมาโดยตลอดจนมาถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ตั้งรัฐบาล ประเด็นที่ 2 ก็คือ สิ่งที่ท่านเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจดาวเทียมของพวกพ้อง กรณีแรกในเรื่องของสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชานแดนภาคใต้ ผมขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับ ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดนี้เข้ามารับผิดขอบบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การกำกับดูแลของ ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ที่กระผมกราบเรียนอย่างนี้กระผมมีตัวเลขสถิติที่จะชี้ให้ท่านประธานได้เห็นชัดเจนว่า ก่อนหน้าที่ท่าน พล.อ.ชวลิต จะเข้ามารับผิดชอบ สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงมาตามลำดับ ปี 2541 ในรัฐบาลชุดที่แล้วเกิดสถานการณ์เริ่มต้น 37 ครั้ง แต่พอมาปี 2542 รัฐบาลที่แล้วสามารถแก้ปัญหาสถานการณ์ได้ลดความรุนแรงเหลือ 14 ครั้ง จนกระทั่งปีสุดท้ายของรัฐบาล ปี 2543 ลดลงเหลือ 8 ครั้ง แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามา ปี 2544 ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 28 แล้วก็เพิ่มในปี 2545 เป็น 24 มาปี 2546 เป็น 56 จนกระทั่งปีนี้แค่ 5 เดือน ขึ้นไป 46 ครั้ง นี้คือความเป็นจริงที่ท่าน พล.อ.ชวลิตจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นครับ สาเหตุที่แท้จริงคือการดำเนินนโยบายและการราชการแผ่นดินของรัฐบาลและท่านรองนายกฯ ชวลิต ผิดพลาด ผิดพลาดอย่างไรครับ ผิดพลาดตั้งแต่การประเมิณสถานการณ์ผิด ท่านประธานคงจำได้ การประเมิณสถานการณ์ของรัฐบาลชุดนี้ต่อสถานการณ์ภาคใต้ก็คือ ประเมินว่าเป็นการกระทำของโจรกระจอก เป็นการกระทำของพวกค้ายาเสพติด เป็นการกระทำของพวกสองสัญชาติ และตรงนี้ครับ เมื่อประเมิณสถานการณ์ผิดก็นำมาซึ่งการยกเลิดศอ.บต. และ พตท.43 ซึ่งเป็นองค์กรที่แก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้สำเร็จมาเป็นลำดับ ในรัฐบาลชุดก่อนๆ ที่สุดเมื่อไม่มี ศอ.บต. ไม่มีพตท. 43 ซึ่งเป็นกองกำลังผสมร่วมพลเรือน ตำรวจ ทหาร กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็เข้มแข็ง แข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ และตรงนี้ครับ เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายเพิ่มขึ้น รัฐบาลนี้ก็กำหนดนโยบายผิดพลาดซ้ำสอง นโยบายที่ผิดพลาดที่ว่านั้นก็คือ การใช้นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งก็คือ การส่งสัญญาณการใช้ความรุนแรงไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้สนองนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการบางส่วนที่รัฐบาลส่งไปจากส่วนกลางหลายท่านครับ เอารุ่น เอาพวก เอาญาติเข้าไป แม่ทัพภาค 4 ปีเดียวเปลี่ยน 3 คนครับ นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แทนที่รัฐบาลจะใช้นโยบายและแนวทางเข้าถึงเข้าใจ พัฒนา ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และในที่สุดก็นำมาซึ่งการยิงทิ้งประชาชน มีการอุ้มฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก นำไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ไม่มียุคไหนครับพระออกบิณฑบาตรถูกฟันเสียชีวิต ไม่มียุคไหนครับที่มีการปล้นปืนค่ายทหารและไม่มียุคไหนที่มีการใช้ความรุนแรงบุกค้นมัสยิดปอเนาะกูโบ เหยียบย่ำน้ำใจชาวมุสลิมเยี่ยงยุคนี้ จนประธานคณะกรรมการอิสลาม 3 จังหวัด ต้องปะกาศยุติความร่วมมือกับรัฐบาล กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์เศร้าสลด 28 เม.ย.2547 รวมทั้งเหตุการณืที่มัสยิดกรือเซะคนตายจำนวนมาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลไม่กำหนดนโยบายผิดพลาด ถ้าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงไม่กำหนดนยาบยผิดพลาด และไม่ผลักไสประชาชนไปจากอำนาจรัฐ เหมือนกรณีที่เกิดขึ้น ตอนเหตุการณ์ 6 ต.ค. ที่ผลักไสประชาชนเข้าป่าไปเป็นจำนวนมาก
