คำถามที่ 1 หลังได้บริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกรี แล้ว รู้แล้วว่าบริษัทนี้ประมูลได้ราคาเท่าไหร่ ทำไมท่านถึงไปลดเงินประกันสัญญา จาก 5% ให้เหลือ 1% เงินประกันสัญญาแปลว่าบริษัทนี้ จะต้องนำเงิน 850 ล้านบาท มาวางค้ำประกันสัญญา ทำไมท่านไปลดให้เหลือ 170 ล้านบาท และถ้าหากจะลดทำไมท่านไม่บอกบริษัทอื่นตั้งแต่ก่อนประมูลให้รู้ทั่วกัน เผื่อว่าการประมูลราคาบริษัทอื่นอาจจะได้ให้ราคาสูงขึ้น นี่คือการเอื้อประโยชน์ประเด็นที่หนึ่งที่ท่านตอบไม่ชัด เมื่อได้ทำสัญญาแล้วก่อนทำสัญญาท่านยังไปแบ่งย่อยออกเป็น 10 สัญญา อีก มีผลอย่างไรครับ ก็แปลว่าต่อไปนี้เดิมต้องเอาเงินมาวางค้ำประกัน 850 ล้านท่านไปลดให้เหลือ 170 ล้านแล้ว ยังไปแบ่ง 170 ล้านออกเป็นกองๆ อีก แปลว่าต่อไปนี้ไม่ต้องเอาเงิน 170 ล้าน มาวางค้ำประกันสัญญางวดเดียว เอามาทีละแสนสองแสนก็ทำได้ นี่แหละครับที่บอกว่าเอื้อกันสุดๆ
ที่สำคัญประการสุดท้าย ที่ท่านตอบเลี่ยงแล้วก็ตอบไม่ได้ หลังบริษัท เพรสซิเด้นท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ประมูลข้าวแล้ว ทำไมท่านต้องไปให้ค่าการตลาดนี้เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่มีกระทรวงพาณิชย์มา ไม่เคยมีค่าการตลาด แต่กรณีนี้เป็นกรณีแรก ที่หลังจากบริษัทนัดประมูลได้ในราคาที่กำหนด ท่านยังไปลดราคาให้เข้า พูดง่าย ๆ ตัน ละ 4.5 เหรียญ รวมแล้วเป็นเงินที่ท่านไปลดให้เข้า 320 ล้านบาท คำถามเช่นเดียวกับคำถามแรก 320 ล้านบาท นี้เลี้ยวไปเข้ากระเป๋าใคร ท่านตอบคำถามระหว่างการอภิปรายอีกเรื่องหนึ่งผมตั้งใจจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วครับ แต่ในที่สุดก็ต้องพูดเพราะท่านบอกว่าโชคดีที่บริษัท ซีพี ประมูลไม่ได้ ไม่งั้นท่านก็ตายอีก ใครฟังผ่านไม่เป็นไร แต่บังเอิญผมไม่ผ่าน ท่านพูดไม่จริงครับ โครงการเดียวกันนี้ วันที่ 17ธ.ค. 2546 หลังท่านเป็นรัฐมนตรีได้ 1 เดือน โครงการเดียวกับ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ลดให้เค้าไป 6 เหรียญนั้นแหละครับ
บริษัทซีพี อินเตอร์เกรด ประมูลข้าวหอมมะลิ ได้ไป 18,962 ตัน ขณะที่บริษัทอื่น อีก 3 บริษัทได้ไปคนละ 72 ตัน 170ตัน 237 ตัน แต่บริษัทซีพีบริษัทเดียว 18962 ตัน ผมไม่ตำหนิบริษัทนะครับขอภัยที่เอ่ยนาม ต แต่ผมต้องการชี้ให้ท่านประธานให้เห็นว่าคำตอบของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชน์ นั้นเชื่อถือได้เพียงใดในสภา
ที่พวกกระผมอภิปรายรมว.พาณิชย์มาทั้งหมด ได้ชี้ให้เห็นแล้วครับว่า ท่านไม่ใช่ รมว.พาณิชย์ของประชาชน แต่เป็นของพ่อค้า บางกลุ่ม บางคน ท่านหมดความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี พาณิชย์ของประเทศแล้ว หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองไม่มีที่สิ้นสุด พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านให้ดำรงตำแหน่งต่อไป
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือที่เรียกว่า กระทรวงไอซีที ท่านรัฐมนตรี "สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" ฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจท่านก็เพราะว่า ท่านเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมมากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน ประเด็นไม้ไว้วางลงใจก็คือ กรณีที่ท่านออก พรก.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งออกไว้ก่อนหน้านี้ และพวกเราเคยอภิปรายท่านไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่วันนี้ผลของการออก พรก.ภาษีสรรพสามิตที่ทำให้บริษัทธุรกิจมือถือทีเป็นคู่สัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เวลาจ่ายเงินค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ 100 บาท แทนที่องค์การโทรศัพท์จะได้ 100 บาท ท่านกลับไปแบ่งเป็นภาษีสรรพสามิตซะ สมมุติ 30 บาททำให้องค์การโทรศัพท์เหลือรายได้แค่ 70 บาท ท่านประธานอาจจะบอกว่าไม่เป็นไร บริษัทคู่สัญญาก็จ่าย 100 บาทเท่าเดิม แต่เป็นไรครับ เป็นไรตรงที่พอไปแบ่งให้องค์การโทรศัพท์เหลือ 70 ทำให้องค์การโทรศัพท์เสียรายได้และอ่อนแอลงทันที ถ้าองค์การโทรศัพท์อ่อนแอ ก็แปลว่าต่อไปนี้คู่แข่งโทรศัพท์โทรคมนาคมกับบริษัทธุรกิจเอกชนมือถือปัจจุบันก็อ่อนแอลงไปด้วย ที่สุดใครได้ประโยชน์ครับ ก็บริษัทธุรกิจมือถือปัจจุบันก็จะเป็นผู้ได้ประโยชน์ เพราะจะทำให้คู่แข่งขาขาดไปข้างหนึ่งแล้วครับ
แล้ววันนี้ผลปรากฏชัดเจนครับ พรก.ฉบับนี้ทำให้รายได้ขององค์การโทรศัพท์เฉพาะปี 2546หายไปแล้วครับ 5,400 ล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจมือถือเอกชนได้ประโยชน์จากการดำเนินการนี้ เพราะคู่แข่งง่อยเปลี้ยเสียขาลงไป นี่คือสิ่งที่มองไม่เห็นถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน และท่าน รมต.สุรพงษ์ท่านยอมรับกลางสภาแล้วครับว่า ว่าเป็นเรื่องจริงที่รายได้ขององค์การโทรศัพท์หายไป ท่าน รมต.สุรพงษ์ ท่านชี้แจงในสภาวันนั้น ถ้าท่านประธานได้ติดตาม ท่านพูดคำเดียวชัดเจนครับ บอกว่าฝ่ายค้าน ท่านสาทิตย์เป็นคนอภิปราย บอกว่าฝ่ายค้านพูดเท็จทั้งสิ้น ผมไม่เสียเวลาเถียงกับท่านครับ แต่อยากจะกราบเรียนท่านประธานว่า อย่างน้อย 3 เรื่องที่ท่าน รมต.สุรพงษ์ไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องที่ 1 ครับ กรณีที่ท่านไปแก้สัญญาระหว่างองค์การโทรศัพท์ กับ บ. เอไอเอส ให้ บ.เอไอเอส จ่ายค่าใช้โครงข่ายให้องค์การโทรศัพท์ลดลง จากเดิมต้องจ่าย 25% ของ 3 บาท ต่อค่าโทร 1 ครั้ง ลดเหลือ 25% ของ 90 สตางค์ องค์การโทรศัพท์เสียประโยชน์มหาศาลครับ บริษัทนี้ได้ประโยชน์มหาศาล ท่านไม่ปฎิเสธและไม่กล้าบอกว่าผิด
เรื่องที่ 2 ครับท่านไปแก้สัญญาลดการส่งรายได้ บ.เอไอเอสให้กับองค์การโทรศัพท์ในฐานะคู่สัญญากรณีบัตรเติมเงินหรือที่เรียกกันว่าวันทูคอลล์นั่นแหละครับลดจาก 25 % ของรายได้ที่บริษัทได้รับเหลือ20 % ของรายได้ที่บริษัทได้รับ ผลทำให้องค์การโทรศัพท์หรือรัฐเสียประโยชน์ปีละ 2,635 ล้านบาท ประการที่ 3กรณีที่ท่านแก้สัญญาระหว่างโองการโทรศัพท์กับบ.เอไอเอสอีกเช่นเดียวกัน กรณีบริการเสริมครับจากให้บ.เอไอเอสต้องจ่ายกรณีบริการเสริมให้โองการโทรศัพท์จาก 25 % ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเป็นจ่าย 25 % ของรายได้หลักหักค่าใช้จ่ายแล้ว แปลว่าจ่ายให้โองการโทรศัพท์น้อยลง ท่าน รมต.สุรพงษ์ ท่านชี้แจงว่าท่านไม่เคยเป็นลูกจ้างใคร ผมเชื่อครับว่าท่ายพูดจริงแต่ท่านชี้แจงเหมือนพนักงาน บ.เอไอเอส เลยละครับ พฤติกรรมการบริหารราชการแผนดินก็คือสิ่งที่ผมได้กราบเรียนเมื่อสักครู่
