ความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548 ได้บรรลุข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขด้านระยะเวลาว่า จะต้องมีการลงนาม FTA ไทย-ญี่ปุ่น ให้มีผลบังคับใช้ทันทีในปี 2549 และการยกเลิกภาษีศุลกากรหมวดยานยนต์ภายใต้กรอบ AFTA มีผลบังคับใช้ในปี 2553 ด้วย ซึ่งข้อตกลง FTA ไทย-ญี่ปุ่น กำหนดให้ลดภาษีศุลกากรสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยแบบขั้นบันได ดังนี้
1. รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 ซีซี. ขึ้นไป จะลดอัตราอากรขาเข้าลงปีละ ร้อยละ 5 จากอัตราร้อยละ 80 ในปัจจุบัน เป็นอัตรารัอยละ 75 ทันที(ปี 2549), ร้อยละ 70(ปี 2550), ร้อยละ 65(ปี 2551) และร้อยละ 60(ปี 2552) ตามลำดับ จากนั้นจะได้นำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้ง
2. รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี. จะยังไม่มีการลดภาษีศุลกากร
3. ชิ้นส่วนที่นำเข้ามาใช้ในการประกอบยานยนต์ในประเทศที่มีอัตราอากรขาเข้าในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 20 จะลดอัตราอากรขาเข้าลงเป็นร้อยละ 20 ทันที(ปี 2549) และยังคงอัตรานี้ไว้ต่อไปอีก 4 ปี จนถึงปีที่ 5 จะลดลงเป็นร้อยละ 0 (ปี 2554)
4. ชิ้นส่วนที่นำเข้ามาใช้ในการประกอบยานยนต์ในประเทศที่มีอัตราอากรขาเข้าในปัจจุบันร้อยละ 20 หรือน้อยกว่า จะจัดเก็บอัตราอากรเช่นเดิม และยังคงอัตรานั้นไว้ต่อไปอีก 4 ปี จนถึงปีที่ 5 จะลดลงเป็นร้อยละ 0 (ปี 2554)
5. เครื่องยนต์เบนซินสำเร็จรูปที่ใช้กับรถยนต์ ตั้งแต่ 250-1,000 ซีซี.(HS. 840733) และตั้งแต่ 1,000 ซีซี. ขึ้นไป (HS.840734) เครื่องยนต์ดีเซลสำเร็จรูปที่ใช้กับรถยนต์ (HS.840820) ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถยนต์ (HS.840991 และ 840999) จะลดอัตราอากรขาเข้าลงเป็นร้อยละ 0 ในปีที่ 7 (ปี2556)
อุตสาหกรรมรถยนต์
ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 517,417 คัน และ 345,902 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 15.85 และ 15.82 ตามลำดับ โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.79 และ 3.11 ตามลำดับ แต่การผลิตรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 12.99 ในส่วนการจำหน่ายรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.05 และ 8.50 ตามลำดับ แต่มีการจำหน่ายรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 10.53 ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และไม่ค่อยมีการนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่สำคัญทำให้การผลิตและจำหน่ายรถยนต์นั่งในช่วงครึ่งปีแรก 2548 หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีผลให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภครถยนต์ โดยหันไปนิยมรถยนต์ขนาดเล็กลงที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น สำหรับรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลได้มีนโยบายลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น พัฒนารูปแบบให้หรูหรา สะดวกสบาย นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์ประเภทนี้มีการแข่งขันกันสูง ส่งผลให้ผู้จำหน่ายแต่ละรายมีกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของ ปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.16 และ 18.76 โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.70 และ 14.85 ตามลำดับ แต่รถยนต์นั่งมีการผลิตลดลงร้อยละ 11.26 ในส่วนของการจำหน่าย รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.07 และ 9.34 ตามลำดับ แต่รถยนต์นั่งมีการจำหน่ายลดลงร้อยละ 1.53 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 ทั้งปริมาณการผลิต และการจำหน่าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.64 และ 7.76 ตามลำดับ โดยมีการผลิตทั้งรถยนต์นั่ง รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97, 8.09 และ 14.22 ตามลำดับ ในส่วนของการจำหน่ายทั้งรถยนต์นั่ง รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.91, 4.59 และ 16.31 ตามลำดับ ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้การผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสที่สองของปี 2548 ขยายตัวเล็กน้อยจากไตรมาสแรก มาจากการมีข่าวว่าค่ายรถยนต์จะปรับราคาขายรถยนต์ใหม่ในเดือนกรกฎาคม เป็นการเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ การปรับราคาน้ำมันสูงขึ้นยังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาซื้อรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
ในด้านการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์(CBU) จำนวน 191,180 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.85 โดยคิดเป็นมูลค่าการ ส่งออก 89,092.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.09 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกเพิ่มร้อยละ 33.10 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.84 โดยรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน มีปริมาณการส่งออกถึงร้อยละ 71 รถยนต์นั่งร้อยละ 28 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการส่งออกรถยนต์ทุกประเภทของไทย ทั้งนี้ วิกฤติราคาน้ำมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการส่งออกรถยนต์ของผู้ผลิตในประเทศ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเชีย และออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 17.54 และ 284.20 ตามลำดับ ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักรฯ และนิวซีแลนด์ มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 77.62, 37.21 และ 239.06 ตามลำดับ และตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัว ประมาณร้อยละ 14.94 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 176.23