กระผมขอกราบเรียนกับท่านประธานครับว่า พวกเราอยากเห็นความสงบเกิดขึ้นในจังหวัดภาคใต้ โดยเร็ว ด้วยความสุจริตใจอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากนโยบายและการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลและท่านพล.อ.ชวลิต นำมาซึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้วและอาจประเมินค่าได้ พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจท่านได้ในกรณีการแก็ไขปัญหาความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประเด็นสำคัญประเด็นที่ 2 ก็คือ กรณีไม่ไว้วางใจที่เกี่ยวพันกับการนำคณะไปเยือนจีนถี่เป็นพิเศษ ของท่านพล.อ.ชวลิต และท่านนายกรัฐมนตรี แต่ที่กราบเรียนนี้ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านนายกฯ ครับ แต่ที่มาที่ไปที่จะต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ชวลิต ก็เพราะเหตุว่า ท่านนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต สลับกันเดินทางไปเยือนจีนถี่เป็นพอเศษจริงๆ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2544 จนกระทั่งถึงกลางเดือนเม.ย.2545 2 ท่านสับกันนำคณะไปเยือนจีน 5 ครั้ง ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ท่ามกลางเยงเล่สาลือว่า ส่วนหนึ่งท่านไปเจรจาเรื่องผลประโยชน์เรื่องธุรกิจดาวเทียม ซึ่งในเวลาต่อมาสิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏชัด ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทชินแซทเทิลไลท์ เปิดเผยครับ บอกว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์ ของบริษัทมีปัญหาเรื่องสัญญาณกวนกันกับดาวเทียมเอเชียแซทของจีน เพราะวงโคจรห่างกันแค่ 1 องศา คือ ดาวเทียมไอพีสตาร์อยู่ที่ 120 องศา เอเชียแซทของจีนอยู่ที่ 121 องศา ถ้าอยู่ใกล้กันไม่ถึง 2 องศา สัญญาณก็จะกวนกัน จึงมีความพยายามที่จะเจรจาให้จีนเลื่อนจาก 121 องศา ไปอยู่ที่ 120 องศา เพื่อให้ห่างกัน 2 องศา เพื่อจะได้ทำธุรกิจได้ ไม่เช่นนั้นก็จะทำธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่ได้
ประเด็นไม่ไว้วางใจท่านพล.อ.ชวลิต ก็คือว่า กรณีที่ท่านเข้าด้วยช่วยเหลือด้วยกลวิธีต่างๆ นานา กระทั่งนำไปสู่การอนุมัติให้บริษัทจีน บริษัทหนึ่งได้เรือตรวจการไกลฝั่งของกองทัพเรือ 2 ลำ มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดยวันอนุมัติ ท่านพล.อ.ชวลิตนั่งเป็นประธานในคณะรัฐมนตรีด้วยตนเอง เพราะบังเอิญท่านนายกฯไปประชุมอาเซ็มที่เดนมาร์ก ลงล็อกเหมือนลูกไม่ต้อง ลูกน้องทำเองเลยครับ ... (มีผู้ประท้วง)
การอนุมัติให้บริษัทจีนได้สัมปทานต่อเรือนำมาซึ่งความไม่สบายใจจากหลายฝ่าย เพราะอะไรครับ เพราะบริษัทจีนดังกล่าวเคยต่อเรือให้ไทยมาแล้ว 6 ลำ เป็นเรือพิฆาต หรือที่เรียกกันว่า เรือฟรีเก็ต แต่ปรากฏว่าระบบอำนวยการรบมีปัญหา เป็นข่าวไปทั่วโลก กรณีของการต่อเรือตรวจการไกลฝั่งที่นำมาซึ่งการไม่ไว้วางใจท่านพล.อ.ชวลิต ที่กระผมกราบเรียนอยู่นั้น ขออนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับว่า นับตั้งแต่ท่าน พล.อ.ชวลิตเข้ามา มีการประกวดราคา 3 ครั้ง แต่ว่า ไม่ได้จีนบริษัทจีนบริษัทดังกล่าวทั้ง 3 ครั้ง ในที่สุดจึงนำมาซึ่งการยกเลิกการประมูลทั้ง 3 ครั้ง
