เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (6 มิ.ย.47) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยจะออกเอกสารจับเท็จ 80 โกหกพรรคประชาธิปัตย์นั้นว่า กรณีดังกล่าวคงเป็นการที่จะเบี่ยงเบนประเด็นที่ไม่สามารถตอบโต้และชี้แจงข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์ในสภาฯได้ จึงมีความพยายามที่จะโยงให้เห็นว่าคำอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมานั้นเป็นคำอภิปรายที่เป็นเท็จ
‘ขอยืนยันว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาอภิปรายนั้นไม่มีข้อมูลใดที่เป็นข้อมูลเท็จแต่อย่างใด ข้อมูลที่นำมาได้มีการกลั่นกรองแล้วเป็นอย่างดี’ นายองอาจ กล่าวและว่า ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยควรจะไปจับเท็จรัฐมนตรีของพรรคซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่หรือชี้แจงในเรื่องที่เป็นเท็จหลายเรื่องต่อประชาชน ทั้งในและนอกสภาฯอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสิ่งที่เห็นชัดเจนคือคำกล่าวของนายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ ในปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว
ส่วนกรณีที่กลุ่มวาดะห์พรรคไทยรักไทยจะจัดทำวีซีดี 10,000 แผ่นโดยกล่าวถึงกรณีปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ระบุว่า ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯและดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม ได้มีการเซ็นสัญญาลับกับอเมริกาตั้งหน่วยงานของซีไอเอในประเทศไทยโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายองอาจ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวน่าจะเป็นการกลบเกลื่อนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพยายามนำคำพูดของพล.อ.ชวลิตในสภาฯ อย่างมีเลศนัย อย่างเคลือบแคลง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชนไปเผยแพร่ ซึ่งตนคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พล.อ.ชวลิตพูดดังกล่าว
นายองอาจ ยังได้กล่าวชี้แจงว่า ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่มีการเซ็นสัญญาลับใดๆและไม่มีการตั้งหน่วยงานลับใดๆในประเทศไทย นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่าหน่วยงานดังกล่าวจัดตั้งเมื่อต้นปี 2544 และในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลรักษาการณ์ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นในเมื่อ พล.อ.ชวลิตเป็นผู้หยิบยกขึ้นมาถึงหน่วยงานดังกล่าวที่เรียกว่า Counter Terrorism Intelligence Center หรือ CTIC ในการอภิปรายเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2547 ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็อยากจะทราบถึงความชัดเจนในการจัดตั้งองค์กรนี้เช่นกัน เพราะทางพรรคก็เพิ่งจะทราบว่ามีการจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาก็จากคำพูดของพล.อ.ชวลิตนั่นเอง อีกทั้งยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่จะเป็นสาเหตุของความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และนอกจากนี้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 6 เดือนนั้นเป็นเพราะการดำเนินนโยบายของรัฐบาลนี้ที่ผิดพลาดมาตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล ส่งผลให้การปฏิบัติเกิดความผิดพลาดตลอดมา
‘นโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลโดยเฉพาะการยุบหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้การทำงานด้านการข่าวของรัฐบาลในสมัยนี้มีความอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่ได้สามารถทำงานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ได้’ นายองอาจ กล่าวและว่า ตนอยากฝากเตือนไปถึงพล.อ.ชวลิตว่า ควรควบคุมดูแลคนในกลุ่มของท่านว่าอย่าได้ไปกระทำการใดๆที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับมิตรประเทศของไทย พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่าคำพูดดังกล่าวของพล.อ.ชวลิตนั้นเพื่อเป็นการตอบโต้ทางการเมือง เพื่อเอาตัวรอดทางการเมือง แต่ท่านก็ควรจะทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้กล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ในระยะหลังมีข่าวปรากฎอยู่บ่อยครั้งว่าหน่วยข่าวกรองของไทยได้ออกมาแจ้งเตือนให้ระวังเรื่องต่างๆที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะล่าสุดที่หน่วยข่าวกรองออกมาแจ้งเตือนให้ระวังการแก้แค้นของกลุ่มก่อความไม่สงบในวันที่ 15 มิ.ย.ที่ตรงกับวันชาติของรัฐปัตตานีนี้ ว่า การออกมาแจ้งเตือนในลักษณะนี้ไม่ว่าจะเป็นเจตนาหรือจุดประสงค์ใดของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ตนอยากจะฝากให้รัฐบาลควรมีความระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังประเมินว่าในระยะหลังการที่มีรายงานลักษณะดังกล่าวจากหน่วยข่าวกรองนั้น น่าจะเป็นเพราะหน่วยข่าวกรองพยายามที่จะชี้ให้สังคมเห็นล่วงหน้าว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้สังคมมีความรู้สึกว่าหน่วยข่าวกรองได้ทำหน้าที่แล้ว ซึ่งตนคิดว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง การกระทำดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจรวมถึงจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยข่าวกรองควรจะทำคือรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาในทุกวิถีทางมากกว่าการออกข่าวมาในลักษณะนี้
