ฉบับที่ ๑๓
สรุปการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗
เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๐.๓๐ นาฬิกา
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๑ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๒๙ (สมัยสามัญทั่วไป) เวลา ๐๙.๓๐ นาฬิกา
เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบองค์ประชุม นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง
เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งต่อที่ประชุมให้พิจารณาเรื่องด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
เป็นวันที่สอง โดยในวันแรกของการประชุมการอภิปรายรัฐมนตรีได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ๒ ราย คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี
สำหรับการประชุมในวันนี้รัฐมนตรีผู้ถูกอภิปรายลำดับแรก คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง โดยนายอาคม เอ่งฉ้วน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายการ
บริหารราชการแผ่นดินอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ
- การขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟู ที่ได้มาระหว่างปี ๒๕๓๖ - ๒๕๓๙ โดยเฉพาะ
ที่ดินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานทูตเกาหลีติดถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง จำนวน ๑๓ โฉนด รวม ๓๕ ไร่ ๒ งาน
ที่มีขั้นตอนการประมูลขายทอดตลาดไม่โปร่งใสใน ๒ ลักษณะ คือ
๑. วิธีการประกวดราคามิได้นำผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ดังที่ได้ประกาศเป็น
นโยบายที่จะใช้กับการประกวดราคาขายทรัพย์สินของรัฐ แต่ยังคงใช้ระบบยื่นซองประกวดราคาแบบเดิมที่เคยใช้มาในอดีต
๒. ขั้นตอนการขายที่ดินทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ คือ
๒.๑ การประกวดราคาครั้งที่ ๒ ของที่ดินแปลงนี้ พบว่าพื้นที่ดิน
หน้าโฉนดหายไป ๒ ไร่เศษ จาก ๓๕ ไร่ ๒ งาน ทำให้รัฐเสีย
รายได้ไปกว่า ๕๘ ล้านบาท เพราะราคาที่ดินประมาณ
ตารางวาละ ๕๐,๐๐๐ บาท
๒.๒ การเร่งรีบขายที่ดินก่อนการประกาศเปลี่ยนแปลงราคากลาง
ของกรมที่ดินเพียง ๒ วัน เพราะจะครบรอบทุก ๕ ปี ที่จะมี
การ ประกาศเปลี่ยนแปลงราคากลางที่ดิน ทำให้ขายได้เพียง
๗๗๒ ล้านบาท ซึ่งหากชะลอการขายอีก ๒ วัน รัฐจะได้รับ
ประโยชน์และรายได้จากส่วนนี้ โดยเฉพาะจากค่าธรรมเนียม
มากขึ้นกว่าเดิม
๒.๓ การเพิ่มวงเงินประกันการซื้อซองประกวดราคาถึง ๑๐๐ ล้านบาท
ทำให้มีผู้ยื่นซองประกวดราคาได้เพียง ๑ รายเท่านั้น เป็นการ
บ่งชี้ถึงความไม่โปร่งใสและเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง
๒.๔ การละเลยเรื่องการกำกับดูแลการขายที่ดินให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ จึงเป็นการบ่งชี้ถึงความบกพร่อง
ในการบริหารราชการแผ่นดิน