สุดท้ายท่านรองนายกฯชวลิต หักดิบเลยครับ เรียกบริษัทมาพิจารณาแค่ 2 บริษัท คือ 1.บริษัทจีน กับ 2.บริษัทสเปน แต่ไม่เชิญบริษัทที่เขาเคยประมูลได้มาทั้ง 3 ครั้ง คือ บริษัทอู่ต่อเรือกรุงเทพ ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงกลาโหม ที่เขามีศักยภาพในการต่อเรือประสบความสำเร็จมาโดยลำดับ และในที่สุดท่านก็เอาเข้าคณะรัฐมนตรีอย่างที่กระผมกราบเรียน นั่งหัวโต๊ะอนุมัติให้กิน บรรลุตามเป้าหมาย ท่ามกลางความไม่สบายใจของกองทัพเรือ แต่แน่นอนครับ ท่ามกลางความสำเร็จของธุรกิจดาวเทียม
จากนั้นวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วม เรื่อง ข้อตกลงของบริษัทชิน แซทเทิลไลท์ กับบริษัทเอเชีย แซท ของจีน เนื้อหาใจความสรุปได่ว่า ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนที่สนับสนุนจนดาวเทียมจีนจะเลื่อนวงโคจรจาก 121 องศา ไปอยู่ที่ 122 องศา เพื่อไม่ให้สัญญาณไปกวนกับดาว...
( มีผู้ประท้วง ) - - - -
ท่านประธานครับ อยากเรียนท่านประธานว่า ประเด็นนี้ ผู้อภิปราย คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผมก็ไม่อยากที่จะไปโต้เถียงกับผู้ประท้วง ว่าท่านฟังหรือไม่ ขอความกรุณาให้ผมได้ทำหน้าที่โดยราบรื่นครับ
( มีผู้ประท้วง ) - - - -
ท่านประธานครับ กล่าวโดยสรุปก็คือ ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างสองบริษัทและดาวเทียมจีนยอมที่จะร่วมวงโคจรจาก 121 องศา ไปอยู่ที่ 122 องศา เพื่อไม่ให้ไปกวนกับสัญญาณของดาวเทียมไอพีสตาร์ คำตอบ ของ พล.อ.ชวลิต ผมฟังแล้วก็งง แต่จับความได้ว่าโกหกทั้งหมด เพราะว่าเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด
แต่ผมกราบเรียนว่าที่ได้พูดมานั้นเป็นข้อเท็จจริง และเพราะเหตุว่าพฤติกรรมของ ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธนั้น ชี้ว่าท่านได้เอาเงินของงบประมาณแผ่นดิน 3,500 ล้านบาท ไปจ้างบริษัทจีนต่อเรือเอาความสุ่มเสี่ยงเรื่องความมั่นคงของกองทัพไปแลกกับผลประโยชน์ธุรกิจดาวเทียม ที่คาดว่าจะกำไรปีละ 2,770 ล้านบาท ตลอดอายุ 12 ปี รวมผลกำไร 33,240 ล้านบาท ท่านมุ่งของธุรกิจดาวเทียมมากกว่าผลประโยชน์ของกองทัพและประเทศ พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้พล.อ.ชวลิต ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้
รัฐมนตรีท่านถัดไป ท่านวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านรับตำแหน่งท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่ว่าเป็นตัวแทนจากกลุ่มทุนในคณะรัฐมนตรี แต่พวกกระผมฝ่ายค้านให้ความเป็นธรรมกับท่าน พวกเราบอกกันว่าต้องดูที่การทำงานของท่านก่อนว่ารักษาผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่ แต่พวกเราให้ความสนใจติดตามท่านเป็นพิเศษตอนที่ได้ยิน ท่านพูดหลายรอบว่า การที่ท่านบอกว่า "เป็น รมว.พาณิชย์ไม่อุ้มพ่อค้าแล้วจะไปอุ้มใครที่ไหน" จากนั้นก็พบความจริงว่า การบริหารราชการแผ่นดินของท่านอุ้มพ่อค้าจริงๆ แล้วก็อุ้มทั้งสองแขน ไม่เหลือแขนที่จะไว้อุ้มประชาชน อุ้มพ่อค้าไม่เป็นไรครับ แต่ท่านเลือกอุ้มพ่อค้าอยู่ 1-2 โดยเฉพาะกลุ่มที่พวกเราพูดมาตลอดว่า กลุ่มเพรสสิเด้นท์ อะกรี ซึ่งเป็นประเด็นที่นำมาสู่การอภิปรายท่าน รมว.
