ปชป. จี้ รัฐทบทวนนโยบายแก้ปัญหาใต้ :
เวลา 10.30 น. วันนี้ (2 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า จนถึงขณะนี้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายลง แต่ในทางตรงกันข้ามสถานการณ์กลับมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทั้งรูปแบบและเนื้อหา จะเห็นได้จากการฆ่าตัดคอชาวสวนยางที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อีกทั้งมีความพยายามที่จะก่อเกิดให้ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม
นายองอาจ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นถ้ารัฐบาลยังปล่อยปละละเลย ไม่เข้าไปดำเนินการ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ก็จะบานปลายออกไป ส่งผลกระทบไม่เฉพาะทางด้านความมั่นคงและการเมือง เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
‘สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์วิตกกังวลก็คือว่านายกฯได้แสดงออกมาถึงความไม่เข้าใจปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลยังไม่ทบทวนแนวทางในการแก้ไขปัญหา นายกฯก็จะอยู่ในอาการมึนอย่างที่บอกกับประชาชนต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด’ นายองอาจ กล่าวและว่า แนวทางที่รัฐบาลจะต้องทบทวนก็คือจุดยืนของนโยบายในการรักษาความสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศทางโลกมุสลิม ซึ่งรัฐบาลจะต้องไม่แสดงท่าทีที่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและนอกจากนี้รัฐบาลจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ดังเช่นที่ผบ.ทบ.ได้ส่งทีมล่าสังหารลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายองอาจ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในขณะนี้นั้นมีปัญหาอยู่ 3 ด้านที่รัฐบาลยังไม่สามารถเข้าไปจัดการได้คือ 1.รัฐบาลยังไม่สามารถเข้าไปเอาชนะจิตใจของประชาชนในพื้นที่ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลยังไม่สามารถสาวถึงตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุความไม่สงบได้ 2.ข้าราชการยังไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติและวิถิชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3.ความซับซ้อนของคณะทำงานหลายชุดที่ลงไปปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การประสานงานระหว่งหน่วยงานต่างๆยังมีปัญหาอยู่
นายองอาจ กล่าวว่า ในอีก 1 เดือนข้างหน้าถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ จะส่งผลกระทบกับภาพของเศรษฐกิจโดยรวมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ เพราะขณะนี้ได้มีตัวแทนนักธุรกิจเข้ามายื่นหนังสือร้องกับ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงกรณีที่ประชาชนได้ทยอยย้ายออกพื้นที่มากขึ้นด้วย
ด้านนายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีแนวโน้มจะลดลง และขณะนี้ได้มีการพัฒนาจากความขัดแย้งทางราชการไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง หากรัฐบาลไม่ถือทิฐิและไม่ถือว่าเป็นเรื่องการเมืองก็ให้กลับไปดูความเห็นและการอภิปรายของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ รัฐบาลก็จะพบทางออกของการแก้ปัญหาดังกล่าว
นายนริศ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้น เกิดจากการไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก อีกทั้งรัฐบาลให้น้ำหนักในการแก้ปัญหาโดยการโฆษณาเกินจริงในหลายกรณี จนบางคนในขณะนี้กลายเป็นนักรบหน้ากล้องไปแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลยังเป็นผู้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นเอง โดยเฉพาะกรณีการเจรจากับกลุ่มเบอร์ซาตู จนผู้ปฏิบัติไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง รวมถึงรัฐบาลควรจะย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความประสงค์จะขอย้ายออกนอกพื้นที่ และรับสมัครเจ้าหน้าที่ที่มีความสมัครใจไปอยู่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีการกระทำอย่างจริงจัง
‘การให้รัฐมนตรีบางคนลงไปพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การกีฬา เศรษฐกิจ รัฐบาลจะเลือกรัฐมนตรีคนใดนั้นเป็นการตัดสินใจของรัฐบาล แต่ถ้าภารกิจในการพัฒนาการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขอให้รัฐบาลได้เลือกรัฐมนตรีที่มีประวัติที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เงินซื้อเสียง เพราะจะทำให้โรคร้ายระบาดในภาคใต้’ นายนริศ กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