การนำเข้ารถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 เปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 มีมูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.91 และ 115.61 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 23.30 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 133.16 ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการรถยนต์ประเภทนี้มีมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์โดยสารที่นำเข้ามาใช้ในกิจการขนส่งผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่รัฐบาลให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 28.58 รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.58 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น และเยอรมนี สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่ง ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 14,741 คัน โดยแบ่งเป็น รถยนต์ญี่ปุ่น 9,131 คัน รถยนต์เกาหลี 3,580 คัน รถยนต์ยุโรป 1,985 คัน และรถยนต์สหรัฐอเมริกา 45 คัน
อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคมากนัก ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2548 จะยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าราคาน้ำมันยังคงสูง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมีผลบ้างในการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค แต่จากภาพรวมของเศรษฐกิจของช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะยังคงขยายตัว และในช่วงปลายปี รัฐบาลจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับ ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงฤดูการขายรถยนต์ประจำปี ซึ่งจากปัจจัยบวกดังกล่าว และจากการพิจารณาตัวเลขภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วงครึ่งปีแรกด้วยแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ กล่าวคือ จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.10 ล้านคัน และมีการจำหน่ายในประเทศ 0.70 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 19.57 และ 12.90 ตามลำดับ
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 18.88 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 20.10 ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บข้อมูล โดยข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ในปี 2547 ได้รวม CBU และ CKD ไว้ด้วยกัน แต่ในปี 2548 จัดเก็บเฉพาะ CBU เท่านั้น จึงทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ทั้งสองช่วงเวลาดังกล่าวไม่สะท้อนภาวการณ์การผลิตที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ2.49 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 2.46 และ 3.06 ตามลำดับ
สำหรับการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีจำนวน 1,030,761 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 0.16 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.31 แต่รถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 17.87 ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99.32 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดในประเทศมากนัก แต่สำหรับตลาดส่งออกแล้ว เป็นที่ต้องการมากขึ้น เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34 แต่แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 14.69 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 2.35 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 2.32 และ 7.05 ตามลำดับ
ด้านการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) จำนวน 664,548 คัน( เป็นการส่งออก CBU ประมาณร้อยละ 11 และ CKD ประมาณร้อยละ 89 ) ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 65.65 โดยคิดเป็นมูลค่า 11,580.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.53 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.85 และคิดเป็นมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.90 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.06 และคิดเป็นมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.99 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 43.32, 376.94 และ 140.93 ตามลำดับ จากการที่ตลาดส่งออกในอาเซียนมีการขยายตัวสูงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มของการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย ผู้ผลิตส่งออกจักรยานยนต์ของไทยจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความนิยมของตลาด และยังได้มีการพัฒนากลยุทธ์ในการขยายตลาดในแถบนี้ โดยการจัดแหล่งเงินทุนให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้กับลูกค้าของจักรยานยนต์ไทยด้วย
สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 เปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 มีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.91 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 17.86 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 23.38 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และเยอรมนี
ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าประเทศไทยจะประสบปัญหาภัยแล้ง ภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรถจักรยานยนต์ของตลาดในประเทศยังมีมาก ผู้ผลิตมีการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดรถล้ำสมัย อุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรม และที่สำคัญ ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สำหรับด้านการส่งเสริมการตลาด ภายใต้ภาวการณ์แข่งขันสูง แต่ละค่ายรถจักรยานยนต์ได้พัฒนากลยุทธ์ในการส่งเสริมการจำหน่าย ทั้งด้านการพัฒนาผู้แทนจำหน่าย และการให้บริการสินเชื่อกับผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้ซื้อมีกำลังซื้อมากขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ขยายตัว แม้ว่าในขณะนี้ ระดับราคาน้ำมันยังคงสูง แต่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ดังนั้น รถจักรยานยนต์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดมากกว่ารถยนต์ ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2548 จะขยายตัวมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องมาจากช่วงปลายปีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์หลายๆ ค่ายมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีมูลค่า 33,695.73 และ 1,804.73 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 84.09 และ 37.48 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และ ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่า 5,100.94 และ 357.14 ตามลำดับ ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 20.35 และ 73.52 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยในปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่งออกเพิ่มขึ้น และลดการนำเข้าอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 89.59 และ 34.49 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 23.60 และ 32.56 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.06 และ 8.36 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.64 และ 52.95 ตามลำดับ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย,อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 3.79, 69.65, 164.88 และ 9.21 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 49.67 และ 68.51 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ข้างต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า ในปี 2548
การส่งออกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการได้ขยายการลงทุนและมีการผลิตเพื่อการส่งออกตามแนวโน้มการขยายตัวของการส่งออกรถยนต์ อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ผู้ผลิตไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งในขณะนี้ ภาครัฐและเอกชนกำลังเร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ UN-ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
ด้านการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีมูลค่า 62,619.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 7.05 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 2,922.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.83 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.81 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.86 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกปี 2548 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.88 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.04 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และ อินโดนีเชีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
1. รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 ซีซี. ขึ้นไป จะลดอัตราอากรขาเข้าลงปีละ ร้อยละ 5 จากอัตราร้อยละ 80 ในปัจจุบัน เป็นอัตรารัอยละ 75 ทันที(ปี 2549), ร้อยละ 70(ปี 2550), ร้อยละ 65(ปี 2551) และร้อยละ 60(ปี 2552) ตามลำดับ จากนั้นจะได้นำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้ง
2. รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี. จะยังไม่มีการลดภาษีศุลกากร
3. ชิ้นส่วนที่นำเข้ามาใช้ในการประกอบยานยนต์ในประเทศที่มีอัตราอากรขาเข้าในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 20 จะลดอัตราอากรขาเข้าลงเป็นร้อยละ 20 ทันที(ปี 2549) และยังคงอัตรานี้ไว้ต่อไปอีก 4 ปี จนถึงปีที่ 5 จะลดลงเป็นร้อยละ 0 (ปี 2554)
4. ชิ้นส่วนที่นำเข้ามาใช้ในการประกอบยานยนต์ในประเทศที่มีอัตราอากรขาเข้าในปัจจุบันร้อยละ 20 หรือน้อยกว่า จะจัดเก็บอัตราอากรเช่นเดิม และยังคงอัตรานั้นไว้ต่อไปอีก 4 ปี จนถึงปีที่ 5 จะลดลงเป็นร้อยละ 0 (ปี 2554)
5. เครื่องยนต์เบนซินสำเร็จรูปที่ใช้กับรถยนต์ ตั้งแต่ 250-1,000 ซีซี.(HS. 840733) และตั้งแต่ 1,000 ซีซี. ขึ้นไป (HS.840734) เครื่องยนต์ดีเซลสำเร็จรูปที่ใช้กับรถยนต์ (HS.840820) ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถยนต์ (HS.840991 และ 840999) จะลดอัตราอากรขาเข้าลงเป็นร้อยละ 0 ในปีที่ 7 (ปี2556)
อุตสาหกรรมรถยนต์
ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 517,417 คัน และ 345,902 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 15.85 และ 15.82 ตามลำดับ โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.79 และ 3.11 ตามลำดับ แต่การผลิตรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 12.99 ในส่วนการจำหน่ายรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.05 และ 8.50 ตามลำดับ แต่มีการจำหน่ายรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 10.53 ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และไม่ค่อยมีการนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่สำคัญทำให้การผลิตและจำหน่ายรถยนต์นั่งในช่วงครึ่งปีแรก 2548 หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีผลให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภครถยนต์ โดยหันไปนิยมรถยนต์ขนาดเล็กลงที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น สำหรับรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลได้มีนโยบายลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น พัฒนารูปแบบให้หรูหรา สะดวกสบาย นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์ประเภทนี้มีการแข่งขันกันสูง ส่งผลให้ผู้จำหน่ายแต่ละรายมีกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจผู้บริโภคให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของ ปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.16 และ 18.76 โดยมีการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.70 และ 