ถล่มวัฒนา นำเข้าข้าว-สินค้าราคาแพง
โดย นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
รายละเอียด
คำอภิปราย
ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายนิพนธ์ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ท่านประธานครับ นอกจากท่านรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ท่านนี้ ท่านจะได้บริหารงานโดยมุ่งช่วยเหลือพวกพ้อง บกพร่อง ผิดพลาด ตามที่ท่าน ส.ส.ตรีพล เจาะจิตต์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจท่านผ่านไปแล้ว
วันนี้ผมต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วยความปรารถนาดีต่อท่านรัฐมนตรี วัฒนาฯ อย่างแท้จริงเพราะท่านรัฐมนตรีท่านเป็น คนที่โชคดีคนหนึ่งที่เข้าสู่วงการเมือง โดยมีพ่อค้าอุ้มเข้ามา แล้วได้ตามที่ปรารถนาทุกอย่าง ท่านเป็นคนที่มีคุณวุฒิ ธณวุฒิพร้อมดีคนหนึ่งในสายตาผม แต่เสีย อย่างเดียว ปากท่านไม่ดี ปากไวไปหน่อย และจากที่ท่านได้ทุกอย่างนั่นแหละครับ ท่านจึงทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีเสียหายมากขึ้นทุกวัน ด้วยความปากไวนี้แหละครับ มันก่อให้เกิดปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้นเป็นลำดับ จึงต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรีวัฒนาฯ
นั่นคือเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ด้วยคำพูดของท่านได้ทำให้วงการค้าข้าวไทยต้องสั่นสะเทือน เมื่อท่านออกมาประกาศว่าจะเปิดโควต้านำเข้าข้าวจาก ลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพต่ำ (ข้าว 35- 45 %) ภายใต้ข้อตกลงยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน(อีซีเอส) โดยคิดภาษีนำเข้า 0% จำนวนประมาณ1.5 ล้านตัน โดยอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้านและเป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออก
ท่านประธานครับ ปกติคนที่เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ การพูดจาต้องมีความระมัดระวัง เพราะคำพูดแต่ละคำ แต่ละประโยค มันก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อ ประชาชนนับล้านๆคน ทันทีที่ท่านพูดเรื่องการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา 1.5 ล้านตัน ผมตกใจครับท่านประธาน
ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ ท่านคิดเรื่องดังกล่าวนี้ ออกหมาได้อย่างไร ท่านใช้อวัยวะส่วนไหนคิด นักเรียนอาชีวะที่ท่านรัฐมนตรีเคยเรียกเขาว่า พวก“ปัญญาควาย” ถ้าเขามาเป้นรับมนตรีผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นก็คงไม่คิดกเรื่องอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้ “เพียงแต่คิดก็ผิดแล้วครับ”
ถ้าท่านรัฐมนตรีมีวุฒิภาวะ มากกว่านี้เพียงแต่ใช่สมองคิดหาข้อมูลเบื้องต้นไตร่ตรองมากกว่านี้ท่านก็จะทราบว่าข้าวในประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว-กัมพูชา-พม่า ในแต่ละปีมีเท่าไหร่ ท่านดูข้อมูลสิครับ
สถิติการผลิตข้าวจากประเทศลาว-กัมพูชา- พม่า
- ลาวมีประชากร 6 ล้านคน ผลิตข้าวเปลือกเหนียวปีละ 2.5 ล้านตัน ใช้บริโภคภายในเหลือส่งออกบ้างเล็กน้อย
- กัมพูชา มีประชากร 12 ล้านคน ผลิตได้ 3.8 ล้านตัน ขณะที่มีการส่งออกโดยเฉลี่ยประมาณ 33,000-36,000 ตัน
