นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงมาตรการรณรงค์ประหยัดน้ำมันของรัฐบาลว่า การรณรงค์ดังกล่าวเป็นเหมือนการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยก่อนหน้านี้ 3 ปีรัฐบาล ได้ส่งสัญญาณที่ผิดพลาดมาตลอด โดยการเข้าไปตรึงราคาน้ำมันตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 ทำให้ตัวเลขการใช้น้ำมันสูงขึ้น จนทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศที่มีราคาสูงตามมา ถือเป็นแนวทางที่ผิดพลาดซึ่งวิเคราะห์ด้วยความไม่รอบคอบ มองจากปัจจัยของอุปสงค์ อุปทาน แต่ไม่มองความเสี่ยงเรื่องการก่อการร้าย หรือ จิตวิทยาประชาชน จนทำให้เกิดความผิดพลาด และกลายเป็นวิกฤติปัญหาซึ่งดูจะรุนแรงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เมื่อมาถึงขณะนี้ไม่มีหนทางอื่นอยู่ในสถานะหลังพิงกำแพงจึงต้องใช้วิธีนี้
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า วิธีการแก้ไขปัญหานั้นรัฐบาลจะต้องปรับนโยบายโดยการปรับเพดานการตรึงราคาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนและเศรษฐกิจ และเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนทั้งเอธานอล และไบโอดีเซล อย่างฉับพลันซึ่งหากเป็นเช่นนั้นภายใน 3 ปี จะมีพลังงานทดแทน 20% ของการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ส่วนมาตรการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานนั้นจะต้องไม่ทำอย่างไฟไหม้ฟาง ตีปี๊บเป็นครั้งๆ แต่จะต้องทำให้ประชาชนมีจิตสำนึก
‘ปัญหาวิกฤติพลังงานเป็นผลมาจากที่รัฐบาลใช้มาตราการตั้งรับในการแก้ปัญหา ไม่รับฟังข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ ไม่ใช้มาตราการเชิงรุกเอาชนะปัญหาโดยการผลิตพลังงาทดแทนอย่าง เอธานอล เพื่อลดภาระการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เพราะเห็นว่าเป็นเพียงผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วจนทำให้ไม่มีการพัฒนาไปเท่าที่ควร หากรัฐบาลใช้มาตรการเชิงรุกจะสามารถบรรเทาปัญหาเรื่องราคาน้ำมันได้’ นายอลงกรณ์ กล่าว
รองประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาฯ กล่าวว่า ส่วนที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าน้ำมันเพื่อจะได้ไม่ต้องอ้างอิงราคาจากประเทศสิงคโปร์นั้น เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีเคยแถลงหาเสียงไว้ตั้งแต่ ปี 2543 แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะประเทศไทยมีกำลังผลิตน้ำมันเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ ดังนั้น การอ้างอิงราคาการใช้ในประเทศจึงไม่ต้องไปขึ้นกับสิงคโปร์ จะต้องอิงเฉพาะการส่งออกน้ำมันเท่านั้น ซึ่งการจะทำให้เป็นไทยศูนย์กลางนั้นจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคซึ่งต้องใช้ความพยายามพอสมควร อย่างไรก็ตามในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ ทางคณะกรรมาธิการการพลังงาน รัฐสภา จะหารือกันถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า วิธีการแก้ไขปัญหานั้นรัฐบาลจะต้องปรับนโยบายโดยการปรับเพดานการตรึงราคาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนและเศรษฐกิจ และเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนทั้งเอธานอล และไบโอดีเซล อย่างฉับพลันซึ่งหากเป็นเช่นนั้นภายใน 3 ปี จะมีพลังงานทดแทน 20% ของการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ส่วนมาตรการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานนั้นจะต้องไม่ทำอย่างไฟไหม้ฟาง ตีปี๊บเป็นครั้งๆ แต่จะต้องทำให้ประชาชนมีจิตสำนึก
‘ปัญหาวิกฤติพลังงานเป็นผลมาจากที่รัฐบาลใช้มาตราการตั้งรับในการแก้ปัญหา ไม่รับฟังข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ ไม่ใช้มาตราการเชิงรุกเอาชนะปัญหาโดยการผลิตพลังงาทดแทนอย่าง เอธานอล เพื่อลดภาระการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เพราะเห็นว่าเป็นเพียงผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วจนทำให้ไม่มีการพัฒนาไปเท่าที่ควร หากรัฐบาลใช้มาตรการเชิงรุกจะสามารถบรรเทาปัญหาเรื่องราคาน้ำมันได้’ นายอลงกรณ์ กล่าว
รองประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาฯ กล่าวว่า ส่วนที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าน้ำมันเพื่อจะได้ไม่ต้องอ้างอิงราคาจากประเทศสิงคโปร์นั้น เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีเคยแถลงหาเสียงไว้ตั้งแต่ ปี 2543 แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะประเทศไทยมีกำลังผลิตน้ำมันเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ ดังนั้น การอ้างอิงราคาการใช้ในประเทศจึงไม่ต้องไปขึ้นกับสิงคโปร์ จะต้องอิงเฉพาะการส่งออกน้ำมันเท่านั้น ซึ่งการจะทำให้เป็นไทยศูนย์กลางนั้นจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคซึ่งต้องใช้ความพยายามพอสมควร อย่างไรก็ตามในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ ทางคณะกรรมาธิการการพลังงาน รัฐสภา จะหารือกันถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
โดยทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-