14.85 ตามลำดับ แต่รถยนต์นั่งมีการผลิตลดลงร้อยละ 11.26 ในส่วนของการจำหน่าย รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.07 และ 9.34 ตามลำดับ แต่รถยนต์นั่งมีการจำหน่ายลดลงร้อยละ 1.53 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 ทั้งปริมาณการผลิต และการจำหน่าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.64 และ 7.76 ตามลำดับ โดยมีการผลิตทั้งรถยนต์นั่ง รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97, 8.09 และ 14.22 ตามลำดับ ในส่วนของการจำหน่ายทั้งรถยนต์นั่ง รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.91, 4.59 และ 16.31 ตามลำดับ ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้การผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสที่สองของปี 2548 ขยายตัวเล็กน้อยจากไตรมาสแรก มาจากการมีข่าวว่าค่ายรถยนต์จะปรับราคาขายรถยนต์ใหม่ในเดือนกรกฎาคม เป็นการเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ การปรับราคาน้ำมันสูงขึ้นยังส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาซื้อรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
ในด้านการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์(CBU) จำนวน 191,180 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.85 โดยคิดเป็นมูลค่าการ ส่งออก 89,092.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.09 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกเพิ่มร้อยละ 33.10 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.84 โดยรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน มีปริมาณการส่งออกถึงร้อยละ 71 รถยนต์นั่งร้อยละ 28 เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการส่งออกรถยนต์ทุกประเภทของไทย ทั้งนี้ วิกฤติราคาน้ำมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการส่งออกรถยนต์ของผู้ผลิตในประเทศ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเชีย และออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 17.54 และ 284.20 ตามลำดับ ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักรฯ และนิวซีแลนด์ มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 77.62, 37.21 และ 239.06 ตามลำดับ และตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัว ประมาณร้อยละ 14.94 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 176.23
การนำเข้ารถยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 เปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 มีมูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.91 และ 115.61 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 23.30 แต่รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 133.16 ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการรถยนต์ประเภทนี้มีมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์โดยสารที่นำเข้ามาใช้ในกิจการขนส่งผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่รัฐบาลให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 28.58 รถยนต์โดยสารและรถบรรทุกเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.58 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น และเยอรมนี สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่ง ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 14,741 คัน โดยแบ่งเป็น รถยนต์ญี่ปุ่น 9,131 คัน รถยนต์เกาหลี 3,580 คัน รถยนต์ยุโรป 1,985 คัน และรถยนต์สหรัฐอเมริกา 45 คัน
อุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคมากนัก ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2548 จะยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าราคาน้ำมันยังคงสูง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมีผลบ้างในการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค แต่จากภาพรวมของเศรษฐกิจของช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะยังคงขยายตัว และในช่วงปลายปี รัฐบาลจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับ ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงฤดูการขายรถยนต์ประจำปี ซึ่งจากปัจจัยบวกดังกล่าว และจากการพิจารณาตัวเลขภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วงครึ่งปีแรกด้วยแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะเป็นไปตามที่ประมาณการไว้ กล่าวคือ จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.10 ล้านคัน และมีการจำหน่ายในประเทศ 0.70 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 19.57 และ 12.90 ตามลำดับ
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 18.88 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีปริมาณการผลิตลดลงร้อยละ 20.10 ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บข้อมูล โดยข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ในปี 2547 ได้รวม CBU และ CKD ไว้ด้วยกัน แต่ในปี 2548 จัดเก็บเฉพาะ CBU เท่านั้น จึงทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ทั้งสองช่วงเวลาดังกล่าวไม่สะท้อนภาวการณ์การผลิตที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ2.49 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 2.46 และ 3.06 ตามลำดับ
สำหรับการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีจำนวน 1,030,761 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 0.16 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.31 แต่รถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 17.87 ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99.32 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดในประเทศมากนัก แต่สำหรับตลาดส่งออกแล้ว เป็นที่ต้องการมากขึ้น เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34 แต่แบบสปอร์ตลดลงร้อยละ 14.69 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 2.35 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต ลดลงร้อยละ 2.32 และ 7.05 ตามลำดับ
