ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไป ในญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้กล่าวเปิดอภิปรายรัฐมนตรีในภาพรวม ในข้อหาฉกรรจ์แยกเป็น 5 ข้อ คือ
1.บกพร่องผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ
2.ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม ขาดหลักนิติธรรม
3.มุ่งประโยชน์ตนและพวกพ้องมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
4.มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ
5.จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รื้อกฎหมาย
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ด้วยวิสัยของผู้ปกครองที่ดีนั้น ในเวลาที่มานั่งบริหารราชการแผ่นดินของบ้านเมือง เมื่อไรก็ตามถ้าเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้น นั่นคือผลประโยชน์ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลประโยชน์ของรัฐ หรือของประเทศชาติ ของประชาชนหรือของตัวเอง หรือพวกพ้องก็ได้ ตนเข้าใจว่าโดยวิสัยของคนที่มีคุณธรรม และจริยธรรมในการปกครองนั้น แม้ว่าเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็แล้วแต่ สิ่งที่เข้าจะต้องทำก็คือการละประโยชน์ส่วนตัว หรือละประโยชน์พวกพ้อง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง หรือของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ทุกวันนี้น่าวิตกกังวลเป็นอย่างมากว่า ทุกครั้งที่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ตน ผลประโยชน์พวกพ้อง และผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนร่วม รัฐบาลดูมักจะถือผลประโยชน์ตนและพวกพ้องเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้มีรัฐมนตรีหลายคนที่ตั้งอยู่ในข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้อย่างแน่นอน เป็นพฤติกรรมที่น่ากังวลเป็นอันมากว่าเริ่มมีการกระทำอย่างแพร่หลายมาก และที่น่ากังวลมากที่สุดก็คือว่าเริ่มมีการประสานสัมพันธ์กันกระทำกันอย่างเป็นเครือข่ายโยงใยเลยทีเดียว
นายบัญญัติ กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีจุดอ่อนที่งานการศึกษา โดยเริ่มต้นกระทรวงศึกษามีรัฐมนตรีที่มีคุณภาพเข้ามาเริ่มงาน แต่น่าเสียดายที่ต้องออกไป ซึ่งหลังจากนั้นกระทรวงศึกษาก็มีการผลัดเปลี่ยนตัว รมต.ถึง 5 ครั้งในเวลา 3 ปี และสำคัญก็คือว่า ทุกครั้งที่มีการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา กระทรวงนี้ถูกทุกครั้ง
ซึ่งข้อกล่าวหาของ นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาฯ มีหลายประการ ทั้ง บกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรม จริยธรรม ขาดหลักนิติธรรม แล้วสำคัญคือ จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความบกพร่องอย่างฉกาจฉกรรจ์ สำหรับคนที่ทำหน้าที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในฐานะพ่อพิมพ์ในกระทรวงศึกษา
ในกระทรวงที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าปัญหา โดยบุคลิกของนายอดิศัย ไม่เหมาะสมกับงานการศึกษาและองค์กรครู เพราะนอกจากจะดื้อรั้นแล้วยังเป็นคนขาดมนุษยสัมพันธ์ หรือขาดสัมมาวาจา ใช้วาจาเฉือดเฉือนผู้ใต้บังคับ ใช้วัฒนธรรมซีอีโอ ที่คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด ทุกสิ่งที่ทำ ต้องเป็นนวัตกรรมที่มาใหม่ ซึ่งหากท่านตั้งหลักในลักษณะของการใช้วัฒนธรรมซีอีโอ คือ เก่ามาแล้วก็ต้องรื้อกันหมด ตนคิดว่าคงลำบากที่จะนั่งอยู่ที่กระทรวงนี้ต่อไป
อีกทั้งไม่ดำเนินการเสนอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก เป็นกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดดำเนินการตามกรอบ กฏเกณฑ์ และตามกระบวนการ ที่กำหนดไว้ ในกฎกระทรวงดังกล่าว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และสำคัญนอกจากจะไม่นำเสนอแล้ว ท่านยังมีความกล้าหาญชาญชัย ถึงขนาดดำเนินการยกเลิก กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เสียอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่องานการปฏิรูปการศึกษา ต่องานพัฒนาบุคลากรของการศึกษาในกระทรวงศึกษาเป็นอันมาก ได้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายความขัดแย้ง แตกแยก และท้ายสุด บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ถึงต้องรวมตัวกันเดินขบวน คัดค้านรัฐมนตรีท่านนี้
