เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.47 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีการใช้พลังงานอื่นทดแทนน้ำมันว่า ภายใต้รัฐบาลนี้ไม่ยอมจะดำเนินการใช้เอธานอลเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันแม้แต่จะประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่แท้ที่จริง คิดเป็นวาระทางการเมืองตลอด โดยตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2543 ที่มีมีมติ ครม. ให้ดำเนินโครงการเอธานอล แล้วในเดือน ก.พ. 2544 ก็มีการตั้งคณะกรรมการเอธานอลแห่งชาติ ภายใต้ระเบียบสำนักนายกฯ เป็นต้นมา รัฐบาลนี้ก็ประกาศที่จะสานงานต่อจากรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยการที่จะผลิตพลังงานเอธาเนอลเป็นพลังงานหลักของประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง แต่ปรากฎว่า 3 ปี กว่า เพิ่งผลิตเอธานอลได้เพียง 25,000 ลิตร
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลนี้ได้พยายามกีดกัน ตนในฐานะที่ทราบเรื่องนี้ และก็ผลักดันเรื่องนี้มา ถูกปลดออกจากกรรมการเอธานอลแห่งชาติ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2544 ที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา และหลังจากนั้นก็มีแต่การสร้างภาพ โดยไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ในการผลักดันโครงการนี้ และทุกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติน้ำมัน ก็จะพูดเรื่องนี้เสียที่หนึ่ง
‘กรณีที่นายกฯขับรถ ไบโอดีเซล เมื่อปี 2545 ถามว่าวันนี้รถคันนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว วันนี้ยังไม่มีการผลิตไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์ แม้แต่ลิตรเดียว เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าท่านนายกฯและรัฐบาลนี้ควรจะจริงใจกับเรื่องการผลิตเอธานอลและไบโอดีเซลเสียที’ นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกฯจะเดินทางไปดูงานที่บราซิลนั้น ในความเป็นจริงประเทศบราซิลได้เริ่มผลิตเอธานอลตั้งแต่ปี 2517 และตนได้เสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งแต่ปี 2544 แล้วโดยได้รายงานท่านนายกฯตั้งแต่ เดือน มี.ค. 2544 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1ช.ม. โดยมีเลขาธิการนายกฯ ในขณะนั้นก็คือนพ.พรหมินทร์ รมว.พลังงานคนปัจจุบัน ซึ่งหากมีความจริงใจเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติคงไม่วิกฤติถึงขนาดนี้ ถ้าวันนั้นได้เริ่มดำเนินการ วันนี้เราสามารถผลิตพลังงานทดแทนเอธานอลและไบโอดีเซล ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของการใช้น้ำมันในปัจจุบันซึ่ง เท่ากับเป็นวงเงินไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ต่อ ปี และอยากฝากเป็นการบ้านให้นายกฯแม้จะเพิ่งตื่นจากหลับ หวังว่าจะไม่ดำเนินนโยบายเรื่องนี้เหมือนไฟไหม้ฟางหรือสร้างภาพเพราะว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ผิดพลาดในเรื่องนโยบายพลังงาน มันคือความเสียหายของประเทศชาติในอนาคต และความเสียโอกาสของประเทศชาติ ในระยะยาว
‘ผมคิดว่าถึงเวลาที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน จะต้องกล้าที่จะละเว้นผลประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่มโดยการปฏิรูปอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งระบบ ปฏิรูปกิจการไฟฟ้าทั้งระบบปลดแอก กฟผ.