ด้านการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) จำนวน 664,548 คัน( เป็นการส่งออก CBU ประมาณร้อยละ 11 และ CKD ประมาณร้อยละ 89 ) ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 65.65 โดยคิดเป็นมูลค่า 11,580.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.53 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.85 และคิดเป็นมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.90 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.06 และคิดเป็นมูลค่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.99 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2547 ประมาณร้อยละ 43.32, 376.94 และ 140.93 ตามลำดับ จากการที่ตลาดส่งออกในอาเซียนมีการขยายตัวสูงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มของการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย ผู้ผลิตส่งออกจักรยานยนต์ของไทยจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความนิยมของตลาด และยังได้มีการพัฒนากลยุทธ์ในการขยายตลาดในแถบนี้ โดยการจัดแหล่งเงินทุนให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้กับลูกค้าของจักรยานยนต์ไทยด้วย
สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 เปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 2547 มีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 1.91 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 17.86 หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 23.38 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และเยอรมนี
ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงมีการขยายตัว แม้ว่าประเทศไทยจะประสบปัญหาภัยแล้ง ภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรถจักรยานยนต์ของตลาดในประเทศยังมีมาก ผู้ผลิตมีการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดรถล้ำสมัย อุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรม และที่สำคัญ ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สำหรับด้านการส่งเสริมการตลาด ภายใต้ภาวการณ์แข่งขันสูง แต่ละค่ายรถจักรยานยนต์ได้พัฒนากลยุทธ์ในการส่งเสริมการจำหน่าย ทั้งด้านการพัฒนาผู้แทนจำหน่าย และการให้บริการสินเชื่อกับผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้ซื้อมีกำลังซื้อมากขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ขยายตัว แม้ว่าในขณะนี้ ระดับราคาน้ำมันยังคงสูง แต่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ดังนั้น รถจักรยานยนต์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดมากกว่ารถยนต์ ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2548 จะขยายตัวมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องมาจากช่วงปลายปีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์หลายๆ ค่ายมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีมูลค่า 33,695.73 และ 1,804.73 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 84.09 และ 37.48 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และ ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่า 5,100.94 และ 357.14 ตามลำดับ ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 20.35 และ 73.52 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยในปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่งออกเพิ่มขึ้น และลดการนำเข้าอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 89.59 และ 34.49 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 23.60 และ 32.56 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกของปี 2548 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.06 และ 8.36 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.64 และ 52.95 ตามลำดับ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย,อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 3.79, 69.65, 164.88 และ 9.21 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 49.67 และ 68.51 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ข้างต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า ในปี 2548
การส่งออกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการได้ขยายการลงทุนและมีการผลิตเพื่อการส่งออกตามแนวโน้มการขยายตัวของการส่งออกรถยนต์ อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ผู้ผลิตไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งในขณะนี้ ภาครัฐและเอกชนกำลังเร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ UN-ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
ด้านการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ ในช่วงครึ่งปีแรก 2548 มีมูลค่า 62,619.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 2547 ร้อยละ 7.05 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 2,922.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.83 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สองของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.81 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.86 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สองกับไตรมาสแรกปี 2548 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.88 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.04 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานพาหนะของไทยที่สำคัญในช่วงครึ่งปีแรก 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และ อินโดนีเชีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-