ส่วนนายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั้นใน 3 ปีมานี้ รมว.พาณิชย์ละเลยต่อการไม่ยอมนำอำนาจที่มีอยู่ของกฎหมายการแข่งขันทางการค้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการยับยั้งไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือตลาดขึ้นราคาสินค้าได้ตามใจชอบ เช่น สินค้าเหล็กเส้น ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นไปโดยธรรมชาติ ทำให้ราคาแพง ผู้ค้ารายย่อยเดือดร้อน แต่คนที่สบายที่สุด คือพ่อค้าใหญ่ที่ควบรวมกิจการ มีตัวเลขผลกำไรเฉพาะไตรมาสต้นของปี 2547 ไตรมาสเดียว มีกำไรของบริษัทบางบริษัทที่มีลักษณะ ผูกขาดค้าขายเหล็กเส้นอย่างที่ว่าเพิ่มขึ้น เป็นจำนวนกว่า 200% และที่น่าตกใจคือถ้าเอาตัวเลขไปเปรียบเทียบ กับตัวเลขของไตรมาสเดียวกันในรอบปีที่แล้ว เพิ่ม 1,000%
“การปกป้องผู้ประกอบการแผ่นเหล็กรีดร้อน รายใหญ่ ๆ หลายราย ในลักษณะของการเก็บอากรตอบโต้ การทุ่มตลาดมาจากข้างนอก แต่ด้วยอากรที่ค่อนข้างจะสูงเกินความจำเป็น ก็พบความจริงว่าหลายคนก็ได้ผลประโยชน์มาก ก็มีคนนินทากันมากว่าบางกลุ่ม ก็เชื่อมโยงกับเครือข่ายในรัฐบาลด้วยกัน ทั้งสิ้น ท่านนายกฯก็น่าจะไปตามดูหรือท่านอาจจะทราบแล้วก็เป็นได้ น่าจะเป็นเรื่องของการมุ่งประโยชน์ต้นและประโยชน์มากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ก็กรายหลัง ดูจะมีตัวเลขบริจาคเงินเข้าสู่พรรคการเมืองซีกรัฐบาลเอง เป็นจำนวนมาก” นายบัญญัติ กล่าว
สำหรับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และวันมูหะมัดนอร์ มะทา รองนายกฯ มีข้อกล่าวหาในเรื่องความบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเหตุแห่งความสะสมที่เกิดขึ้นจากการผิดพลาดบกพร่อง ของรัฐบาลของผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ที่นำไปสู่การขยายตัวนำไปสู่การลุกลาม
ส่วนรัฐมนตรีและรองนายกฯ ที่มีชื่อถูกอภิปรายที่เหลือคือ ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ รองนายกฯ นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.ไอซีที นั้นจะถูกอภิปรายในข้อกล่าวหาเดียวกันคือ การมุ่งประโยชน์ตน และพวกพ้องมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ชาติ และรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายเป็นคนแรกในวันนี้คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ที่จะถูกอภิปรายในเรื่องของการประกวดราคาอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-สส-
1.บกพร่องผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ
2.ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม ขาดหลักนิติธรรม
3.มุ่งประโยชน์ตนและพวกพ้องมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
4.มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ
5.จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รื้อกฎหมาย
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ด้วยวิสัยของผู้ปกครองที่ดีนั้น ในเวลาที่มานั่งบริหารราชการแผ่นดินของบ้านเมือง เมื่อไรก็ตามถ้าเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้น นั่นคือผลประโยชน์ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลประโยชน์ของรัฐ หรือของประเทศชาติ ของประชาชนหรือของตัวเอง หรือพวกพ้องก็ได้ ตนเข้าใจว่าโดยวิสัยของคนที่มีคุณธรรม และจริยธรรมในการปกครองนั้น แม้ว่าเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็แล้วแต่ สิ่งที่เข้าจะต้องทำก็คือการละประโยชน์ส่วนตัว หรือละประโยชน์พวกพ้อง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง หรือของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ทุกวันนี้น่าวิตกกังวลเป็นอย่างมากว่า ทุกครั้งที่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ตน ผลประโยชน์พวกพ้อง และผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนร่วม รัฐบาลดูมักจะถือผลประโยชน์ตนและพวกพ้องเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้มีรัฐมนตรีหลายคนที่ตั้งอยู่ในข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้อย่างแน่นอน เป็นพฤติกรรมที่น่ากังวลเป็นอันมากว่าเริ่มมีการกระทำอย่างแพร่หลายมาก และที่น่ากังวลมากที่สุดก็คือว่าเริ่มมีการประสานสัมพันธ์กันกระทำกันอย่างเป็นเครือข่ายโยงใยเลยทีเดียว
นายบัญญัติ กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีจุดอ่อนที่งานการศึกษา โดยเริ่มต้นกระทรวงศึกษามีรัฐมนตรีที่มีคุณภาพเข้ามาเริ่มงาน แต่น่าเสียดายที่ต้องออกไป ซึ่งหลังจากนั้นกระทรวงศึกษาก็มีการผลัดเปลี่ยนตัว รมต.ถึง 5 ครั้งในเวลา 3 ปี และสำคัญก็คือว่า ทุกครั้งที่มีการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา กระทรวงนี้ถูกทุกครั้ง