- พม่ามีประชากรอยู่ที่ 48 ล้านคน มีผลผลิตข้าวเปลือกปีละ ประมาณ 21 ล้านตัน ส่งออกประมาณปีละ 100,000-200,000 ล้านตันแต่ขณะนี้รัฐบาลพม่า มีนโยบายห้ามส่งออก เพราะกลัวกระทบการบริโภคภายในประเทศ
ถ้าท่านทำการศึกษาข้อมูลก่อนที่จะพูดท่านจะได้ทราบว่า ข้าวจากประเทศเพื่อบ้านมีเพียงพอกับจำนวนที่ท่านจะนำเข้ามาหรือไม่ เมื่อมีจำนวนไม่เพียงพอ ก็ไม่ต้องคิดและพูดในสิ่งเหล่านี้
แต่ในอนาคตไม่แน่ตัวเลขอาจจะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่เคยเป็นประเทศนำเข้าข้าว แต่หลังจากเปลี่ยนนโยบายการผลิต กลับกลายเป็นประเทศ ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ไล่ตามไทยมาติดๆ
แต่เมื่อท่านพูดเรื่องการนำเข้าข้าวจากเพื่อบ้านดังกล่าวแล้ว ความเสียหายก็เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวนา ผู้ปลูกข้าวแล้วครับ เพราะทันทีที่ท่านพูดพ่อค้าโรงสี ก็หยุดซื้อข้าว ราคาข้าเปลือกของชาวนาก็ราคาตกลงทันที เกวียนละ200-300 บาท ล่าสุดวันนี้ จากการขายข้าวให้พวกพ้อง แล้วคิดนำเข้าข้าว ราคาลดลง ตันละ 1,000 กว่าบาทแล้วครับ ท่านกล่าวอ้างว่าท่าน จะนำเข้าข้าวเข้ามาเพื่อการส่งออก และช่วยเหลือเพื่อบ้านท่านหวังดี หรือหวังร้ายต่อประเทศเพื่อนบ้านกันแน่ครับ เพราะท่านกำลังคิดที่จะครอบงำระบบการค้าข้าวของประเทศเพื่อนบ้าน ท่านคิดว่า ประเทศเพื่อนบ้านเขาจะยอมรับหรือ
การอ้างว่า นำเข้ามาเพื่อการส่งออกทั้งหมด เกรงว่าจะไม่จริง เพราะถ้าต้องการส่งออกจริงก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้ามา แต่เอกชนผู้ส่งออกไทยหรือพ่อค้าผู้ส่งออก สามารถไปดำเนินการส่งออก ณ ประเทศเจ้าของข้าวได้เลย โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนด้วยซ้ำ ทั้งค่าขนส่ง ค่าดำเนินการ ฯลฯ มิหนำซ้ำการเอาข้าวคุณภาพ ต่ำกว่ามาตรฐานข้าวไทยมาส่งออกจากประเทศไทย ยังจะเป็นการบั่นทอนภาพลักษณ์ทางการตลาดที่ดีของข้าวไทย
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้หรอกครับว่า ข้าวทุกเม็ดที่นำเข้ามาต้องส่งออกไป และโดยลักษณะของข้าวนั้นไม่สามารถทำเครื่องหมายไว้ที่เมล็ดข้าวได้ การยักย้ายถ่ายเทข้าวจากแหล่งต่างๆ ก็ปะปนกันได้ตลอดเวลา เพราะการเคลื่อนย้ายต้องบรรจุกระสอบ ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของการ ค้าขายข้าวที่ต้องมีผสมข้าวคุณภาพดีเพื่อให้ได้เกรดตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น ข้าวที่ถูกนำเข้ามาย่อมจะมีการนำมาผสมกับข้าวชาวนาไทย แล้วก็จัด การส่งออก หรือกระทั่งขายในประเทศแข่งกับข้าวชาวนาไทย
ข้าวนำเข้าเป็นข้าว35%-45%ซึ่งมีคุณภาพต่ำและราคาถูกแต่หากนำมาผสมผสานกับข้าวของชาวนาไทยแล้ววางขายราคาถูกในประเทศก็จะทำให้ข้าวชาวนาไทยถูกแย่งลูกค้าไปโดยง่าย เพราะผู้บริโภคจะเลือกซื้อข้าวราคาถูกกว่า ขึ้นชื่อว่าข้าวก็สามารถทดแทนกันได้ดีพอสมควร
ข้าวคุณภาพต่ำที่จะนำเข้ามามีลักษณะเกือบจะเป็นปลายข้าว หรือข้าวท่อน ซึ่งถูกใช้เป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ ซึ่งในประเทศไทยก็มีข้าวชนิดนี้อยู่แล้ว น่าสังเกตว่าราคาข้าวท่อน ในประเทศไทยมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่หากนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านราคาจะตกกิโลกรัมละ 5 บาท ดังนั้น การนำเข้าข้าวลักษณะนี้ ย่อมเป็นการเอื้ออาทร สร้างผลประโยชน์ให้แก่โรงงานอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ในประเทศอันจะส่งผลบวกต่อกำไรของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อย่างครบวงจร