สุดท้ายก่อนจบท่านประธานคงจำได้ ผมจำเป็นต้องพูดประเด็นนี้ ท่าน รมต.สุรพงษ์ เสียดสีพวกผมก่อนจบคำอภิปรายชี้แจงว่าท่านรังเกียจการใช้โวหาร แล้วก็มาเสียดสีพวกผมว่าท่านไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักการเมืองอาชีพ ขอกราบเรียนท่านประธานครับรมต.สุรพงษ์ท่านไม่ใช่นักการเมืองอาชีพหรอกครับ เพราะนักการเมืองอาชีพเขาไม่รับใช้ธุรกิจการเมือง ท่านเป็นได้แค่ลูกจ้างทางการเมืองอาชีพ พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านครับ
รมต.ท่านต่อไป ท่าน นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านเป็นรมต.คนเดียวที่ออกอาการมากที่สุดหลังจากถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นรมต.คนเดียวที่ส่งองครักษ์ไปแจ้งความดำเนินคดีฝ่ายค้านที่เขาปฏิบัติหน้าที่ตามรธน. เป็นคนเดียวที่ส่งองค์รักษ์ไปล๊อบบี้ฝ่ายค้านให้ถอนชื่อออกจากญัตติ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาที่การคนแรกของประเทศไทยที่ขู่จะกำจัดครูที่จะใช้สิทธิ์ชุมนุมตามสิทธิเสรีภาพที่เขามีให้สูญพันธุ์ สะท้อนถึงความไม่มีวุฒิภาวะทางระบอบประชาธิปไตยชัดเจน
ข้อสังเกตก็คือทำไมท่านบริหารราชการแผ่นดินแค่ 6 เดือนจึงสามารถสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ประชาชนได้ทั่วไปถึงขณะนี้ ขณะที่มีคนเดียวที่พอใจคือท่านนายกฯ ขนาดให้สัญญาว่าจะให้ท่านอยู่เป้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาจนครบเทอม แล้วก็จะต่อให้อีก 4 ปี ข้างหน้าถ้าได้เป็นรัฐบาล ท่านทำความดีอะไรให้กับท่านนายกฯเป็นพิเศษครับ
ผมคิดว่าท่านรู้อยู่แก่ใจ ประเด็นไม่ไว้วางใจของท่านก็คือกรณีที่ท่านทำผิดกฎหมาย บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดกรณีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย กรณีการทำผิดกฎหมายกระผมไม่ย้ำตรงนี้แล้วครับ ท่านส.ส.ชินวรณ์ บุณญเกียรติ ได้กราบเรียนต่อท่านประธานไปชัดเจน ว่ากรณีที่ต้องยื่นถอดถอนท่านรัฐมนตรีอดิศัย ก็เพราะว่าท่านทำผิดกฎหมายอย่างน้อย 5 ฉบับ แต่ไปที่กรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่ว ข้อหาที่พวกเรากล่าวหาท่านรัฐมนตรีก็คือ ท่านรวมกระบวนการศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย กระทบนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ วงการศึกษาทั่วประเทศ ด้วยการปกป้องข้าราชการคนเดียวที่มีมลทิล เพื่อสนองตอบความได้เปรียบของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของใครบางคน เป็นการเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีอาจหนีการตรวจสอบของสภาได้ครับท่านประธาน แต่ท่านไม่มีหนีจากการตรวจสอบของสังคมได้ ผมกราบเรียนท่านประธานตรงๆ ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหมดศักดิ์ศรีของความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชนทั่วประเทศ พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านครับ
ท่านรัฐมนตรีท่านถัดไปคือท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คือท่านรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ท่านเป็นรัฐมนตรีที่มีองครักษ์มากที่สุดแล้วก็ใช้องครักษ์เปลืองที่สุด ถึงขั้นใช้รัฐมนตรีช่วยชี้แจงถ้าท่านประธานจะได้ติดตามในการชี้แจงของท่านรัฐมนตรี ผมยอมรับลีลาการชี้แจงของท่านรัฐมนตรีสุริยะในครั้งนี้ โดยเฉพาะตอนท่านทำเสียงกระเส่าเป็นพิเศษ ผมยินดีให้ตุ๊กตาทอง แต่ว่าถ้าดูเนื้อหาท่านประธานจะเห็นได้ชัดเจนว่าท่านไม่สามารถที่จะชี้แจงประเด็นไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านได้เลยครับ ผมบังเอิญไปดูผลสำรวจของโพลเดอะเนชั่น ล่าสุดครับปรากฏว่าผลการสำรวจ ปรากฏออกมาว่าจากคำตอบชี้แจงในสภาของท่านรัฐมนตรีสุริยะ เห็นว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ 82.07 % นี่คือคำตัดสินของสังคม ครั้งที่แล้วท่านประธานคงจำได้ว่าท่านสร้างภาพเป็นมือปราบทุจริต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็ คือกรณีมีการเอาถนนรถไฟที่สระแก้วไปทำอาคารพาณิชย์ขายแล้วรัฐมนตรีก็รับปากในสภาว่าจะแก้ไขปัญหาในสภา จนบัดนี้ก็ยังไม่ทำอะไร มาครั้งนี้ท่านปล่อยปละละเลยให้ธุรกิจของรัฐมนตรีรวมรัฐบาลสร้างเขื่อนรุกแม่น้ำคลอง มาครั้งนี้ท่านได้ปล่อยปะละเลยให้ธุรกิจของรัฐบาล รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลสร้างเขื่อนรุกแม่น้ำลัด ยาว 350 เมตร ผมเชื่อว่าหลังการอภิปรายท่านก็ไม่ทำอะไรอีก ประเด็นไม่ไว้วางใจที่สำคัญที่ผมขออนุญาตหยิบยกมา กราบเรียนกับท่านประธานคือกรณีที่ท่านมุ่งประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากกว่ากาารักษาผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน และกรณีที่ท่านเอื้ออาทรธุรกิจครอบครัวท่านนายกฯ ท่านจึงไม่ควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกต่อไป
กรณีที่ขอนำสรุปเน้นย้ำมี 3 กรณี กรณีที่ 1. กรณีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิงบประมาณทั้งหมดนี้ใช้ไป 120,000 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่นำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็คือว่า ในบรรดา120,000 หมื่นล้านบาทนั้น 66,000 กว่าล้านบาท ทั้งโครงการมาก 50 % ได้อยู่บริษัทเดียว คือเครือบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย ขออภัยที่เอ่ยนามผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้ท่านเสียหายครับ ท่านเป็นนักธุรกิจ ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปครับ แต่ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลายโครงการใช้วิธีพิเศษ หลายโครงการไม่ให้ใช้วิธีการประมูล และก็มีประเด็นไม่ชอบมาพากล คำถามคือทำไมถึงได้แต่อิตาเลี่ยน-ไทย คำตอบก็เพราะว่ามีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งชื่อ นายทวีฉัตร จุฬางกูร ขออภัยที่เอ่ยนามท่านครับ เป็นหลานชายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นอยู่ในบริษัท 2 ล้านหุ้น นี่คือคำตอบ และเป็นคนเดียวกับที่ได้หุ้น ปตท.ที่ท่านสุริยะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หุ้นปตท.ไป 2,200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 35 บาท วันนี้ถ้าไม่ขายได้กำไรไป 200 กว่าล้านบาท ตรงนี้จึงเป็นประเด็นที่ 1 ที่ผมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ
เรื่องที่ 2 ครับ กรณีทางหลวงสายแหลงฉบังบรรจบทางหลวง 331 ข้อเท็จจริงก็คือถนนสายนี้ราคากลาง 303 ล้านบาท บริษัทกำแพงเพชรวิวัฒน์ ขออภัยที่เอ่ยนามเป็นผู้ประมูลได้ในราคา 190 ล้านบาท ต่ำว่ากว่าราคากลาง 137 ล้านบบาท แปลว่าอะไรครับ แปลว่ากระทรวงคมนาคมจะได้ถนนราคาถูกประหยัดเป็นพิเศษ และบริษัทที่ได้ประมูลไปนี้ จะเสี่ยงต่อการขาดทุน หรือกำไรน้อย หรือไม่ได้กำไร ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คือการไปเข้าด้วยช่วยเหลือบริษัทดังกล่าว ด้วยการดอกหนังสือยืนราคาถึง 14 วัน จนพ้นกำหนดเวลา ทำให้บริษัทไม่ต้องมาทำสัญญาสร้างถนนกับกรมทางหลวง รอดพ้นจากข้อกล่าวหาไปได้โดยไม่ต้อง ต้องข้อหาทิ้งงาน เพราะถือว่าเป็นความผิดของกระทรวง ไม่ใช่ความผิดของบริษัท ส่งผลให้ต้องมีการประมูลใหม่ และรัฐต้องเสียเงินมาสร้างถนนสายนี้เพิ่มขึ้นถึง 105 ล้านบาท ประเด็นไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะก็คือ เพราะท่านช่วยเหลือบริษัทกำแพงเพชรวิวัฒน์ ทำไมท่านช่วยเหลือบริษัทนี้ครับ เพราะเป็นธุรกิจของนักการเมืองพรรคเดียวกับท่านใช่หรือไม่ ตรงนี้แหละครับประเด็นที่ 2 ที่นำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ
ประเด็นสุดท้ายที่ผมขออนุญาตที่จะนำมาสรุปตรงนี้ กรณีถนนสายรัชดา-รามอินทรา ที่เป็นโครงการตัดผ่านหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ดของครอบครัวท่านนายกฯครับ ถนนนี้มี 3 ส่วน ต้น กลาง ปลาย ที่แปลกประหลาดคือว่าต้นกับปลายไม่ทำครับ ทำแต่ตรงกลาง คำถามว่าทำไมถึงทำแต่ตรงกลาง คำตอบก็คือว่า มีหมู่บ้านชื่อบางกอกบูเลอวาร์ด ที่กำลังทำธุรกิจจัดสรร 222 แปลง มูลค่า 2,450 ล้านบาท หมู่บ้านนี้เป็นของบริษัทเอสซีแอสเซส ครอบครัวของท่านนายกฯถือหุ้น 76.%
ท่านประธานครับ เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ขออนุญาตที่จะนำเสนอต่อท่านประธานก็คือ กรณีเอกสารของสำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและการจราจร กระทรวงคมนาคม เองครับ เป็นเอกสารจากเวปไซด์ของกระทรวงครับ ของสำนักงานครับ ซึ่งท่าน รมต.สุริยะ ดูแลอยู่ครับ เนื้อหาในเวปไซด์ของสำนักงานระบุว่า ผมไม่อ่านชื่อท่านแล้วกันครับ ผู้อำนวยการ สนข. สำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและการจราจร กระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม คจร. ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ เป็นประธานว่า ตามที่ สนข. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น ท่านนายกฯได้สนใจติดตามการดำเนินงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้แล้วก็มีข้อความเรื่อยมาครับ แต่ที่ขออนุญาติอ่านกับท่านประธานอีกคำหนึ่งก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เกี่ยวข้องกับถนนที่ผมกราบเรียนก็คือว่า สำหรับการพัฒนาโครงข่ายถนน เช่น การเพิ่มโครงข่ายถนนช่วง รัชดาภิเษก - รามอินทรา นี่ล่ะครับ คือเอกสารของ สนข. กรนะทรวงคมนาคม จริงเท็จอย่างไร ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์กันต่อไปว่าสิ่งที่ผมนำมากราบเรียนกับท่านประธานนี้ เป็นเอกสารที่ได้มาจากสำนักงานจริงหรือไม่
ท่านประธานครับ ประเด็นไม่ไว้วางใจกรณีตัดถนนเส้นนี้ผ่านหมู่บ้าน บางกอก บูเลอวาร์ด ก็คือว่า ท่าน รมต.สุริยะ กำลังเอาเงินของรัฐไปสร้างถนน 311 ล้านบาท อ้างว่าเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่ที่แท้ก็คือเอาเงินคนทั้งประเทศไปสร้างถนน เอื้อธุรกิจบริษัทเอกชน ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการเอาเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐ ไปฝึกนักบินเอื้ออาทร ไปฝึกแอร์โฮสเตสเอื้ออาทร เพื่อไปเอื้อให้กับบริษัทสายการบินในอนาคตบางบริษัท เพื่อสนองนโยบายกินรวบทั้งบก น้ำ บนอากาศ ท่านประธานครับ ผมคิดว่าท่านประธานคงเคยได้ยินเรื่อง เสือหิวเสือโหย ใช่มั้ยครับ เสือหิวเสือโหย ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
ท่านประธานครับ ฝ่ายค้านได้ยื่นถอดถอนท่านรองนายกฯ นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา หรือท่านวันนอร์ 2 ข้อหา ข้อหาแรกก็คือ ท่านร่ำรวยผิดปกติ ข้อหาที่ 2 ก็คือจงใจกระทำผิดกม. ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าถ้าจะมีการอภิปรายใน 2 ข้อหานี้ จะอภิปรายอย่างเดียวโดยไม่ยื่นถอดถอนก่อนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ พวกกระผมจึงจำเป็นต้องปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญโดยการยื่นถอดถอนท่านก่อน มิได้มีเจตนาต้องการกลั่นแกล้งให้ท่านต้องโดนดำเนินการ 2 ครั้ง ในกรณีเดียวกันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
กรณีมีข้อสงสัยว่าท่านปกปิดทรัพย์สินไว้กับบุคคลใกล้ชิดหลายรายการ ขอนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับว่า ท่านถาวร เสนเนียมท่านได้อภิปรายไว้ชัดเจน ท่านได้อภิปรายไว้ชัดเจนไว้ครบถ้วนทุกประเด็น และเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ท่านถาวร ได้นำมาชี้แจงแสดงต่อท่านประธานไม่ใช่เอกสารมโนสาเร่แดต่าอย่างใดทั้งสิ้น ท่านรองนายกฯวันนอร์ท่านก็ได้ชี้แจงแล้วก็ปฎิเสธว่าไม่เป็นความจริง ผมเข้าใจท่านรองครับ เข้าใจว่าถึงอย่างไรท่านก็ไม่ยอมรับว่า ทั้งหมดที่ท่านถาวรอภิปรายเป็นความจริง เพราะถ้าท่านยอมรับกลางสภา นั้นก็หมายความว่าจะเป็นพยานหลักฐานในการที่ปปช.จะถอดถอนท่านจากตำแหน่งทันที ท่านจึงจำเป็นต้องปฎิเสธ ไว้ในทุกกรณีอย่างไรก็ตาม ผมให้ความเป็นธรรมกับท่านครับ ผมไม่สรุปรายละเอียดทั้งหมดในเวลานี้ แต่ขอให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการปปช. ที่จะพิสูจน์ เรื่องนี้ต่อไป