สำหรับกรณีที่นายโดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวที่ประเทศสิงคโปร์ว่าต้องการให้มีการส่งกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่แถบอาเซียนเพื่อดูแลความไม่สงบ ซึ่งย่อมหมายรวมถึงประเทศด้วยและขณะเดียวกันรมว.มหาดไทยก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ไทยคงไม่สามารถที่จะปล่อยให้มีกองกำลังทหารต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในกรณีนี้ได้ นั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก่อนที่รมว.มหาดไทยจะให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ไม่ทราบว่าท่านได้รับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนทั้งหมดหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงขณะนี้พบว่ามีการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการที่อาจจะมีความพยายามที่จะให้มีหน่วยงานบางหน่วยหรืออาจจะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนที่อาจจะเข้ามาทำงานในลักษณะต่อต้านการก่อการร้าย เพราะฉะนั้นการจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยของหน่วยงานต่างชาตินอกเหนือพื้นที่ที่ได้รับสิทธิพิเศษของประเทศนั้น รัฐบาลไทยพึงจะต้องระมัดระวังเช่นเดียวกันเพราะปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่ยากจะปิดบังความเคลื่อนไหวใดๆได้ ถึงแม้การเคลื่อนไหวนั้นๆรัฐบาลหรือคู่พันธสัญญากับรัฐบาลจะมีเป้าประสงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย แต่อาจจะทำให้ประเทศไทยเสียสมดุลในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่างๆในโลกโดยเฉพาะประเทศที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ในขณะนี้ เช่น กลุ่มประเทศมุสลิมบางประเทศและประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
‘พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการดำเนินการใดๆในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ แต่การดำเนินการนั้นๆต้องระมัดระวังและพึงสังวรณ์ด้วยเช่นกัน แต่ทางพรรคไม่เห็นด้วยที่จะให้มีกองกำลังใดๆของต่างชาติเข้ามาปฏิบัติการณ์ในประเทศไทยโดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ แต่ควรจะใช้กระบวนการประชาธิปไตย เช่น เปลี่ยนแปลงรัฐบาลผ่านการเลือกตั้ง’ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
‘ขอยืนยันว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาอภิปรายนั้นไม่มีข้อมูลใดที่เป็นข้อมูลเท็จแต่อย่างใด ข้อมูลที่นำมาได้มีการกลั่นกรองแล้วเป็นอย่างดี’ นายองอาจ กล่าวและว่า ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยควรจะไปจับเท็จรัฐมนตรีของพรรคซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่หรือชี้แจงในเรื่องที่เป็นเท็จหลายเรื่องต่อประชาชน ทั้งในและนอกสภาฯอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสิ่งที่เห็นชัดเจนคือคำกล่าวของนายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ ในปัญหาข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว
ส่วนกรณีที่กลุ่มวาดะห์พรรคไทยรักไทยจะจัดทำวีซีดี 10,000 แผ่นโดยกล่าวถึงกรณีปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ระบุว่า ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯและดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม ได้มีการเซ็นสัญญาลับกับอเมริกาตั้งหน่วยงานของซีไอเอในประเทศไทยโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายองอาจ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวน่าจะเป็นการกลบเกลื่อนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพยายามนำคำพูดของพล.อ.ชวลิตในสภาฯ อย่างมีเลศนัย อย่างเคลือบแคลง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชนไปเผยแพร่ ซึ่งตนคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พล.อ.ชวลิตพูดดังกล่าว
นายองอาจ ยังได้กล่าวชี้แจงว่า ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่มีการเซ็นสัญญาลับใดๆและไม่มีการตั้งหน่วยงานลับใดๆในประเทศไทย นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่าหน่วยงานดังกล่าวจัดตั้งเมื่อต้นปี 2544 และในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลรักษาการณ์ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นในเมื่อ พล.อ.ชวลิตเป็นผู้หยิบยกขึ้นมาถึงหน่วยงานดังกล่าวที่เรียกว่า Counter Terrorism Intelligence Center หรือ CTIC ในการอภิปรายเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2547 ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็อยากจะทราบถึงความชัดเจนในการจัดตั้งองค์กรนี้เช่นกัน เพราะทางพรรคก็เพิ่งจะทราบว่ามีการจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาก็จากคำพูดของพล.อ.ชวลิตนั่นเอง อีกทั้งยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่จะเป็นสาเหตุของความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และนอกจากนี้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 6 เดือนนั้นเป็นเพราะการดำเนินนโยบายของรัฐบาลนี้ที่ผิดพลาดมาตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล ส่งผลให้การปฏิบัติเกิดความผิดพลาดตลอดมา