นอกจากนั้น ข้าวดังกล่าวหากนำเข้ามาในประเทศแล้วจะมีโอกาสนำไปใช้ในการทำแป้ง เพื่อทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเป็นดังนั้นก็จะทำให้พ่อค้า ก็ไม่ต้องง้อชาวนา เพื่อซื้อข้าวไทยอีก
ดังนั้น ผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายนี้ก็คือ พ่อค้าโรงงานอาหารสัตว์ และผู้ส่งออกที่สามารถหาข้าวราคาถูกมาใช้และขายไปในต่างประเทศ โดยกินส่วนต่างราคาที่ซื้อมา แล้วขายไป แล้วชาวนาได้อะไรละครับ
นี่คือข้อบกพร่อง ผิดพลาด ความเสียงหายที่เกิดขึ้น
ประเด็นที่ 2
นอกจากนี้ท่านยังบกพร่อง ผิดพลาด ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะนับตั้งแต่ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ ท่านปล่อยให้ราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพมีราคาสูงขึ้นมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เดือดร้อน เพราะท่านไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ยากของประชาชน ท่านปล่อยให้พ่อค้าขึ้นราคาสินค้าโดยไม่ได้มีมาตรการ ควบคุมแต่อย่างใด (ดูแผ่นชาร์ท)
ด้วยความปากไวของท่านรัฐมนตรีนี่แหละครับ ที่ผมเรียนว่ามันเป็นปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน
ทันทีที่ท่านเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ท่านกล่าวถึงนโยบายค้าปลีกว่าไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายคุมการค้าปลีก เพราะมีกฎหมายผังเมือง และกว่าว่า “ต่อไปผมทำอะไรจะต้องหารือพ่อค้าก่อน หากพ่อค้าไม่ชอบก็ยกเลิก...ไม่กลัวด้วยว่าใครจะว่าผมเอื้อพ่อค้า ถ้าไม่เอื้อพ่อค้าแล้วจะเอื้อลิงที่ไหน เพราะคนขายของคือพ่อค้า รัฐไม่ใช่คนขายเอง นโยบายออกมาก็ต้องเอื้อพ่อค้า ไม่ใช่เอื้อรัฐ”
ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมท่านจึงได้ปล่อยปละละเลยให้สินค้าขึ้นราคา จนประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ท่านไม่ได้มีการออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร
ผมไม่ต้องการให้ท่านเอื้อลิงที่ไหนหรอกครับ แต่ผมต้องการให้ท่านดูแลประชาชนรักษาผลประโยชน์ของประชาชนมากว่ารักษาผลประโยชน์ของพ่อค้า
ประเด็นที่ 3
ปล่อยปละละเลยให้บุคคลใกล้ชิดแสวงหาผลประโยชนเพราะะจากข้อมูลเลขารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ คือ นางอรทัย ฐานะจาโร ตั้งบริษัทโฆษณาโดยใช้อำนาจทางการเมืองหาประโยชน์จากการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ จากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีหลักฐานการรับเงิ นอย่างชัดเจนในหลายหน่วยงานแต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างในกรณีของกรมการประกันภัยซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่า เลขานุการรัฐมนตรีท่านนี้ เป็นผู้เซ็นชื่อรับเงินค่าโฆษณาจากหน่วยงานดังกล่าวด้วยตัวเองท่านประธานที่เคารพครับ จากเหตุผลที้งหมดที่ได้ประทานกราบเรียนมาข้างต้น ผมจึงไม่ไว้วางใจท่าน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชน์ นายวัฒนา เมืองสุข ได้ครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-ดท-