ผมขออนุญาตที่จะทำหน้าที่สรุปประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ท่านรองนายกฯวันนอร์ ใน 2 โครงการที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไป กรณีเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โครงการที่ 1 ก็คือโครงการโซ่ล่าโฮม ที่ท่านสุธรรม ระหงศ์ ได้อภิปรายไป หรือที่เรียกกันว่าโครงการไฟฟ้าเอื้ออาทร หรือบ้านพลังงานแสงอาทิตย์ รายละเอียดก็คือโครงการนี้มูลค่า 7,631 ล้านบาท โครงการนี้กำหนดขึ้นเพื่อที่จะให้บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้จำนวน 3 แสนหลังทั่วประเทศ จะมีไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใช้ค่าใช้จ่ายหลังละ 25,000 บาท แต่ไม่ได้แปลว่ามีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งวัน ใช้ได้วันละไม่เกิน 4 ชม. และใช้ไฟได้ไม่เกิน 2 ดวง ดวงละไม่เกิน 10 วัตต์ หรือ 10 แรงเทียน และดูโทรทัศน์ได้ไม่เกิน 1 เครื่องใน 4 ชม. นี่คือโครงการที่กราบเรียน
ท่านรองนายกฯวันนอร์ ในฐานะรมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอโครงการขออนุมัติ ต่อครม.ในโครงการนี้ด้วยต้นเอง ต่อมามีการล็อกสเป็ก ได้ 5 บริษัท และ 4ใน 5 เป็นกลุ่มที่ใช้แผงโซล่าเซลล์ ของบริษัทเดียวกันคือ บริษัทโซล่าตอล ซึ่งอนุมานได้ว่า เป็นการล็อกสเป็กให้กับบริษัทโซล่าตอลนั้นเอง บริษัทโซล่าตอล จำกัดเป็นของใครครับ ท่านสุธรรม แสดงให้ท่านประธานเห็นชัดเจนว่าเป็นของนายภัยวงศ์ เตชะณรงค์ ซึ่งถือหุ้น 800,000 หุ้น 40% ของบริษัท นอกจากเป็นผู้ถือหุ้น 40% ของบริษัทแล้วท่านยังเป็นใครอีกครับ เป็นกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ ซึ่งท่านรองนายกฯ วันนอร์ เคยเป็นอดีตเลขาธิการพรรค และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นายภัยวงศ์ เตชะณรงค์ เป็นเจ้าของหมู่บ้านโบนันซ่า ที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ท่านถาวร อภิปรายไว้ว่า ท่านรองวันนอร์ มีบ้านอยู่ 1 หลังในชื่อบุคคลอื่น ซึ่งจริงหรือไม่ท่านต้องไปพิสูจน์กับกับปปช. แต่ นี่คือหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านที่ท่านถาวรเอ่ยถึง
ตรงนี้จึงเป็นคำตอบว่าที่สุดไฟฟ้าเอื้ออาทรคือ เอื้ออาทรใคร โครงการที่ 2 ครับท่านประธานครับ คือกรณีที่ท่านบริหาราชการแผ่นดินเอื้อประดยชน์ให้กับบริษัทในเครือญาติท่านนายกฯ กรณีการเช่าคอมฯของการไฟฟ้าภูมิภาค ความจริงกรณีการเอื้อประโยชน์นั้นไม่ใช้เรื่องใหม่ครับ เพราะท่านรองฯวันนอร์ท่านเคยมีผลงานในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกรณีอย่างนี้มาเป็นลำดับ
ท่านประธานเมื่อสักครู่ผมกราบเรียนท่านประธาน เรื่องโครงการการประมูลเช่าคอมฯของการไฟฟ้าภูมิภาคซึ่งเป็นโครงการที่ ท่านรองนายฯวันนอร์เอาเข้าครม.ด้วยตนเองเปลี่ยนจากโครงการจัดซื้อมาเป็นโครงการเช่า 5 ปี มูลค่าของโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนครับ ส่งผลให้บริษัทที่ประมูลได้ หาประโยชน์ไปได้ตลอดโครงการ เพราะเช่ากินได้ตลอด แต่ถ้าซื้ออาจจะได้ครั้งเดียว ที่สุดผลการประกวดราคา มีบริษัทเสนอ 14 ราย ผ่านเทคนิครายเดียวครับ และบริษัทที่ผ่านเทคนิคนั้นราคาใกล้เคียงกับราคากลางเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าของบริษัทที่ประมูลได้เป็นใครครับ ครอบครัวท่านนายกฯเกือบทั้งนั้นเลยครับ ตรงนี้ครับที่พวกกระผมกราบเรียนท่านประธานว่า นี่คือโครงการ 3,000 ล้านบาท ผลงานชิ้นโบว์ม่วงของท่านรองวันนอร์ เพราะฉะนั้น โครงการเหล่านี้บวกกับพฤติกรรมอื่น ทั้งในกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน กรณีข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ และการเอื้อประโยชน์กับตนเองและธุรกิจครอบครัวและพวกพ้อง พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านรองนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งต่อไปได้ครับ
ท่านรัฐมนตรีท่านสุดท้ายครับประธานครับ ท่านรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มือเศรษฐกิจของท่านนายกฯ ประเด็นไม่ไว้วางใจที่จะสรุปมีประเด็นเดียวครับ คือ กรณีการขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟู ข้อหาก็คือ 3 เดือนในตำแหน่ง ท่านไม่ตรวจสอบและไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะป้องที่ดินของกองทุนไปขายเอกชนในราคาถูก กรณีไม่ไว้วางใจก็คือ กรณีการขาย 35 ไร่ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรม ต้นทุนของที่ดิน 2,000 ล้านโดยประมาณ ราคาขาย 772 ล้านบาท ขายให้กับภริยาท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรีสมคิด ชี้แจงว่า กรณีเช่นนี้ไม่ควรมาว่ากัน เพราะว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าประมูล จริงครับ แต่คำถามคืทอ ทำไมจึงไปเลือกเฉพาะแปลงนี้แปลงเดียว จากที่ดินทั้งหมด 1,046 แปลงมาประมูล หรือเพราะที่ดินแปลงนี้ไปเข้าตาใครเป็นพิเศษครับ
ท่านรัฐมนตรีสมคิด ชี้แจงว่า ราคาที่ขายก็ใช้ได้ ต้นทุน 2,000 ล้าน ขาย 772 ล้าน ใช้ได้เหรอครับ ท่านรัฐมนรีสมคิดจบคณิตศาสตร์โรงเรียนไหนครับ ประเด็นที่ท่านไม่ตอบ คือ ทำไมต้องรีบขายก่อนวันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ 2547 คือขายวันที่ 30 ธ.ค.2546 ก่อน 1 ม.ค. 2 วัน ที่ขายก่อน 1 ม.ค.47 ไม่ขายหลังจากนั้ก็เพราะว่า หากขายหลัง 1 ม.ค.47 รัฐบาลจะได้ค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มขึ้น จาก 0.01 % เป็น 2 % นั่นคือรัฐจะได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 14 ล้านบาทโดยประมาณ ใช่หรือไม่ ตรงนี้ครับที่ท่านรัฐมนตรีสมคิดไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้ใช่หรือไม่ ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาประโยชน์ในทุกรูปแบบ และการเข้าด้วยช่วยเหลือเพียงเพราะ สามารถที่จะใช้อำนาจรัฐหาประโยชน์ ตรงนี้จึงเป็นที่มาที่พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้รท่านรัฐมนตรีสมคิด ดำรงตำแหน่งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะต่อไปได้
ท่านประธานที่เคารพ ครั้งนี้ถือเป็นอภิปรายครั้งสุดท้ายดังที่กระผมกราบเรียน แต่กระผมไม่เชื่อว่า ครั้งนี้จะเป็นคครั้งสุดท้าย ที่จะมีการหาประโยชน์จากการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการหาประโยชน์จากการใช้รัฐมนตรีหรือจากการที่รัฐมนตรีถูกใช้ด้วยความเต็มใจ เพื่อสนองความร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุด พวกกระผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อันมีเกียรติ ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอิสระตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แทนพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พวกกระมไม่หวังที่จะได้รับชัยชนะจากการลงมติในสภาฯ เพราะพวกกระผมเชื่อว่าที่สุดเสียงข้างมากก็จะลากรัฐมนตรีทั้ง 8 ท่าน ให้หลุดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจไปได้ แต่สิ่งหนึ่งทีกระผมไม่เชื่อ ก็คือ กระผมไม่เชื่อว่า คนโกงไม่ว่าจะโกงเอง ใช้คนอื่นโกง หรือยอมโกงให้คนอื่น ที่สดุท่านไม่มีวันหลุดรอด คำสาปแช่งอันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ใครโกงขอให้มีอันเป็นไป กระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านผู้อภิปรายครับ ขอบคุณครับท่านประธานครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-ดท-
