แท็ก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เอนก เหล่าธรรมทัศน์
บัญญัติ บรรทัดฐาน
พรรคประชาธิปัตย์
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (6 มิ.ย.) พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดโครงการ “ประชาธิปัตย์พบประชาชน”ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีระดับแกนนำของพรรค อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายไพฑูรย์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค มาร่วม ทั้งนี้มีประชาชนจ.เชียงใหม่และจ.ใกล้เคียงได้เดินทางมาร่วมรับฟังจำนวนมากกว่า 7 พันคน
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในหัวข้อ “หนทางที่ดีกว่า สู่อนาคตที่มั่นคง”ว่า สิ่งที่จะสะท้อนว่าเศรษฐกิจของประชาชนจะดีขึ้นหรือไม่มี 4 เรื่องคือ 1.ภาวะการมีงานทำ ประชาชนว่างงานหรือไม่จบแล้วมีงานหรือไม่ 2.การมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ 3. มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่ และ4.ภาวะการออมของคนทั้งประเทศ มีเงินเก็บหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องการศึกษาถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลนี้ที่ล้มเหลวมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ตั้ง น.พ.เกษม วัฒนชัย เข้ามาเป็นรมว.ศึกษา เพราะเป็นคนที่มีความเหมาะสม มีความรู้ ทำท่าว่าจะไปได้ดีได้สวย เพราะเข้าใจระบบการศึกษา แต่อยู่ได้เพียง 4 เดือน เพราะทำท่าว่าจะเข้าใจมากเกินไป ดังนั้นนายกฯจึงสนใจเข้ามารับหน้าที่เอง แต่เมื่อเห็นพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในฐานะรมว.ศึกษาได้ อยู่ได้เพียง 4 เดือนก็กระโดดหนี ทั้งนี้รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาโดยพิจารณาได้จากตัวเลขงบประมาณที่ลดลงในทุกปี ก่อนหน้านี้ได้จัดงบประมาณให้ด้านการศึกษาถึงร้อยละ 44 แต่ในปี 2545 ได้งบประมาณลดลงเหลือร้อยละ 17.7 ปี 2546 ลดลงเหลือร้อยละ 15.9 และปี 2547 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น
‘ไม่ว่ารถสิบล้อคันนั้นจะขับไปทางไหนก็แล้วแต่ บัดนี้ทางที่ดีที่สุดของพี่น้องประชาชน ตัดสินใจลงจากรถสิบล้อคันนั้นเถอะ และกลับมาขึ้นรถสิบล้ออีกคัน ซึ่งผมขอยืนยันว่ารถสิบล้อคันนี้จะนำพาประชาชนทั้งประเทศที่นั่งอยู่บนรัฐยานยนต์คันนี้ไปสู่ความถูกต้องเป็นธรรม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีผลประโยชน์ของพวกพ้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน’นายบัญญัติ กล่าว
ด้านนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รองหัวหน้าพรรค ได้ขึ้นเวที อภิปรายถึงความล้มเหลวของนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล โดยนายเอนก กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะต่อสู้กับพรรคไทยรักไทยด้วยนโยบายที่ดีกว่า โดยขณะนี้รัฐบาลจ่ายงบประมาณด้านการศึกษาให้คนไทยทั้งประเทศคิดเป็น 6.8% แต่พรรคประชาธิปัตย์มีแนวคิดที่จะเพิ่มรายได้อีก 8 — 10 %โดยจะเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนเด็กที่ขาดโอกาสด้านการศึกษาระดับพื้นฐานประมาณ 1 ล้านคน และระดับอุดมศึกษาอีก 4 ล้านคน
นายอนก กล่าวว่า สำหรับโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาที่พรรคประชาธิปัตย์ริเริ่มไว้สมัยรัฐบาลนายกฯชวนนั้น ผลการสำรวจปรากฏว่าประชาชนชื่นชอบมากกว่าโครงการ 30 บาทของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งปี2541 มีผู้กู้ยืม 2 หมื่นล้านบาท แต่ปี2546พบว่ามีผู้กู้เพิ่มขึ้น 1.4 — 1.5 แสนล้านบาท จึงถือว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ส่วนนโยบายที่พรรคไทยรักไทยประกาศจะให้เรียนฟรีนั้น ประชาชนยังคลางแคลงใจอยู่ว่าเรียนฟรีจริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันประชาชนยังต้องแบกภาระค่าแป๊ะเจี๊ยะประมาณ 5พัน — 1หมื่นบาทต่อคน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการละเลยด้านการศึกษาของรัฐบาลอย่างชัดเจน