กระทรวงพาณิชย์ยุคท่านวัฒนา เมืองสุข จึงเข้าลักษณะพ่อค้าไม่กี่กลุ่มจะรวยขึ้น แต่ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้รับความสนใจดูแล ราคาสินค้า พวกเราอภิปรายกันในสภา ขออนุญาตพูดนิดเถอะครับ เนื้อหมู 110 บาทต่อกิโลกรัมแล้วครับ เนื้อวัว 125 บาทต่อ กก. ซี่โครงไก่ ที่พวกเราอภิปรายกันเมื่อก่อนกิโลละ 12 บาท เดียวนี้กิโลละ 25 บาท แก๊สสมัยรัฐบาลที่แล้วถังละ 160 บาท วันนี้ 270 บาท ผักไม่ต้องพูดถึงแพงหูฉี่
ท่านรัฐมนตรีวัฒนาท่านชี้แจงเรื่องสินค้าราคาแพงอย่างไรครับ ท่านบอกว่าหมูแพงก็เพราะคนไม่กินไก่ แก๊สแพงไม่เกี่ยวกับผม ผักแพงดีแล้วคนปลูกจะได้รวย ถ้าใช้วิธีการบริหารราชการแผ่นดินแบบนี้ ผมว่าใครก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ครับ ตรงนี้จึงสะท้อนสามัญสำนึกในความสนใจหรือไม่สนใจความเดือร้อนของประชาชน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีหน้าที่ต้องดูเรื่องนี้ชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่พวกเราไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรีวัฒนากรณีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เพรสซิเด้นท์อะกรี ประเด็นสำคัญที่ผมขออนุญาตเน้นย้ำในการสรุปก็คือกรณีที่ท่านเอื้อไปแล้วอย่างน้อยสองเรื่องที่จับได้ไล่ทัน
เรื่องที่ 1 กรณีขายข้าวนาปี 43/44 44/45 และข้าวนาปรังปี 2545 จำนวน 1 ล้านตันโดยประมาณ กรณีข้าวขาว 5%เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2546 หลังเป็นรัฐมนตรีว่าการได้ 1 เดือน ขายให้บริษัทดังกล่าวในราคาพิเศษทันที ข้าวชนิดเดียว คุณภาพเดียวกันทุกประการ ขายให้นครหลวงขออภัยที่เอยนาม ท่านไม่เสียหาย 168 เหรียญต่อตัน แสนกว่าตัน ขายให้บริษัทพงศ์ลาภ ขออภัยที่เอ่ยนาม 168 เหรียญต่อตันเท่ากันเปี๊ยบ ยกเว้นบริษัทเดียวคือบริษัทเพรสซิเด้นท์อะกรี นี้แหละครับ ขออภัยที่เอ่ยนาม จาก 168 ที่ขายให้คนอื่น เหลือ 162 เหรียญต่อตัน ถูกกว่าคนอื่น 6 เหรียญต่อตัน รวมแล้วทั้งหมดถูกกว่าบริษัทอื่น 130 ล้านบาทเท่ากระเป๋าใครครับ
โครงการที่ 2 คือการประมูลข้าวฉาวที่เป็นข่าวใหญ่โตจนเดียวนี้ครับ กรณีประมูลข้าวโครงการรับจำนำข้าว 1 ล้าน 9 แสน 4 หมื่นตัน จาก 245 โกดังทั่วประเทศ ผลออกมาอีกแล้วครับได้บริษัท ที่ท่านประธานที่ไม่อยากให้ผม เอ่ยนามนี่แหละครับ บริษัทเดียว 1ล้าน 7 แสน 8 หมื่นตันเกือบเกลี้ยงครับ คำถามกรณีขายข้าวให้บริษัทดังกล่าว ล้าน 7แสนกว่า จากล้าน 9 แสนตัน ที่รัฐมนตรีตอบไม่ได้ อย่างน้อย 3 คำถามครับ
(ต่อหน้า 2)
-ดท-