ที่สำคัญประการสุดท้าย ที่ท่านตอบเลี่ยงแล้วก็ตอบไม่ได้ หลังบริษัท เพรสซิเด้นท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ประมูลข้าวแล้ว ทำไมท่านต้องไปให้ค่าการตลาดนี้เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่มีกระทรวงพาณิชย์มา ไม่เคยมีค่าการตลาด แต่กรณีนี้เป็นกรณีแรก ที่หลังจากบริษัทนัดประมูลได้ในราคาที่กำหนด ท่านยังไปลดราคาให้เข้า พูดง่าย ๆ ตัน ละ 4.5 เหรียญ รวมแล้วเป็นเงินที่ท่านไปลดให้เข้า 320 ล้านบาท คำถามเช่นเดียวกับคำถามแรก 320 ล้านบาท นี้เลี้ยวไปเข้ากระเป๋าใคร ท่านตอบคำถามระหว่างการอภิปรายอีกเรื่องหนึ่งผมตั้งใจจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วครับ แต่ในที่สุดก็ต้องพูดเพราะท่านบอกว่าโชคดีที่บริษัท ซีพี ประมูลไม่ได้ ไม่งั้นท่านก็ตายอีก ใครฟังผ่านไม่เป็นไร แต่บังเอิญผมไม่ผ่าน ท่านพูดไม่จริงครับ โครงการเดียวกันนี้ วันที่ 17ธ.ค. 2546 หลังท่านเป็นรัฐมนตรีได้ 1 เดือน โครงการเดียวกับ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ลดให้เค้าไป 6 เหรียญนั้นแหละครับ
บริษัทซีพี อินเตอร์เกรด ประมูลข้าวหอมมะลิ ได้ไป 18,962 ตัน ขณะที่บริษัทอื่น อีก 3 บริษัทได้ไปคนละ 72 ตัน 170ตัน 237 ตัน แต่บริษัทซีพีบริษัทเดียว 18962 ตัน ผมไม่ตำหนิบริษัทนะครับขอภัยที่เอ่ยนาม ต แต่ผมต้องการชี้ให้ท่านประธานให้เห็นว่าคำตอบของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชน์ นั้นเชื่อถือได้เพียงใดในสภา
ที่พวกกระผมอภิปรายรมว.พาณิชย์มาทั้งหมด ได้ชี้ให้เห็นแล้วครับว่า ท่านไม่ใช่ รมว.พาณิชย์ของประชาชน แต่เป็นของพ่อค้า บางกลุ่ม บางคน ท่านหมดความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี พาณิชย์ของประเทศแล้ว หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองไม่มีที่สิ้นสุด พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านให้ดำรงตำแหน่งต่อไป
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือที่เรียกว่า กระทรวงไอซีที ท่านรัฐมนตรี "สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" ฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจท่านก็เพราะว่า ท่านเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมมากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน ประเด็นไม้ไว้วางลงใจก็คือ กรณีที่ท่านออก พรก.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งออกไว้ก่อนหน้านี้ และพวกเราเคยอภิปรายท่านไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่วันนี้ผลของการออก พรก.ภาษีสรรพสามิตที่ทำให้บริษัทธุรกิจมือถือทีเป็นคู่สัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เวลาจ่ายเงินค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ 100 บาท แทนที่องค์การโทรศัพท์จะได้ 100 บาท ท่านกลับไปแบ่งเป็นภาษีสรรพสามิตซะ สมมุติ 30 บาททำให้องค์การโทรศัพท์เหลือรายได้แค่ 70 บาท ท่านประธานอาจจะบอกว่าไม่เป็นไร บริษัทคู่สัญญาก็จ่าย 100 บาทเท่าเดิม แต่เป็นไรครับ เป็นไรตรงที่พอไปแบ่งให้องค์การโทรศัพท์เหลือ 70 ทำให้องค์การโทรศัพท์เสียรายได้และอ่อนแอลงทันที ถ้าองค์การโทรศัพท์อ่อนแอ ก็แปลว่าต่อไปนี้คู่แข่งโทรศัพท์โทรคมนาคมกับบริษัทธุรกิจเอกชนมือถือปัจจุบันก็อ่อนแอลงไปด้วย ที่สุดใครได้ประโยชน์ครับ ก็บริษัทธุรกิจมือถือปัจจุบันก็จะเป็นผู้ได้ประโยชน์ เพราะจะทำให้คู่แข่งขาขาดไปข้างหนึ่งแล้วครับ
แล้ววันนี้ผลปรากฏชัดเจนครับ พรก.ฉบับนี้ทำให้รายได้ขององค์การโทรศัพท์เฉพาะปี 2546หายไปแล้วครับ 5,400 ล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจมือถือเอกชนได้ประโยชน์จากการดำเนินการนี้ เพราะคู่แข่งง่อยเปลี้ยเสียขาลงไป นี่คือสิ่งที่มองไม่เห็นถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน และท่าน รมต.สุรพงษ์ท่านยอมรับกลางสภาแล้วครับว่า ว่าเป็นเรื่องจริงที่รายได้ขององค์การโทรศัพท์หายไป ท่าน รมต.สุรพงษ์ ท่านชี้แจงในสภาวันนั้น ถ้าท่านประธานได้ติดตาม ท่านพูดคำเดียวชัดเจนครับ บอกว่าฝ่ายค้าน ท่านสาทิตย์เป็นคนอภิปราย บอกว่าฝ่ายค้านพูดเท็จทั้งสิ้น ผมไม่เสียเวลาเถียงกับท่านครับ แต่อยากจะกราบเรียนท่านประธานว่า อย่างน้อย 3 เรื่องที่ท่าน รมต.สุรพงษ์ไม่ได้ปฏิเสธว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องที่ 1 ครับ กรณีที่ท่านไปแก้สัญญาระหว่างองค์การโทรศัพท์ กับ บ. เอไอเอส ให้ บ.เอไอเอส จ่ายค่าใช้โครงข่ายให้องค์การโทรศัพท์ลดลง จากเดิมต้องจ่าย 25% ของ 3 บาท ต่อค่าโทร 1 ครั้ง ลดเหลือ 25% ของ 90 สตางค์ องค์การโทรศัพท์เสียประโยชน์มหาศาลครับ บริษัทนี้ได้ประโยชน์มหาศาล ท่านไม่ปฎิเสธและไม่กล้าบอกว่าผิด
เรื่องที่ 2 ครับท่านไปแก้สัญญาลดการส่งรายได้ บ.เอไอเอสให้กับองค์การโทรศัพท์ในฐานะคู่สัญญากรณีบัตรเติมเงินหรือที่เรียกกันว่าวันทูคอลล์นั่นแหละครับลดจาก 25 % ของรายได้ที่บริษัทได้รับเหลือ20 % ของรายได้ที่บริษัทได้รับ ผลทำให้องค์การโทรศัพท์หรือรัฐเสียประโยชน์ปีละ 2,635 ล้านบาท ประการที่ 3กรณีที่ท่านแก้สัญญาระหว่างโองการโทรศัพท์กับบ.เอไอเอสอีกเช่นเดียวกัน กรณีบริการเสริมครับจากให้บ.เอไอเอสต้องจ่ายกรณีบริการเสริมให้โองการโทรศัพท์จาก 25 % ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเป็นจ่าย 25 % ของรายได้หลักหักค่าใช้จ่ายแล้ว แปลว่าจ่ายให้โองการโทรศัพท์น้อยลง ท่าน รมต.สุรพงษ์ ท่านชี้แจงว่าท่านไม่เคยเป็นลูกจ้างใคร ผมเชื่อครับว่าท่ายพูดจริงแต่ท่านชี้แจงเหมือนพนักงาน บ.เอไอเอส เลยละครับ พฤติกรรมการบริหารราชการแผนดินก็คือสิ่งที่ผมได้กราบเรียนเมื่อสักครู่