ในขณะที่นายสนั่น สุธากุล ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากคนโง่และจนเข้ามามีอำนาจก็น่ากลัว แต่ไม่น่ากลัวเท่าคนที่เก่ง รวยและมีอำนาจที่จะโกงอย่างน่ากลัว จะกินบ้านกินเมือง โดยที่ประชาชนไม่รู้ ซึ่งวันนี้ตนจะขอเล่านิทานเรื่องเด็ก 3 คน ภาคสวรรค์บ้าง จากที่เคยเล่าในสภาซึ่งเป็นภาคบนดิน โดยเป็นเรื่องของจอมเทวดาที่มีลูก 3 คน ซึ่งลูกคนแรกส่งไปเรียนที่สำนักพระรามก็มีปัญหา ถูกจับได้ว่าพกโพยเข้าไปในห้องสอบ สำหรับลูกคนที่ 2 ส่งไปเรียนที่สำนักกสิกรรม สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องสอบเอ็นทรานซ์เพราะเป็นการเข้าเรียนในภาคพิเศษ ต่อมาใช้เทคนิคเปลี่ยนจากภาคพิเศษเป็นภาคปกติ ขอลบประวัติที่เรียนในภาคพิเศษออกหมด เพราะคะแนนภาคปกติสายสังคมจะสูงกว่า รวมทั้งยังมีการแก้ระเบียบหลักเกณฑ์ที่ทำให้ลูกได้เกียรตินิยม ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่สำนักกสิกรรมหนักใจกันอย่างมาก
‘ส่วนลูกคนที่ 3 อยากให้เรียนสำนักจุฬา แต่ก็ไม่มั่นใจในตัวลูก จึงได้ส่งคนไปเอาข้อสอบ เมื่อคนสงสัยก็เรียกร้องให้สภาเทวดาตรวจสอบ แต่จอมเทวดาก็ไม่ยอม ก็ตั้งคนของตัวเองไปสอบ คนก็ไม่เชื่อจึงต้องเอาปรมาจารย์ที่เทวดาเชื่อใจไปสอบ เมื่อปรมาจารย์สอบเสร็จ เสนาบดีของจอมเทวดาก็ออกมาบอกอีกว่าไม่รั่ว แต่ปรมาจารย์ไม่ยอม ออกมาบอกว่าเสนาบดีพูดแค่บางส่วน และมีข้อพิรุธมากมายที่ทิ้ง ไม่ได้นำมาเปิดเผย ดังนั้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าจอมเทวดานอกจากจะเอาเปรียบสังคมเทวดาด้วยกันแล้วยังโกงลูกโกงหลานเทวดาด้วยกันอีก ตอนนี้เหล่าเทวดาก็เห็นว่าควรจะถีบให้ตกสวรรค์ได้แล้ว ซึ่งเทวดาคนนี้ก็ละม้ายคล้ายกับนายกฯของเราเหลือเกิน และก่อนที่เทวดาคนนี้จะตกสวรรค์เราควรจะกระชากคนขับรถที่นายอภิสิทธิ์พูดไว้ลงจากรถก่อนที่รถจะตกเหวหรือไม่ ซึ่งวิธีกระชากคนขับรถคนนี้ลงจากรถให้ได้ก็คือการเลือกตั้งครั้งหน้าให้เลือกพรรคประชชาธิปัตย์ทั้งแบบระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ’ นายสนั่น กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในหัวข้อ “หนทางที่ดีกว่า สู่อนาคตที่มั่นคง”ว่า สิ่งที่จะสะท้อนว่าเศรษฐกิจของประชาชนจะดีขึ้นหรือไม่มี 4 เรื่องคือ 1.ภาวะการมีงานทำ ประชาชนว่างงานหรือไม่จบแล้วมีงานหรือไม่ 2.การมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ 3. มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่ และ4.ภาวะการออมของคนทั้งประเทศ มีเงินเก็บหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องการศึกษาถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลนี้ที่ล้มเหลวมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ตั้ง น.พ.เกษม วัฒนชัย เข้ามาเป็นรมว.ศึกษา เพราะเป็นคนที่มีความเหมาะสม มีความรู้ ทำท่าว่าจะไปได้ดีได้สวย เพราะเข้าใจระบบการศึกษา แต่อยู่ได้เพียง 4 เดือน เพราะทำท่าว่าจะเข้าใจมากเกินไป ดังนั้นนายกฯจึงสนใจเข้ามารับหน้าที่เอง แต่เมื่อเห็นพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในฐานะรมว.ศึกษาได้ อยู่ได้เพียง 4 เดือนก็กระโดดหนี ทั้งนี้รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาโดยพิจารณาได้จากตัวเลขงบประมาณที่ลดลงในทุกปี ก่อนหน้านี้ได้จัดงบประมาณให้ด้านการศึกษาถึงร้อยละ 44 แต่ในปี 2545 ได้งบประมาณลดลงเหลือร้อยละ 17.7 ปี 2546 ลดลงเหลือร้อยละ 15.9 และปี 2547 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น
