ที่โรงแรมเจริญศรีแกรนด์รอยัล เมื่อเวลา 12.00 น. วานนี้(16 ธ.ค.48) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และส.ส.ของพรรคได้รับประทานอาหารร่วมกับนักธุรกิจใน จ.อุดรธานี จำนวน 200 คน โดยภายหลังการรับประทานอาหาร นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวต่อผู้ร่วมงานว่า หลังการเลือกตั้งเมื่อต้นปี หลายคนบอกว่า การเมืองจะนิ่งไปอีก 4 ปี เพราะพรรคไทยรักไทยชนะเด็ดขาด แต่วันนี้ผ่านไปเพียง 9 เดือน ไปที่ไหนก็มีแต่คำถามความห่วงใยว่า การเมืองจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด และช่วงที่ตนรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในเดือนมีนาคม ทุกคนถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะฟื้นฟูตัวเองอย่างไร แต่วันนี้ถามว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมจะเป็นรัฐบาลหรือยัง แสดงว่า 8-9 เดือนที่ผ่านมา มีบางสิ่งทำให้ประชาชนไม่แน่ใจว่า ปัจจัยที่เคยทำให้มั่นใจลดลง สิ่งที่ชัดคือ ความหวังที่รัฐบาลเคยประกาศ วันนี้ทำได้แต่คอยต่อไป เช่น เรื่องโคล้านตัวและสระน้ำเอื้ออาทร ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคขนาดใหญ่ต้องตอบสนองความคาดหวัง ซึ่งมีเวลาเหลือน้อยลงเพื่อเตรียมตัว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตัวอย่างเรื่องโคล้านตัวและสระน้ำเอื้ออาทรเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนความหวังของประชาชนที่เคยมี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาความยากจน คงจำกันได้ว่า สงครามกับความยากจนเป็น 1 ใน 3 ของสงครามที่รัฐบาลประกาศเมื่อปี 2544 รัฐบาลเคยพูดว่า ภายใน 5-6 ปี ความยากจนจะหมดไป ตอนนี้เหลือเวลาอีก 1-2 ปีเท่านั้น ในขณะที่ความเป็นจริงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญความผันผวนแปรปรวนอย่างรุนแรง จะบอกว่า เป็นเพราะว่ามีสาเหตุมาจากรัฐบาลก็คงไม่เป็นธรรม แน่นอนว่า มีปัจจัยอื่นๆ อีก ทั้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ผลกระทบจากสึนามิ ไข้หวัดนก แต่ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากการบริหารจัดการของรัฐบาลในปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับราคาน้ำมันผิดพลาดจนต้องตั้งกองทุนน้ำมันขึ้นมาแบกภาระหนี้ของปะเทศ จนสุดท้ายก็ต้องออกพันธบัตรเอาเงินไปใช้หนี้ แต่ตัวหนี้ดังกล่าวก็ยังอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าหนี้ไปเท่านั้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ระบุว่า คนจนไม่มี มีแต่ไม่พอกิน บอกว่ามีคนจนเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการซื้อโทรทัศน์และจักรยานยนต์ แต่ก็ไม่บอกตรงๆ อีกเรื่อง บอกเลี่ยงๆ ว่าเป็นค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร และนับจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในระดับนโยบายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินต้องปรับอัตราดอกเบี้ยตามไปด้วย จะเป็นตัวพิสูจน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยเจอและไม่เคยถูกทดสอบในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะเดิมดอกเบี้ยต่ำ โอกาสการขาดดุลน้อย เงินเฟ้อต่ำ แต่นับจากนี้ ประชาชนจะลำบาก เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้กระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้มีหนี้เพิ่มขึ้น วันนี้จึงไม่มีคำพูดที่ว่า ต้องเป็นหนี้ถึงจะรวย มีแต่พูดว่า มีออมไม่มีอด แต่สายไปแล้ว เพราะคนมีหนี้จนไม่มีออมและไม่รู้จะอดอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้ รัฐบาลหมดกำลังจะไปต่อรองกับผู้ลงทุนต่างชาติว่า จะให้นักลงทุนทำอะไร จึงต้องสัมปทานเลหลังประเทศ บอกว่าใครต้องการอะไรก็เข้ามา ให้เลือกทำธุรกิจได้แทบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ความมั่นคง ยกเว้นเรื่องเดียวที่รัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้เข้ามาคือ ด้านโทรคมนาคม จริงอยู่ที่รัฐบาลบอกว่า การเชิญนักลงทุนต่างชาติมาไม่ต้องใช้เงิน แต่ผู้มาลงทุนย่อมได้ประโยชน์จากเงื่อนไขหรือสัมปทานในการเข้ามาลงทุน และการให้ต่างชาติเข้ามาก็เป็น "วิน-วิน" คือ ได้ทั้งคู่คือ นักลงทุนและรัฐบาลที่จัดสรรเค้กกัน แต่ไม่ใช่ "วิน-วิน-วิน" วินตัวที่สามคือ ประชาชน เพราะไม่มีส่วนร่วมที่จะไปบอกว่าต้องการอะไร
