นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2547 ณ เมือง Pucon ประเทศชิลี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลไกเพื่อความร่วมมือประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างรัฐมนตรีการค้าและพลังงาน เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ขยับตัวสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 25 อย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น มีผลกระทบต่อการค้าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากบางประเทศมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ในขณะที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) ได้ลดปริมาณการผลิตลง ดังนั้นสมาชิกอเปคควรที่จะหามาตรการเพื่อรองรับระทบจากการขาดแคลนน้ำมัน รวมทั้งได้เสนอให้มีการประสานงาน และเชื่อมโยงการทำงานระหว่างเอเปคกับโอเปค เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูล และติดตามสถานการณ์น้ำมันของโลก เพื่อจะได้ปรับตัวแก้ไขสถานการณ์ได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ และให้ระบุไว้ในถ้อยแถลงของประธาน
นอกจากนี้สมาชิกทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจยังเห็นพ้องร่วมกันที่จะผลักดันให้การเจรจารอบโดฮามีความคืบหน้า สามารถจัดทำกรอบการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ศกนี้ โดยจำกัดให้ครอบคลุมเรื่องสำคัญๆ เพียง 4 เรื่อง ได้แก่ สินค้าเกษตร การเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่างแก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งเอเปคได้ดำเนินการไปมากแล้ว อย่างไรก็ดีในกรอบการเจรจา เรื่องสินค้าเกษตรควรจะมีความชัดเจนในด้านการเปิดตลาดให้มาก เพราะปัจจุบันสมาชิก WTO ที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น และอินเดียพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเจรจาเรื่องการเปิดตลาด ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ผู้แทนเอเปค ณ นครเจนีวา (APEC Geneva Caucus) หารือกันอย่างใกล้ชิด และพยายามหาข้อยุติในเรื่องนี้
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นว่าการจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค จะมีส่วนสนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนของเอเปค และสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบการค้าพหุภาคี โดยความตกลงเขตการค้าเสรีควรมีสาระครอบคลุมทุกเรื่องและสอดคล้องกับกฎระเบียบของ WTO และยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการของเอเปคด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าฉบับปรับปรุงที่เพิ่มเรื่องความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา นอกเหนือจากเรื่องการเคลื่อนย้ายสินค้ามาตรฐานสินค้า การเดินทางของนักธุรกิจและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินการของสมาชิก เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมในภูมิภาคร้อยละ 5 ในปี 2549 และยังเร่งหาวิธีการวัดต้นทุนที่ลดลงจากการดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า ทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ โดยอาศัยโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถต่างๆ และให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งด้านการหารือและการดำเนินงานต่างๆ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (66) 2282-6171-9 แฟกซ์ (66) 2280-0775
-พห-