โดย นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
รายละเอียด
คำอภิปราย
ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายนิพนธ์ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ท่านประธานครับ นอกจากท่านรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ท่านนี้ ท่านจะได้บริหารงานโดยมุ่งช่วยเหลือพวกพ้อง บกพร่อง ผิดพลาด ตามที่ท่าน ส.ส.ตรีพล เจาะจิตต์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจท่านผ่านไปแล้ว
วันนี้ผมต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วยความปรารถนาดีต่อท่านรัฐมนตรี วัฒนาฯ อย่างแท้จริงเพราะท่านรัฐมนตรีท่านเป็น คนที่โชคดีคนหนึ่งที่เข้าสู่วงการเมือง โดยมีพ่อค้าอุ้มเข้ามา แล้วได้ตามที่ปรารถนาทุกอย่าง ท่านเป็นคนที่มีคุณวุฒิ ธณวุฒิพร้อมดีคนหนึ่งในสายตาผม แต่เสีย อย่างเดียว ปากท่านไม่ดี ปากไวไปหน่อย และจากที่ท่านได้ทุกอย่างนั่นแหละครับ ท่านจึงทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีเสียหายมากขึ้นทุกวัน ด้วยความปากไวนี้แหละครับ มันก่อให้เกิดปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้นเป็นลำดับ จึงต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรีวัฒนาฯ
นั่นคือเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ด้วยคำพูดของท่านได้ทำให้วงการค้าข้าวไทยต้องสั่นสะเทือน เมื่อท่านออกมาประกาศว่าจะเปิดโควต้านำเข้าข้าวจาก ลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพต่ำ (ข้าว 35- 45 %) ภายใต้ข้อตกลงยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน(อีซีเอส) โดยคิดภาษีนำเข้า 0% จำนวนประมาณ1.5 ล้านตัน โดยอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้านและเป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออก
ท่านประธานครับ ปกติคนที่เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ การพูดจาต้องมีความระมัดระวัง เพราะคำพูดแต่ละคำ แต่ละประโยค มันก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อ ประชาชนนับล้านๆคน ทันทีที่ท่านพูดเรื่องการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา 1.5 ล้านตัน ผมตกใจครับท่านประธาน
ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ ท่านคิดเรื่องดังกล่าวนี้ ออกหมาได้อย่างไร ท่านใช้อวัยวะส่วนไหนคิด นักเรียนอาชีวะที่ท่านรัฐมนตรีเคยเรียกเขาว่า พวก“ปัญญาควาย” ถ้าเขามาเป้นรับมนตรีผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นก็คงไม่คิดกเรื่องอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้ “เพียงแต่คิดก็ผิดแล้วครับ”
ถ้าท่านรัฐมนตรีมีวุฒิภาวะ มากกว่านี้เพียงแต่ใช่สมองคิดหาข้อมูลเบื้องต้นไตร่ตรองมากกว่านี้ท่านก็จะทราบว่าข้าวในประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว-กัมพูชา-พม่า ในแต่ละปีมีเท่าไหร่ ท่านดูข้อมูลสิครับ
สถิติการผลิตข้าวจากประเทศลาว-กัมพูชา- พม่า
- ลาวมีประชากร 6 ล้านคน ผลิตข้าวเปลือกเหนียวปีละ 2.5 ล้านตัน ใช้บริโภคภายในเหลือส่งออกบ้างเล็กน้อย
- กัมพูชา มีประชากร 12 ล้านคน ผลิตได้ 3.8 ล้านตัน ขณะที่มีการส่งออกโดยเฉลี่ยประมาณ 33,000-36,000 ตัน