สุดท้ายก่อนจบท่านประธานคงจำได้ ผมจำเป็นต้องพูดประเด็นนี้ ท่าน รมต.สุรพงษ์ เสียดสีพวกผมก่อนจบคำอภิปรายชี้แจงว่าท่านรังเกียจการใช้โวหาร แล้วก็มาเสียดสีพวกผมว่าท่านไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักการเมืองอาชีพ ขอกราบเรียนท่านประธานครับรมต.สุรพงษ์ท่านไม่ใช่นักการเมืองอาชีพหรอกครับ เพราะนักการเมืองอาชีพเขาไม่รับใช้ธุรกิจการเมือง ท่านเป็นได้แค่ลูกจ้างทางการเมืองอาชีพ พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านครับ
รมต.ท่านต่อไป ท่าน นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านเป็นรมต.คนเดียวที่ออกอาการมากที่สุดหลังจากถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นรมต.คนเดียวที่ส่งองครักษ์ไปแจ้งความดำเนินคดีฝ่ายค้านที่เขาปฏิบัติหน้าที่ตามรธน. เป็นคนเดียวที่ส่งองค์รักษ์ไปล๊อบบี้ฝ่ายค้านให้ถอนชื่อออกจากญัตติ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาที่การคนแรกของประเทศไทยที่ขู่จะกำจัดครูที่จะใช้สิทธิ์ชุมนุมตามสิทธิเสรีภาพที่เขามีให้สูญพันธุ์ สะท้อนถึงความไม่มีวุฒิภาวะทางระบอบประชาธิปไตยชัดเจน
ข้อสังเกตก็คือทำไมท่านบริหารราชการแผ่นดินแค่ 6 เดือนจึงสามารถสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ประชาชนได้ทั่วไปถึงขณะนี้ ขณะที่มีคนเดียวที่พอใจคือท่านนายกฯ ขนาดให้สัญญาว่าจะให้ท่านอยู่เป้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาจนครบเทอม แล้วก็จะต่อให้อีก 4 ปี ข้างหน้าถ้าได้เป็นรัฐบาล ท่านทำความดีอะไรให้กับท่านนายกฯเป็นพิเศษครับ
ผมคิดว่าท่านรู้อยู่แก่ใจ ประเด็นไม่ไว้วางใจของท่านก็คือกรณีที่ท่านทำผิดกฎหมาย บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดกรณีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย กรณีการทำผิดกฎหมายกระผมไม่ย้ำตรงนี้แล้วครับ ท่านส.ส.ชินวรณ์ บุณญเกียรติ ได้กราบเรียนต่อท่านประธานไปชัดเจน ว่ากรณีที่ต้องยื่นถอดถอนท่านรัฐมนตรีอดิศัย ก็เพราะว่าท่านทำผิดกฎหมายอย่างน้อย 5 ฉบับ แต่ไปที่กรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่ว ข้อหาที่พวกเรากล่าวหาท่านรัฐมนตรีก็คือ ท่านรวมกระบวนการศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย กระทบนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ วงการศึกษาทั่วประเทศ ด้วยการปกป้องข้าราชการคนเดียวที่มีมลทิล เพื่อสนองตอบความได้เปรียบของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของใครบางคน เป็นการเฉพาะ ท่านรัฐมนตรีอาจหนีการตรวจสอบของสภาได้ครับท่านประธาน แต่ท่านไม่มีหนีจากการตรวจสอบของสังคมได้ ผมกราบเรียนท่านประธานตรงๆ ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหมดศักดิ์ศรีของความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชนทั่วประเทศ พวกกระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านครับ
ท่านรัฐมนตรีท่านถัดไปคือท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คือท่านรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ท่านเป็นรัฐมนตรีที่มีองครักษ์มากที่สุดแล้วก็ใช้องครักษ์เปลืองที่สุด ถึงขั้นใช้รัฐมนตรีช่วยชี้แจงถ้าท่านประธานจะได้ติดตามในการชี้แจงของท่านรัฐมนตรี ผมยอมรับลีลาการชี้แจงของท่านรัฐมนตรีสุริยะในครั้งนี้ โดยเฉพาะตอนท่านทำเสียงกระเส่าเป็นพิเศษ ผมยินดีให้ตุ๊กตาทอง แต่ว่าถ้าดูเนื้อหาท่านประธานจะเห็นได้ชัดเจนว่าท่านไม่สามารถที่จะชี้แจงประเด็นไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านได้เลยครับ ผมบังเอิญไปดูผลสำรวจของโพลเดอะเนชั่น ล่าสุดครับปรากฏว่าผลการสำรวจ ปรากฏออกมาว่าจากคำตอบชี้แจงในสภาของท่านรัฐมนตรีสุริยะ เห็นว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ 82.07 % นี่คือคำตัดสินของสังคม ครั้งที่แล้วท่านประธานคงจำได้ว่าท่านสร้างภาพเป็นมือปราบทุจริต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็ คือกรณีมีการเอาถนนรถไฟที่สระแก้วไปทำอาคารพาณิชย์ขายแล้วรัฐมนตรีก็รับปากในสภาว่าจะแก้ไขปัญหาในสภา จนบัดนี้ก็ยังไม่ทำอะไร มาครั้งนี้ท่านปล่อยปละละเลยให้ธุรกิจของรัฐมนตรีรวมรัฐบาลสร้างเขื่อนรุกแม่น้ำคลอง มาครั้งนี้ท่านได้ปล่อยปะละเลยให้ธุรกิจของรัฐบาล รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลสร้างเขื่อนรุกแม่น้ำลัด ยาว 350 เมตร ผมเชื่อว่าหลังการอภิปรายท่านก็ไม่ทำอะไรอีก ประเด็นไม่ไว้วางใจที่สำคัญที่ผมขออนุญาตหยิบยกมา กราบเรียนกับท่านประธานคือกรณีที่ท่านมุ่งประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากกว่ากาารักษาผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน และกรณีที่ท่านเอื้ออาทรธุรกิจครอบครัวท่านนายกฯ ท่านจึงไม่ควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกต่อไป
กรณีที่ขอนำสรุปเน้นย้ำมี 3 กรณี กรณีที่ 1. กรณีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิงบประมาณทั้งหมดนี้ใช้ไป 120,000 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่นำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็คือว่า ในบรรดา120,000 หมื่นล้านบาทนั้น 66,000 กว่าล้านบาท ทั้งโครงการมาก 50 % ได้อยู่บริษัทเดียว คือเครือบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย ขออภัยที่เอ่ยนามผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้ท่านเสียหายครับ ท่านเป็นนักธุรกิจ ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านไปครับ แต่ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลายโครงการใช้วิธีพิเศษ หลายโครงการไม่ให้ใช้วิธีการประมูล และก็มีประเด็นไม่ชอบมาพากล คำถามคือทำไมถึงได้แต่อิตาเลี่ยน-ไทย คำตอบก็เพราะว่ามีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งชื่อ นายทวีฉัตร จุฬางกูร ขออภัยที่เอ่ยนามท่านครับ เป็นหลานชายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นอยู่ในบริษัท 2 ล้านหุ้น นี่คือคำตอบ และเป็นคนเดียวกับที่ได้หุ้น ปตท.ที่ท่านสุริยะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หุ้นปตท.ไป 2,200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 35 บาท วันนี้ถ้าไม่ขายได้กำไรไป 200 กว่าล้านบาท ตรงนี้จึงเป็นประเด็นที่ 1 ที่ผมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ
เรื่องที่ 2 ครับ กรณีทางหลวงสายแหลงฉบังบรรจบทางหลวง 331 ข้อเท็จจริงก็คือถนนสายนี้ราคากลาง 303 ล้านบาท บริษัทกำแพงเพชรวิวัฒน์ ขออภัยที่เอ่ยนามเป็นผู้ประมูลได้ในราคา 190 ล้านบาท ต่ำว่ากว่าราคากลาง 137 ล้านบบาท แปลว่าอะไรครับ แปลว่ากระทรวงคมนาคมจะได้ถนนราคาถูกประหยัดเป็นพิเศษ และบริษัทที่ได้ประมูลไปนี้ จะเสี่ยงต่อการขาดทุน หรือกำไรน้อย หรือไม่ได้กำไร ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คือการไปเข้าด้วยช่วยเหลือบริษัทดังกล่าว ด้วยการดอกหนังสือยืนราคาถึง 14 วัน จนพ้นกำหนดเวลา ทำให้บริษัทไม่ต้องมาทำสัญญาสร้างถนนกับกรมทางหลวง รอดพ้นจากข้อกล่าวหาไปได้โดยไม่ต้อง ต้องข้อหาทิ้งงาน เพราะถือว่าเป็นความผิดของกระทรวง ไม่ใช่ความผิดของบริษัท ส่งผลให้ต้องมีการประมูลใหม่ และรัฐต้องเสียเงินมาสร้างถนนสายนี้เพิ่มขึ้นถึง 105 ล้านบาท ประเด็นไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะก็คือ เพราะท่านช่วยเหลือบริษัทกำแพงเพชรวิวัฒน์ ทำไมท่านช่วยเหลือบริษัทนี้ครับ เพราะเป็นธุรกิจของนักการเมืองพรรคเดียวกับท่านใช่หรือไม่ ตรงนี้แหละครับประเด็นที่ 2 ที่นำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ
ประเด็นสุดท้ายที่ผมขออนุญาตที่จะนำมาสรุปตรงนี้ กรณีถนนสายรัชดา-รามอินทรา ที่เป็นโครงการตัดผ่านหมู่บ้านบางกอกบูเลอวาร์ดของครอบครัวท่านนายกฯครับ ถนนนี้มี 3 ส่วน ต้น กลาง ปลาย ที่แปลกประหลาดคือว่าต้นกับปลายไม่ทำครับ ทำแต่ตรงกลาง คำถามว่าทำไมถึงทำแต่ตรงกลาง คำตอบก็คือว่า มีหมู่บ้านชื่อบางกอกบูเลอวาร์ด ที่กำลังทำธุรกิจจัดสรร 222 แปลง มูลค่า 2,450 ล้านบาท หมู่บ้านนี้เป็นของบริษัทเอสซีแอสเซส ครอบครัวของท่านนายกฯถือหุ้น 76.%
ท่านประธานครับ เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ขออนุญาตที่จะนำเสนอต่อท่านประธานก็คือ กรณีเอกสารของสำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและการจราจร กระทรวงคมนาคม เองครับ เป็นเอกสารจากเวปไซด์ของกระทรวงครับ ของสำนักงานครับ ซึ่งท่าน รมต.สุริยะ ดูแลอยู่ครับ เนื้อหาในเวปไซด์ของสำนักงานระบุว่า ผมไม่อ่านชื่อท่านแล้วกันครับ ผู้อำนวยการ สนข. สำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและการจราจร กระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม คจร. ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ เป็นประธานว่า ตามที่ สนข. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น ท่านนายกฯได้สนใจติดตามการดำเนินงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้แล้วก็มีข้อความเรื่อยมาครับ แต่ที่ขออนุญาติอ่านกับท่านประธานอีกคำหนึ่งก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เกี่ยวข้องกับถนนที่ผมกราบเรียนก็คือว่า สำหรับการพัฒนาโครงข่ายถนน เช่น การเพิ่มโครงข่ายถนนช่วง รัชดาภิเษก - รามอินทรา นี่ล่ะครับ คือเอกสารของ สนข. กรนะทรวงคมนาคม จริงเท็จอย่างไร ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์กันต่อไปว่าสิ่งที่ผมนำมากราบเรียนกับท่านประธานนี้ เป็นเอกสารที่ได้มาจากสำนักงานจริงหรือไม่
ท่านประธานครับ ประเด็นไม่ไว้วางใจกรณีตัดถนนเส้นนี้ผ่านหมู่บ้าน บางกอก บูเลอวาร์ด ก็คือว่า ท่าน รมต.สุริยะ กำลังเอาเงินของรัฐไปสร้างถนน 311 ล้านบาท อ้างว่าเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่ที่แท้ก็คือเอาเงินคนทั้งประเทศไปสร้างถนน เอื้อธุรกิจบริษัทเอกชน ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการเอาเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐ ไปฝึกนักบินเอื้ออาทร ไปฝึกแอร์โฮสเตสเอื้ออาทร เพื่อไปเอื้อให้กับบริษัทสายการบินในอนาคตบางบริษัท เพื่อสนองนโยบายกินรวบทั้งบก น้ำ บนอากาศ ท่านประธานครับ ผมคิดว่าท่านประธานคงเคยได้ยินเรื่อง เสือหิวเสือโหย ใช่มั้ยครับ เสือหิวเสือโหย ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
ท่านประธานครับ ฝ่ายค้านได้ยื่นถอดถอนท่านรองนายกฯ นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา หรือท่านวันนอร์ 2 ข้อหา ข้อหาแรกก็คือ ท่านร่ำรวยผิดปกติ ข้อหาที่ 2 ก็คือจงใจกระทำผิดกม. ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าถ้าจะมีการอภิปรายใน 2 ข้อหานี้ จะอภิปรายอย่างเดียวโดยไม่ยื่นถอดถอนก่อนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ พวกกระผมจึงจำเป็นต้องปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญโดยการยื่นถอดถอนท่านก่อน มิได้มีเจตนาต้องการกลั่นแกล้งให้ท่านต้องโดนดำเนินการ 2 ครั้ง ในกรณีเดียวกันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
กรณีมีข้อสงสัยว่าท่านปกปิดทรัพย์สินไว้กับบุคคลใกล้ชิดหลายรายการ ขอนุญาตกราบเรียนกับท่านประธานครับว่า ท่านถาวร เสนเนียมท่านได้อภิปรายไว้ชัดเจน ท่านได้อภิปรายไว้ชัดเจนไว้ครบถ้วนทุกประเด็น และเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่ท่านถาวร ได้นำมาชี้แจงแสดงต่อท่านประธานไม่ใช่เอกสารมโนสาเร่แดต่าอย่างใดทั้งสิ้น ท่านรองนายกฯวันนอร์ท่านก็ได้ชี้แจงแล้วก็ปฎิเสธว่าไม่เป็นความจริง ผมเข้าใจท่านรองครับ เข้าใจว่าถึงอย่างไรท่านก็ไม่ยอมรับว่า ทั้งหมดที่ท่านถาวรอภิปรายเป็นความจริง เพราะถ้าท่านยอมรับกลางสภา นั้นก็หมายความว่าจะเป็นพยานหลักฐานในการที่ปปช.จะถอดถอนท่านจากตำแหน่งทันที ท่านจึงจำเป็นต้องปฎิเสธ ไว้ในทุกกรณีอย่างไรก็ตาม ผมให้ความเป็นธรรมกับท่านครับ ผมไม่สรุปรายละเอียดทั้งหมดในเวลานี้ แต่ขอให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการปปช. ที่จะพิสูจน์ เรื่องนี้ต่อไป
ผมขออนุญาตที่จะทำหน้าที่สรุปประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ท่านรองนายกฯวันนอร์ ใน 2 โครงการที่เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไป กรณีเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โครงการที่ 1 ก็คือโครงการโซ่ล่าโฮม ที่ท่านสุธรรม ระหงศ์ ได้อภิปรายไป หรือที่เรียกกันว่าโครงการไฟฟ้าเอื้ออาทร หรือบ้านพลังงานแสงอาทิตย์ รายละเอียดก็คือโครงการนี้มูลค่า 7,631 ล้านบาท โครงการนี้กำหนดขึ้นเพื่อที่จะให้บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้จำนวน 3 แสนหลังทั่วประเทศ จะมีไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใช้ค่าใช้จ่ายหลังละ 25,000 บาท แต่ไม่ได้แปลว่ามีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งวัน ใช้ได้วันละไม่เกิน 4 ชม. และใช้ไฟได้ไม่เกิน 2 ดวง ดวงละไม่เกิน 10 วัตต์ หรือ 10 แรงเทียน และดูโทรทัศน์ได้ไม่เกิน 1 เครื่องใน 4 ชม. นี่คือโครงการที่กราบเรียน