‘นโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลโดยเฉพาะการยุบหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้การทำงานด้านการข่าวของรัฐบาลในสมัยนี้มีความอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่ได้สามารถทำงานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ได้’ นายองอาจ กล่าวและว่า ตนอยากฝากเตือนไปถึงพล.อ.ชวลิตว่า ควรควบคุมดูแลคนในกลุ่มของท่านว่าอย่าได้ไปกระทำการใดๆที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับมิตรประเทศของไทย พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่าคำพูดดังกล่าวของพล.อ.ชวลิตนั้นเพื่อเป็นการตอบโต้ทางการเมือง เพื่อเอาตัวรอดทางการเมือง แต่ท่านก็ควรจะทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้กล่าวถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ในระยะหลังมีข่าวปรากฎอยู่บ่อยครั้งว่าหน่วยข่าวกรองของไทยได้ออกมาแจ้งเตือนให้ระวังเรื่องต่างๆที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะล่าสุดที่หน่วยข่าวกรองออกมาแจ้งเตือนให้ระวังการแก้แค้นของกลุ่มก่อความไม่สงบในวันที่ 15 มิ.ย.ที่ตรงกับวันชาติของรัฐปัตตานีนี้ ว่า การออกมาแจ้งเตือนในลักษณะนี้ไม่ว่าจะเป็นเจตนาหรือจุดประสงค์ใดของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ตนอยากจะฝากให้รัฐบาลควรมีความระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังประเมินว่าในระยะหลังการที่มีรายงานลักษณะดังกล่าวจากหน่วยข่าวกรองนั้น น่าจะเป็นเพราะหน่วยข่าวกรองพยายามที่จะชี้ให้สังคมเห็นล่วงหน้าว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้สังคมมีความรู้สึกว่าหน่วยข่าวกรองได้ทำหน้าที่แล้ว ซึ่งตนคิดว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง การกระทำดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจรวมถึงจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยข่าวกรองควรจะทำคือรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาในทุกวิถีทางมากกว่าการออกข่าวมาในลักษณะนี้
สำหรับกรณีที่นายโดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวที่ประเทศสิงคโปร์ว่าต้องการให้มีการส่งกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่แถบอาเซียนเพื่อดูแลความไม่สงบ ซึ่งย่อมหมายรวมถึงประเทศด้วยและขณะเดียวกันรมว.มหาดไทยก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ไทยคงไม่สามารถที่จะปล่อยให้มีกองกำลังทหารต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในกรณีนี้ได้ นั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก่อนที่รมว.มหาดไทยจะให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ไม่ทราบว่าท่านได้รับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนทั้งหมดหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงขณะนี้พบว่ามีการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการที่อาจจะมีความพยายามที่จะให้มีหน่วยงานบางหน่วยหรืออาจจะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนที่อาจจะเข้ามาทำงานในลักษณะต่อต้านการก่อการร้าย เพราะฉะนั้นการจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยของหน่วยงานต่างชาตินอกเหนือพื้นที่ที่ได้รับสิทธิพิเศษของประเทศนั้น รัฐบาลไทยพึงจะต้องระมัดระวังเช่นเดียวกันเพราะปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารที่ยากจะปิดบังความเคลื่อนไหวใดๆได้ ถึงแม้การเคลื่อนไหวนั้นๆรัฐบาลหรือคู่พันธสัญญากับรัฐบาลจะมีเป้าประสงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย แต่อาจจะทำให้ประเทศไทยเสียสมดุลในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่างๆในโลกโดยเฉพาะประเทศที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ในขณะนี้ เช่น กลุ่มประเทศมุสลิมบางประเทศและประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
‘พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการดำเนินการใดๆในการต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ แต่การดำเนินการนั้นๆต้องระมัดระวังและพึงสังวรณ์ด้วยเช่นกัน แต่ทางพรรคไม่เห็นด้วยที่จะให้มีกองกำลังใดๆของต่างชาติเข้ามาปฏิบัติการณ์ในประเทศไทยโดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ แต่ควรจะใช้กระบวนการประชาธิปไตย เช่น เปลี่ยนแปลงรัฐบาลผ่านการเลือกตั้ง’ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-