- พม่ามีประชากรอยู่ที่ 48 ล้านคน มีผลผลิตข้าวเปลือกปีละ ประมาณ 21 ล้านตัน ส่งออกประมาณปีละ 100,000-200,000 ล้านตันแต่ขณะนี้รัฐบาลพม่า มีนโยบายห้ามส่งออก เพราะกลัวกระทบการบริโภคภายในประเทศ
ถ้าท่านทำการศึกษาข้อมูลก่อนที่จะพูดท่านจะได้ทราบว่า ข้าวจากประเทศเพื่อบ้านมีเพียงพอกับจำนวนที่ท่านจะนำเข้ามาหรือไม่ เมื่อมีจำนวนไม่เพียงพอ ก็ไม่ต้องคิดและพูดในสิ่งเหล่านี้
แต่ในอนาคตไม่แน่ตัวเลขอาจจะเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่เคยเป็นประเทศนำเข้าข้าว แต่หลังจากเปลี่ยนนโยบายการผลิต กลับกลายเป็นประเทศ ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ไล่ตามไทยมาติดๆ
แต่เมื่อท่านพูดเรื่องการนำเข้าข้าวจากเพื่อบ้านดังกล่าวแล้ว ความเสียหายก็เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวนา ผู้ปลูกข้าวแล้วครับ เพราะทันทีที่ท่านพูดพ่อค้าโรงสี ก็หยุดซื้อข้าว ราคาข้าเปลือกของชาวนาก็ราคาตกลงทันที เกวียนละ200-300 บาท ล่าสุดวันนี้ จากการขายข้าวให้พวกพ้อง แล้วคิดนำเข้าข้าว ราคาลดลง ตันละ 1,000 กว่าบาทแล้วครับ ท่านกล่าวอ้างว่าท่าน จะนำเข้าข้าวเข้ามาเพื่อการส่งออก และช่วยเหลือเพื่อบ้านท่านหวังดี หรือหวังร้ายต่อประเทศเพื่อนบ้านกันแน่ครับ เพราะท่านกำลังคิดที่จะครอบงำระบบการค้าข้าวของประเทศเพื่อนบ้าน ท่านคิดว่า ประเทศเพื่อนบ้านเขาจะยอมรับหรือ
การอ้างว่า นำเข้ามาเพื่อการส่งออกทั้งหมด เกรงว่าจะไม่จริง เพราะถ้าต้องการส่งออกจริงก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้ามา แต่เอกชนผู้ส่งออกไทยหรือพ่อค้าผู้ส่งออก สามารถไปดำเนินการส่งออก ณ ประเทศเจ้าของข้าวได้เลย โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนด้วยซ้ำ ทั้งค่าขนส่ง ค่าดำเนินการ ฯลฯ มิหนำซ้ำการเอาข้าวคุณภาพ ต่ำกว่ามาตรฐานข้าวไทยมาส่งออกจากประเทศไทย ยังจะเป็นการบั่นทอนภาพลักษณ์ทางการตลาดที่ดีของข้าวไทย
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้หรอกครับว่า ข้าวทุกเม็ดที่นำเข้ามาต้องส่งออกไป และโดยลักษณะของข้าวนั้นไม่สามารถทำเครื่องหมายไว้ที่เมล็ดข้าวได้ การยักย้ายถ่ายเทข้าวจากแหล่งต่างๆ ก็ปะปนกันได้ตลอดเวลา เพราะการเคลื่อนย้ายต้องบรรจุกระสอบ ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของการ ค้าขายข้าวที่ต้องมีผสมข้าวคุณภาพดีเพื่อให้ได้เกรดตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น ข้าวที่ถูกนำเข้ามาย่อมจะมีการนำมาผสมกับข้าวชาวนาไทย แล้วก็จัด การส่งออก หรือกระทั่งขายในประเทศแข่งกับข้าวชาวนาไทย
ข้าวนำเข้าเป็นข้าว35%-45%ซึ่งมีคุณภาพต่ำและราคาถูกแต่หากนำมาผสมผสานกับข้าวของชาวนาไทยแล้ววางขายราคาถูกในประเทศก็จะทำให้ข้าวชาวนาไทยถูกแย่งลูกค้าไปโดยง่าย เพราะผู้บริโภคจะเลือกซื้อข้าวราคาถูกกว่า ขึ้นชื่อว่าข้าวก็สามารถทดแทนกันได้ดีพอสมควร
ข้าวคุณภาพต่ำที่จะนำเข้ามามีลักษณะเกือบจะเป็นปลายข้าว หรือข้าวท่อน ซึ่งถูกใช้เป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ ซึ่งในประเทศไทยก็มีข้าวชนิดนี้อยู่แล้ว น่าสังเกตว่าราคาข้าวท่อน ในประเทศไทยมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่หากนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านราคาจะตกกิโลกรัมละ 5 บาท ดังนั้น การนำเข้าข้าวลักษณะนี้ ย่อมเป็นการเอื้ออาทร สร้างผลประโยชน์ให้แก่โรงงานอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ในประเทศอันจะส่งผลบวกต่อกำไรของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อย่างครบวงจร