ท่านรองนายกฯวันนอร์ ในฐานะรมว.มหาดไทย เป็นผู้เสนอโครงการขออนุมัติ ต่อครม.ในโครงการนี้ด้วยต้นเอง ต่อมามีการล็อกสเป็ก ได้ 5 บริษัท และ 4ใน 5 เป็นกลุ่มที่ใช้แผงโซล่าเซลล์ ของบริษัทเดียวกันคือ บริษัทโซล่าตอล ซึ่งอนุมานได้ว่า เป็นการล็อกสเป็กให้กับบริษัทโซล่าตอลนั้นเอง บริษัทโซล่าตอล จำกัดเป็นของใครครับ ท่านสุธรรม แสดงให้ท่านประธานเห็นชัดเจนว่าเป็นของนายภัยวงศ์ เตชะณรงค์ ซึ่งถือหุ้น 800,000 หุ้น 40% ของบริษัท นอกจากเป็นผู้ถือหุ้น 40% ของบริษัทแล้วท่านยังเป็นใครอีกครับ เป็นกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ ซึ่งท่านรองนายกฯ วันนอร์ เคยเป็นอดีตเลขาธิการพรรค และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นายภัยวงศ์ เตชะณรงค์ เป็นเจ้าของหมู่บ้านโบนันซ่า ที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ท่านถาวร อภิปรายไว้ว่า ท่านรองวันนอร์ มีบ้านอยู่ 1 หลังในชื่อบุคคลอื่น ซึ่งจริงหรือไม่ท่านต้องไปพิสูจน์กับกับปปช. แต่ นี่คือหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านที่ท่านถาวรเอ่ยถึง
ตรงนี้จึงเป็นคำตอบว่าที่สุดไฟฟ้าเอื้ออาทรคือ เอื้ออาทรใคร โครงการที่ 2 ครับท่านประธานครับ คือกรณีที่ท่านบริหาราชการแผ่นดินเอื้อประดยชน์ให้กับบริษัทในเครือญาติท่านนายกฯ กรณีการเช่าคอมฯของการไฟฟ้าภูมิภาค ความจริงกรณีการเอื้อประโยชน์นั้นไม่ใช้เรื่องใหม่ครับ เพราะท่านรองฯวันนอร์ท่านเคยมีผลงานในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกรณีอย่างนี้มาเป็นลำดับ
ท่านประธานเมื่อสักครู่ผมกราบเรียนท่านประธาน เรื่องโครงการการประมูลเช่าคอมฯของการไฟฟ้าภูมิภาคซึ่งเป็นโครงการที่ ท่านรองนายฯวันนอร์เอาเข้าครม.ด้วยตนเองเปลี่ยนจากโครงการจัดซื้อมาเป็นโครงการเช่า 5 ปี มูลค่าของโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนครับ ส่งผลให้บริษัทที่ประมูลได้ หาประโยชน์ไปได้ตลอดโครงการ เพราะเช่ากินได้ตลอด แต่ถ้าซื้ออาจจะได้ครั้งเดียว ที่สุดผลการประกวดราคา มีบริษัทเสนอ 14 ราย ผ่านเทคนิครายเดียวครับ และบริษัทที่ผ่านเทคนิคนั้นราคาใกล้เคียงกับราคากลางเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าของบริษัทที่ประมูลได้เป็นใครครับ ครอบครัวท่านนายกฯเกือบทั้งนั้นเลยครับ ตรงนี้ครับที่พวกกระผมกราบเรียนท่านประธานว่า นี่คือโครงการ 3,000 ล้านบาท ผลงานชิ้นโบว์ม่วงของท่านรองวันนอร์ เพราะฉะนั้น โครงการเหล่านี้บวกกับพฤติกรรมอื่น ทั้งในกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน กรณีข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ และการเอื้อประโยชน์กับตนเองและธุรกิจครอบครัวและพวกพ้อง พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านรองนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งต่อไปได้ครับ
ท่านรัฐมนตรีท่านสุดท้ายครับประธานครับ ท่านรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มือเศรษฐกิจของท่านนายกฯ ประเด็นไม่ไว้วางใจที่จะสรุปมีประเด็นเดียวครับ คือ กรณีการขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟู ข้อหาก็คือ 3 เดือนในตำแหน่ง ท่านไม่ตรวจสอบและไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะป้องที่ดินของกองทุนไปขายเอกชนในราคาถูก กรณีไม่ไว้วางใจก็คือ กรณีการขาย 35 ไร่ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรม ต้นทุนของที่ดิน 2,000 ล้านโดยประมาณ ราคาขาย 772 ล้านบาท ขายให้กับภริยาท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรีสมคิด ชี้แจงว่า กรณีเช่นนี้ไม่ควรมาว่ากัน เพราะว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าประมูล จริงครับ แต่คำถามคืทอ ทำไมจึงไปเลือกเฉพาะแปลงนี้แปลงเดียว จากที่ดินทั้งหมด 1,046 แปลงมาประมูล หรือเพราะที่ดินแปลงนี้ไปเข้าตาใครเป็นพิเศษครับ
ท่านรัฐมนตรีสมคิด ชี้แจงว่า ราคาที่ขายก็ใช้ได้ ต้นทุน 2,000 ล้าน ขาย 772 ล้าน ใช้ได้เหรอครับ ท่านรัฐมนรีสมคิดจบคณิตศาสตร์โรงเรียนไหนครับ ประเด็นที่ท่านไม่ตอบ คือ ทำไมต้องรีบขายก่อนวันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ 2547 คือขายวันที่ 30 ธ.ค.2546 ก่อน 1 ม.ค. 2 วัน ที่ขายก่อน 1 ม.ค.47 ไม่ขายหลังจากนั้ก็เพราะว่า หากขายหลัง 1 ม.ค.47 รัฐบาลจะได้ค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มขึ้น จาก 0.01 % เป็น 2 % นั่นคือรัฐจะได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 14 ล้านบาทโดยประมาณ ใช่หรือไม่ ตรงนี้ครับที่ท่านรัฐมนตรีสมคิดไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้ใช่หรือไม่ ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาประโยชน์ในทุกรูปแบบ และการเข้าด้วยช่วยเหลือเพียงเพราะ สามารถที่จะใช้อำนาจรัฐหาประโยชน์ ตรงนี้จึงเป็นที่มาที่พวกกระผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้รท่านรัฐมนตรีสมคิด ดำรงตำแหน่งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะต่อไปได้
ท่านประธานที่เคารพ ครั้งนี้ถือเป็นอภิปรายครั้งสุดท้ายดังที่กระผมกราบเรียน แต่กระผมไม่เชื่อว่า ครั้งนี้จะเป็นคครั้งสุดท้าย ที่จะมีการหาประโยชน์จากการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการหาประโยชน์จากการใช้รัฐมนตรีหรือจากการที่รัฐมนตรีถูกใช้ด้วยความเต็มใจ เพื่อสนองความร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุด พวกกระผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่อันมีเกียรติ ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอิสระตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แทนพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พวกกระมไม่หวังที่จะได้รับชัยชนะจากการลงมติในสภาฯ เพราะพวกกระผมเชื่อว่าที่สุดเสียงข้างมากก็จะลากรัฐมนตรีทั้ง 8 ท่าน ให้หลุดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจไปได้ แต่สิ่งหนึ่งทีกระผมไม่เชื่อ ก็คือ กระผมไม่เชื่อว่า คนโกงไม่ว่าจะโกงเอง ใช้คนอื่นโกง หรือยอมโกงให้คนอื่น ที่สดุท่านไม่มีวันหลุดรอด คำสาปแช่งอันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า ใครโกงขอให้มีอันเป็นไป กระผมจึงไม่ไว้วางใจท่านผู้อภิปรายครับ ขอบคุณครับท่านประธานครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-ดท-