เวลา 10.30 น. วันนี้ (2 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า จนถึงขณะนี้สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายลง แต่ในทางตรงกันข้ามสถานการณ์กลับมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทั้งรูปแบบและเนื้อหา จะเห็นได้จากการฆ่าตัดคอชาวสวนยางที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อีกทั้งมีความพยายามที่จะก่อเกิดให้ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม
นายองอาจ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นถ้ารัฐบาลยังปล่อยปละละเลย ไม่เข้าไปดำเนินการ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ก็จะบานปลายออกไป ส่งผลกระทบไม่เฉพาะทางด้านความมั่นคงและการเมือง เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
‘สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์วิตกกังวลก็คือว่านายกฯได้แสดงออกมาถึงความไม่เข้าใจปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลยังไม่ทบทวนแนวทางในการแก้ไขปัญหา นายกฯก็จะอยู่ในอาการมึนอย่างที่บอกกับประชาชนต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด’ นายองอาจ กล่าวและว่า แนวทางที่รัฐบาลจะต้องทบทวนก็คือจุดยืนของนโยบายในการรักษาความสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศทางโลกมุสลิม ซึ่งรัฐบาลจะต้องไม่แสดงท่าทีที่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและนอกจากนี้รัฐบาลจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ดังเช่นที่ผบ.ทบ.ได้ส่งทีมล่าสังหารลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายองอาจ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในขณะนี้นั้นมีปัญหาอยู่ 3 ด้านที่รัฐบาลยังไม่สามารถเข้าไปจัดการได้คือ 1.รัฐบาลยังไม่สามารถเข้าไปเอาชนะจิตใจของประชาชนในพื้นที่ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลยังไม่สามารถสาวถึงตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุความไม่สงบได้ 2.ข้าราชการยังไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติและวิถิชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3.ความซับซ้อนของคณะทำงานหลายชุดที่ลงไปปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การประสานงานระหว่งหน่วยงานต่างๆยังมีปัญหาอยู่
นายองอาจ กล่าวว่า ในอีก 1 เดือนข้างหน้าถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ จะส่งผลกระทบกับภาพของเศรษฐกิจโดยรวมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ เพราะขณะนี้ได้มีตัวแทนนักธุรกิจเข้ามายื่นหนังสือร้องกับ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงกรณีที่ประชาชนได้ทยอยย้ายออกพื้นที่มากขึ้นด้วย
ด้านนายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีแนวโน้มจะลดลง และขณะนี้ได้มีการพัฒนาจากความขัดแย้งทางราชการไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง หากรัฐบาลไม่ถือทิฐิและไม่ถือว่าเป็นเรื่องการเมืองก็ให้กลับไปดูความเห็นและการอภิปรายของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ รัฐบาลก็จะพบทางออกของการแก้ปัญหาดังกล่าว
นายนริศ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้น เกิดจากการไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก อีกทั้งรัฐบาลให้น้ำหนักในการแก้ปัญหาโดยการโฆษณาเกินจริงในหลายกรณี จนบางคนในขณะนี้กลายเป็นนักรบหน้ากล้องไปแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลยังเป็นผู้สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นเอง โดยเฉพาะกรณีการเจรจากับกลุ่มเบอร์ซาตู จนผู้ปฏิบัติไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง รวมถึงรัฐบาลควรจะย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความประสงค์จะขอย้ายออกนอกพื้นที่ และรับสมัครเจ้าหน้าที่ที่มีความสมัครใจไปอยู่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีการกระทำอย่างจริงจัง
‘การให้รัฐมนตรีบางคนลงไปพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การกีฬา เศรษฐกิจ รัฐบาลจะเลือกรัฐมนตรีคนใดนั้นเป็นการตัดสินใจของรัฐบาล แต่ถ้าภารกิจในการพัฒนาการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขอให้รัฐบาลได้เลือกรัฐมนตรีที่มีประวัติที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เงินซื้อเสียง เพราะจะทำให้โรคร้ายระบาดในภาคใต้’ นายนริศ กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-