ให้พ้นจากข้อผูกพันที่ต้องซื้อน้ำมันเตาราคาแพงจากปตท. และจะต้องปฏิรูป การส่งเสริมการผลิตเอธานอลและไบโอดีเซล โดยที่ยุทธศาสตร์ ที่เราสามารถทำได้ภายใน 6 ปีนี้ หรือภายในปี 2010 นั้น ถ้ารัฐบาลเอาจริงเราสามารถจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่างๆได้ถึง 40 % หรือไม่น้อยกว่า 10,000 เมกะวัตส์ และเช่นเดียวกันเราสามารถจะผลิตน้ำมันเอธานอลและไบโอดีเซลได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของการใช้น้ำมันทั้งประเทศหรือวันละ 30 ล้านลิตร ซึ่งจะทำให้ประเทศของเรานั้น งดการน้ำเข้าน้ำมันซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าถึงปีละ 400,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ขาดดุลการค้า และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งตรงนี้ถ้าหากว่ารัฐบาลเปิดใจเปิดหูให้กว้างแล้วก็นำยุทธศาสตร์ 6 ปี ดังกล่าวที่ผมเสนอไปใช้นี้ ประเทศก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้ ถึง 40 % แล้วก็ภายใน 10 ปี เราก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้เกิน 50 %’ นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลที่นำเสนอเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา แทบจะไม่เกิดผลอะไรเลย มาตรการขอความร่วมมือในภาวะวิกฤติที่น้ำมันแพงที่สุดในรอบ 20 ปีนั้นมีแต่รัฐบาลประเทศไทยเท่านั้นที่ใช้มาตรการขอความร่วมมือ เป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ ที่จะเกิดการประหยัดการใช้น้ำมันในประเทศและรวมถึงข้อเสนอว่า จะมีการเพิ่มภาษี รถยนต์ที่มีกำลังเกิน 2500 ซีซี ก็ยังไม่มีผลอะไรที่เป็นผลเลย โดยกระทรวงการคลังก็บอกว่าคงอีกนาน เพราะต้องแก้ไขพ.ร.บ. ตนขอถามว่า และในกรณีที่ออกพ.ร.ก. แก้ไขภาษีสรรพษามิตสำหรับกิจการโทรคมนาคมทำไมแก้ไขได้ภายใน 1 วัน ที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของกลุ่มธุรกิจนายกฯ แต่ที่กิจการพลังงานและน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งกำลังมีผลกระทบวิกฤติต่อประเทศชาติ กับตัวผลกระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เลขาธิการพรรคทรท.มีผลประโยชน์ โดยตรงกับอุสาหกรรมดังกล่าวกับอ้างเป็นเหตุผลว่ายังดำเนินการไม่ได้ เพราะฉะนั้นตนคิดว่ารัฐบาลจะต้องแยกผลประโยชน์ส่วนตัวส่วนกลุ่มออกจาผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่อย่างนั้นเรื่องของการพัฒนาพลังงานทดแทนก็ดี การพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อเสนอตอบต่อการใช้พลังงานเอธานอลและไบโอดีเซลนั้น รวมถึงมาตรการประหยัดน้ำมันยากที่จะเกิดขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลนี้ได้พยายามกีดกัน ตนในฐานะที่ทราบเรื่องนี้ และก็ผลักดันเรื่องนี้มา ถูกปลดออกจากกรรมการเอธานอลแห่งชาติ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2544 ที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา และหลังจากนั้นก็มีแต่การสร้างภาพ โดยไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ในการผลักดันโครงการนี้ และทุกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติน้ำมัน ก็จะพูดเรื่องนี้เสียที่หนึ่ง
‘กรณีที่นายกฯขับรถ ไบโอดีเซล เมื่อปี 2545 ถามว่าวันนี้รถคันนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว วันนี้ยังไม่มีการผลิตไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์ แม้แต่ลิตรเดียว เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าท่านนายกฯและรัฐบาลนี้ควรจะจริงใจกับเรื่องการผลิตเอธานอลและไบโอดีเซลเสียที’ นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกฯจะเดินทางไปดูงานที่บราซิลนั้น ในความเป็นจริงประเทศบราซิลได้เริ่มผลิตเอธานอลตั้งแต่ปี 2517 และตนได้เสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งแต่ปี 2544 แล้วโดยได้รายงานท่านนายกฯตั้งแต่ เดือน มี.ค. 2544 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1ช.ม. โดยมีเลขาธิการนายกฯ ในขณะนั้นก็คือนพ.