นอกจากนั้น ข้าวดังกล่าวหากนำเข้ามาในประเทศแล้วจะมีโอกาสนำไปใช้ในการทำแป้ง เพื่อทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเป็นดังนั้นก็จะทำให้พ่อค้า ก็ไม่ต้องง้อชาวนา เพื่อซื้อข้าวไทยอีก
ดังนั้น ผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายนี้ก็คือ พ่อค้าโรงงานอาหารสัตว์ และผู้ส่งออกที่สามารถหาข้าวราคาถูกมาใช้และขายไปในต่างประเทศ โดยกินส่วนต่างราคาที่ซื้อมา แล้วขายไป แล้วชาวนาได้อะไรละครับ
นี่คือข้อบกพร่อง ผิดพลาด ความเสียงหายที่เกิดขึ้น
ประเด็นที่ 2
นอกจากนี้ท่านยังบกพร่อง ผิดพลาด ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะนับตั้งแต่ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ ท่านปล่อยให้ราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพมีราคาสูงขึ้นมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เดือดร้อน เพราะท่านไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ยากของประชาชน ท่านปล่อยให้พ่อค้าขึ้นราคาสินค้าโดยไม่ได้มีมาตรการ ควบคุมแต่อย่างใด (ดูแผ่นชาร์ท)
ด้วยความปากไวของท่านรัฐมนตรีนี่แหละครับ ที่ผมเรียนว่ามันเป็นปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน
ทันทีที่ท่านเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ท่านกล่าวถึงนโยบายค้าปลีกว่าไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายคุมการค้าปลีก เพราะมีกฎหมายผังเมือง และกว่าว่า “ต่อไปผมทำอะไรจะต้องหารือพ่อค้าก่อน หากพ่อค้าไม่ชอบก็ยกเลิก...ไม่กลัวด้วยว่าใครจะว่าผมเอื้อพ่อค้า ถ้าไม่เอื้อพ่อค้าแล้วจะเอื้อลิงที่ไหน เพราะคนขายของคือพ่อค้า รัฐไม่ใช่คนขายเอง นโยบายออกมาก็ต้องเอื้อพ่อค้า ไม่ใช่เอื้อรัฐ”
ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมท่านจึงได้ปล่อยปละละเลยให้สินค้าขึ้นราคา จนประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ท่านไม่ได้มีการออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร
ผมไม่ต้องการให้ท่านเอื้อลิงที่ไหนหรอกครับ แต่ผมต้องการให้ท่านดูแลประชาชนรักษาผลประโยชน์ของประชาชนมากว่ารักษาผลประโยชน์ของพ่อค้า
ประเด็นที่ 3
ปล่อยปละละเลยให้บุคคลใกล้ชิดแสวงหาผลประโยชนเพราะะจากข้อมูลเลขารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ คือ นางอรทัย ฐานะจาโร ตั้งบริษัทโฆษณาโดยใช้อำนาจทางการเมืองหาประโยชน์จากการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ จากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีหลักฐานการรับเงิ นอย่างชัดเจนในหลายหน่วยงานแต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างในกรณีของกรมการประกันภัยซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่า เลขานุการรัฐมนตรีท่านนี้ เป็นผู้เซ็นชื่อรับเงินค่าโฆษณาจากหน่วยงานดังกล่าวด้วยตัวเองท่านประธานที่เคารพครับ จากเหตุผลที้งหมดที่ได้ประทานกราบเรียนมาข้างต้น ผมจึงไม่ไว้วางใจท่าน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชน์ นายวัฒนา เมืองสุข ได้ครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19/05/47--จบ--
-ดท-