ซึ่งข้อกล่าวหาของ นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาฯ มีหลายประการ ทั้ง บกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรม จริยธรรม ขาดหลักนิติธรรม แล้วสำคัญคือ จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความบกพร่องอย่างฉกาจฉกรรจ์ สำหรับคนที่ทำหน้าที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในฐานะพ่อพิมพ์ในกระทรวงศึกษา
ในกระทรวงที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าปัญหา โดยบุคลิกของนายอดิศัย ไม่เหมาะสมกับงานการศึกษาและองค์กรครู เพราะนอกจากจะดื้อรั้นแล้วยังเป็นคนขาดมนุษยสัมพันธ์ หรือขาดสัมมาวาจา ใช้วาจาเฉือดเฉือนผู้ใต้บังคับ ใช้วัฒนธรรมซีอีโอ ที่คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด ทุกสิ่งที่ทำ ต้องเป็นนวัตกรรมที่มาใหม่ ซึ่งหากท่านตั้งหลักในลักษณะของการใช้วัฒนธรรมซีอีโอ คือ เก่ามาแล้วก็ต้องรื้อกันหมด ตนคิดว่าคงลำบากที่จะนั่งอยู่ที่กระทรวงนี้ต่อไป
อีกทั้งไม่ดำเนินการเสนอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก เป็นกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดดำเนินการตามกรอบ กฏเกณฑ์ และตามกระบวนการ ที่กำหนดไว้ ในกฎกระทรวงดังกล่าว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และสำคัญนอกจากจะไม่นำเสนอแล้ว ท่านยังมีความกล้าหาญชาญชัย ถึงขนาดดำเนินการยกเลิก กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เสียอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่องานการปฏิรูปการศึกษา ต่องานพัฒนาบุคลากรของการศึกษาในกระทรวงศึกษาเป็นอันมาก ได้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายความขัดแย้ง แตกแยก และท้ายสุด บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ถึงต้องรวมตัวกันเดินขบวน คัดค้านรัฐมนตรีท่านนี้
ส่วนนายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั้นใน 3 ปีมานี้ รมว.พาณิชย์ละเลยต่อการไม่ยอมนำอำนาจที่มีอยู่ของกฎหมายการแข่งขันทางการค้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการยับยั้งไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือตลาดขึ้นราคาสินค้าได้ตามใจชอบ เช่น สินค้าเหล็กเส้น ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นไปโดยธรรมชาติ ทำให้ราคาแพง ผู้ค้ารายย่อยเดือดร้อน แต่คนที่สบายที่สุด คือพ่อค้าใหญ่ที่ควบรวมกิจการ มีตัวเลขผลกำไรเฉพาะไตรมาสต้นของปี 2547 ไตรมาสเดียว มีกำไรของบริษัทบางบริษัทที่มีลักษณะ ผูกขาดค้าขายเหล็กเส้นอย่างที่ว่าเพิ่มขึ้น เป็นจำนวนกว่า 200% และที่น่าตกใจคือถ้าเอาตัวเลขไปเปรียบเทียบ กับตัวเลขของไตรมาสเดียวกันในรอบปีที่แล้ว เพิ่ม 1,000%
“การปกป้องผู้ประกอบการแผ่นเหล็กรีดร้อน รายใหญ่ ๆ หลายราย ในลักษณะของการเก็บอากรตอบโต้ การทุ่มตลาดมาจากข้างนอก แต่ด้วยอากรที่ค่อนข้างจะสูงเกินความจำเป็น ก็พบความจริงว่าหลายคนก็ได้ผลประโยชน์มาก ก็มีคนนินทากันมากว่าบางกลุ่ม ก็เชื่อมโยงกับเครือข่ายในรัฐบาลด้วยกัน ทั้งสิ้น ท่านนายกฯก็น่าจะไปตามดูหรือท่านอาจจะทราบแล้วก็เป็นได้ น่าจะเป็นเรื่องของการมุ่งประโยชน์ต้นและประโยชน์มากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ก็กรายหลัง ดูจะมีตัวเลขบริจาคเงินเข้าสู่พรรคการเมืองซีกรัฐบาลเอง เป็นจำนวนมาก” นายบัญญัติ กล่าว
สำหรับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และวันมูหะมัดนอร์ มะทา รองนายกฯ มีข้อกล่าวหาในเรื่องความบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเหตุแห่งความสะสมที่เกิดขึ้นจากการผิดพลาดบกพร่อง ของรัฐบาลของผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ที่นำไปสู่การขยายตัวนำไปสู่การลุกลาม
ส่วนรัฐมนตรีและรองนายกฯ ที่มีชื่อถูกอภิปรายที่เหลือคือ ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ รองนายกฯ นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.ไอซีที นั้นจะถูกอภิปรายในข้อกล่าวหาเดียวกันคือ การมุ่งประโยชน์ตน และพวกพ้องมากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ชาติ และรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายเป็นคนแรกในวันนี้คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ที่จะถูกอภิปรายในเรื่องของการประกวดราคาอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-สส-