พรหมินทร์ รมว.พลังงานคนปัจจุบัน ซึ่งหากมีความจริงใจเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติคงไม่วิกฤติถึงขนาดนี้ ถ้าวันนั้นได้เริ่มดำเนินการ วันนี้เราสามารถผลิตพลังงานทดแทนเอธานอลและไบโอดีเซล ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของการใช้น้ำมันในปัจจุบันซึ่ง เท่ากับเป็นวงเงินไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ต่อ ปี และอยากฝากเป็นการบ้านให้นายกฯแม้จะเพิ่งตื่นจากหลับ หวังว่าจะไม่ดำเนินนโยบายเรื่องนี้เหมือนไฟไหม้ฟางหรือสร้างภาพเพราะว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ผิดพลาดในเรื่องนโยบายพลังงาน มันคือความเสียหายของประเทศชาติในอนาคต และความเสียโอกาสของประเทศชาติ ในระยะยาว
‘ผมคิดว่าถึงเวลาที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน จะต้องกล้าที่จะละเว้นผลประโยชน์ส่วนตัวและกลุ่มโดยการปฏิรูปอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งระบบ ปฏิรูปกิจการไฟฟ้าทั้งระบบปลดแอก กฟผ.ให้พ้นจากข้อผูกพันที่ต้องซื้อน้ำมันเตาราคาแพงจากปตท. และจะต้องปฏิรูป การส่งเสริมการผลิตเอธานอลและไบโอดีเซล โดยที่ยุทธศาสตร์ ที่เราสามารถทำได้ภายใน 6 ปีนี้ หรือภายในปี 2010 นั้น ถ้ารัฐบาลเอาจริงเราสามารถจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่างๆได้ถึง 40 % หรือไม่น้อยกว่า 10,000 เมกะวัตส์ และเช่นเดียวกันเราสามารถจะผลิตน้ำมันเอธานอลและไบโอดีเซลได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของการใช้น้ำมันทั้งประเทศหรือวันละ 30 ล้านลิตร ซึ่งจะทำให้ประเทศของเรานั้น งดการน้ำเข้าน้ำมันซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าถึงปีละ 400,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ขาดดุลการค้า และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งตรงนี้ถ้าหากว่ารัฐบาลเปิดใจเปิดหูให้กว้างแล้วก็นำยุทธศาสตร์ 6 ปี ดังกล่าวที่ผมเสนอไปใช้นี้ ประเทศก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้ ถึง 40 % แล้วก็ภายใน 10 ปี เราก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้เกิน 50 %’ นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลที่นำเสนอเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา แทบจะไม่เกิดผลอะไรเลย มาตรการขอความร่วมมือในภาวะวิกฤติที่น้ำมันแพงที่สุดในรอบ 20 ปีนั้นมีแต่รัฐบาลประเทศไทยเท่านั้นที่ใช้มาตรการขอความร่วมมือ เป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ ที่จะเกิดการประหยัดการใช้น้ำมันในประเทศและรวมถึงข้อเสนอว่า จะมีการเพิ่มภาษี รถยนต์ที่มีกำลังเกิน 2500 ซีซี ก็ยังไม่มีผลอะไรที่เป็นผลเลย โดยกระทรวงการคลังก็บอกว่าคงอีกนาน เพราะต้องแก้ไขพ.ร.บ. ตนขอถามว่า และในกรณีที่ออกพ.ร.ก. แก้ไขภาษีสรรพษามิตสำหรับกิจการโทรคมนาคมทำไมแก้ไขได้ภายใน 1 วัน ที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของกลุ่มธุรกิจนายกฯ แต่ที่กิจการพลังงานและน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งกำลังมีผลกระทบวิกฤติต่อประเทศชาติ กับตัวผลกระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เลขาธิการพรรคทรท.มีผลประโยชน์ โดยตรงกับอุสาหกรรมดังกล่าวกับอ้างเป็นเหตุผลว่ายังดำเนินการไม่ได้ เพราะฉะนั้นตนคิดว่ารัฐบาลจะต้องแยกผลประโยชน์ส่วนตัวส่วนกลุ่มออกจาผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่อย่างนั้นเรื่องของการพัฒนาพลังงานทดแทนก็ดี การพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อเสนอตอบต่อการใช้พลังงานเอธานอลและไบโอดีเซลนั้น รวมถึงมาตรการประหยัดน้ำมันยากที่จะเกิดขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-