‘ไม่ว่ารถสิบล้อคันนั้นจะขับไปทางไหนก็แล้วแต่ บัดนี้ทางที่ดีที่สุดของพี่น้องประชาชน ตัดสินใจลงจากรถสิบล้อคันนั้นเถอะ และกลับมาขึ้นรถสิบล้ออีกคัน ซึ่งผมขอยืนยันว่ารถสิบล้อคันนี้จะนำพาประชาชนทั้งประเทศที่นั่งอยู่บนรัฐยานยนต์คันนี้ไปสู่ความถูกต้องเป็นธรรม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่มีผลประโยชน์ของพวกพ้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน’นายบัญญัติ กล่าว
ด้านนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รองหัวหน้าพรรค ได้ขึ้นเวที อภิปรายถึงความล้มเหลวของนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล โดยนายเอนก กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะต่อสู้กับพรรคไทยรักไทยด้วยนโยบายที่ดีกว่า โดยขณะนี้รัฐบาลจ่ายงบประมาณด้านการศึกษาให้คนไทยทั้งประเทศคิดเป็น 6.8% แต่พรรคประชาธิปัตย์มีแนวคิดที่จะเพิ่มรายได้อีก 8 — 10 %โดยจะเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนเด็กที่ขาดโอกาสด้านการศึกษาระดับพื้นฐานประมาณ 1 ล้านคน และระดับอุดมศึกษาอีก 4 ล้านคน
นายอนก กล่าวว่า สำหรับโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาที่พรรคประชาธิปัตย์ริเริ่มไว้สมัยรัฐบาลนายกฯชวนนั้น ผลการสำรวจปรากฏว่าประชาชนชื่นชอบมากกว่าโครงการ 30 บาทของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งปี2541 มีผู้กู้ยืม 2 หมื่นล้านบาท แต่ปี2546พบว่ามีผู้กู้เพิ่มขึ้น 1.4 — 1.5 แสนล้านบาท จึงถือว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ส่วนนโยบายที่พรรคไทยรักไทยประกาศจะให้เรียนฟรีนั้น ประชาชนยังคลางแคลงใจอยู่ว่าเรียนฟรีจริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันประชาชนยังต้องแบกภาระค่าแป๊ะเจี๊ยะประมาณ 5พัน — 1หมื่นบาทต่อคน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการละเลยด้านการศึกษาของรัฐบาลอย่างชัดเจน
ในขณะที่นายสนั่น สุธากุล ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากคนโง่และจนเข้ามามีอำนาจก็น่ากลัว แต่ไม่น่ากลัวเท่าคนที่เก่ง รวยและมีอำนาจที่จะโกงอย่างน่ากลัว จะกินบ้านกินเมือง โดยที่ประชาชนไม่รู้ ซึ่งวันนี้ตนจะขอเล่านิทานเรื่องเด็ก 3 คน ภาคสวรรค์บ้าง จากที่เคยเล่าในสภาซึ่งเป็นภาคบนดิน โดยเป็นเรื่องของจอมเทวดาที่มีลูก 3 คน ซึ่งลูกคนแรกส่งไปเรียนที่สำนักพระรามก็มีปัญหา ถูกจับได้ว่าพกโพยเข้าไปในห้องสอบ สำหรับลูกคนที่ 2 ส่งไปเรียนที่สำนักกสิกรรม สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องสอบเอ็นทรานซ์เพราะเป็นการเข้าเรียนในภาคพิเศษ ต่อมาใช้เทคนิคเปลี่ยนจากภาคพิเศษเป็นภาคปกติ ขอลบประวัติที่เรียนในภาคพิเศษออกหมด เพราะคะแนนภาคปกติสายสังคมจะสูงกว่า รวมทั้งยังมีการแก้ระเบียบหลักเกณฑ์ที่ทำให้ลูกได้เกียรตินิยม ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่สำนักกสิกรรมหนักใจกันอย่างมาก
‘ส่วนลูกคนที่ 3 อยากให้เรียนสำนักจุฬา แต่ก็ไม่มั่นใจในตัวลูก จึงได้ส่งคนไปเอาข้อสอบ เมื่อคนสงสัยก็เรียกร้องให้สภาเทวดาตรวจสอบ แต่จอมเทวดาก็ไม่ยอม ก็ตั้งคนของตัวเองไปสอบ คนก็ไม่เชื่อจึงต้องเอาปรมาจารย์ที่เทวดาเชื่อใจไปสอบ เมื่อปรมาจารย์สอบเสร็จ เสนาบดีของจอมเทวดาก็ออกมาบอกอีกว่าไม่รั่ว แต่ปรมาจารย์ไม่ยอม ออกมาบอกว่าเสนาบดีพูดแค่บางส่วน และมีข้อพิรุธมากมายที่ทิ้ง ไม่ได้นำมาเปิดเผย ดังนั้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าจอมเทวดานอกจากจะเอาเปรียบสังคมเทวดาด้วยกันแล้วยังโกงลูกโกงหลานเทวดาด้วยกันอีก ตอนนี้เหล่าเทวดาก็เห็นว่าควรจะถีบให้ตกสวรรค์ได้แล้ว ซึ่งเทวดาคนนี้ก็ละม้ายคล้ายกับนายกฯของเราเหลือเกิน และก่อนที่เทวดาคนนี้จะตกสวรรค์เราควรจะกระชากคนขับรถที่นายอภิสิทธิ์พูดไว้ลงจากรถก่อนที่รถจะตกเหวหรือไม่ ซึ่งวิธีกระชากคนขับรถคนนี้ลงจากรถให้ได้ก็คือการเลือกตั้งครั้งหน้าให้เลือกพรรคประชชาธิปัตย์ทั้งแบบระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ’ นายสนั่น กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-