“วันนี้รัฐบาลรู้ตัวแล้วว่าการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชนไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะตัวเลขหนี้ที่เพื่มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการลงทุนโดยภาครัฐก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอยู่ในภาวะขาดเงินสด จนต้องออกตั๋วเงินกู้อีก 8 หมื่นล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเปิดทำเนียบรัฐบาล เรียกทูตจากนานาประเทศเข้ามาเพื่อแสดงความจำนงในการลงทุนเมกะโปรเจคต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แนวทางการพัฒนาประเทศ เพราะการพัฒนาประเทศที่แท้จริงประชาชนคนไทยต้องเป็นคนบอกว่าต้องการอะไร การให้บริษัททุนต่างชาติเข้ามาลงทุน สุดท้ายแล้วก็จะพุ่งเป้าไปที่ผลกำไรขาดทุน และประชาชนก็จะต้องเป็นผู้รับภาระการเก็บค่าบริการที่บริษัทต่างชาติจะกำหนด และโครงการที่ได้มาก็ไม่ใช่ความต้องการของคนในชาติอย่างแท้จริง ทั้งนี้เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้จะต้องอยู่บนพื้นฐานความยั่งยืน ที่ผ่านมานายกฯพยายามสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจบนปราสาททรายด้วยความพยายามหมุนเงินอย่างเต็มที่ แล้วเมื่อสุดกำลังแล้ว ก็ให้สัมปทานประเทศ เลหลังไปเพื่อให้เศรษฐกิจเดินไปได้ โดยแนวทางนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ทำเด็ดขาด เพราะการพัฒนาต้องอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ธ.ค. 2548--จบ--
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตัวอย่างเรื่องโคล้านตัวและสระน้ำเอื้ออาทรเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนความหวังของประชาชนที่เคยมี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาความยากจน คงจำกันได้ว่า สงครามกับความยากจนเป็น 1 ใน 3 ของสงครามที่รัฐบาลประกาศเมื่อปี 2544 รัฐบาลเคยพูดว่า ภายใน 5-6 ปี ความยากจนจะหมดไป ตอนนี้เหลือเวลาอีก 1-2 ปีเท่านั้น ในขณะที่ความเป็นจริงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญความผันผวนแปรปรวนอย่างรุนแรง จะบอกว่า เป็นเพราะว่ามีสาเหตุมาจากรัฐบาลก็คงไม่เป็นธรรม แน่นอนว่า มีปัจจัยอื่นๆ อีก ทั้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ผลกระทบจากสึนามิ ไข้หวัดนก แต่ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากการบริหารจัดการของรัฐบาลในปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับราคาน้ำมันผิดพลาดจนต้องตั้งกองทุนน้ำมันขึ้นมาแบกภาระหนี้ของปะเทศ จนสุดท้ายก็ต้องออกพันธบัตรเอาเงินไปใช้หนี้ แต่ตัวหนี้ดังกล่าวก็ยังอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าหนี้ไปเท่านั้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ระบุว่า คนจนไม่มี มีแต่ไม่พอกิน บอกว่ามีคนจนเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการซื้อโทรทัศน์และจักรยานยนต์ แต่ก็ไม่บอกตรงๆ อีกเรื่อง บอกเลี่ยงๆ ว่าเป็นค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร และนับจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในระดับนโยบายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินต้องปรับอัตราดอกเบี้ยตามไปด้วย จะเป็นตัวพิสูจน์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยเจอและไม่เคยถูกทดสอบในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะเดิมดอกเบี้ยต่ำ โอกาสการขาดดุลน้อย เงินเฟ้อต่ำ แต่นับจากนี้ ประชาชนจะลำบาก เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้กระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้มีหนี้เพิ่มขึ้น วันนี้จึงไม่มีคำพูดที่ว่า ต้องเป็นหนี้ถึงจะรวย มีแต่พูดว่า มีออมไม่มีอด แต่สายไปแล้ว เพราะคนมีหนี้จนไม่มีออมและไม่รู้จะอดอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้ รัฐบาลหมดกำลังจะไปต่อรองกับผู้ลงทุนต่างชาติว่า จะให้นักลงทุนทำอะไร จึงต้องสัมปทานเลหลังประเทศ บอกว่าใครต้องการอะไรก็เข้ามา ให้เลือกทำธุรกิจได้แทบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ความมั่นคง ยกเว้นเรื่องเดียวที่รัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้เข้ามาคือ ด้านโทรคมนาคม จริงอยู่ที่รัฐบาลบอกว่า การเชิญนักลงทุนต่างชาติมาไม่ต้องใช้เงิน แต่ผู้มาลงทุนย่อมได้ประโยชน์จากเงื่อนไขหรือสัมปทานในการเข้ามาลงทุน และการให้ต่างชาติเข้ามาก็เป็น "วิน-วิน" คือ ได้ทั้งคู่คือ นักลงทุนและรัฐบาลที่จัดสรรเค้กกัน แต่ไม่ใช่ "วิน-วิน-วิน" วินตัวที่สามคือ ประชาชน เพราะไม่มีส่วนร่วมที่จะไปบอกว่าต้องการอะไร
“วันนี้รัฐบาลรู้ตัวแล้วว่าการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชนไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะตัวเลขหนี้ที่เพื่มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการลงทุนโดยภาครัฐก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอยู่ในภาวะขาดเงินสด จนต้องออกตั๋วเงินกู้อีก 8 หมื่นล้านบาท จึงเป็นสาเหตุให้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเปิดทำเนียบรัฐบาล เรียกทูตจากนานาประเทศเข้ามาเพื่อแสดงความจำนงในการลงทุนเมกะโปรเจคต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แนวทางการพัฒนาประเทศ เพราะการพัฒนาประเทศที่แท้จริงประชาชนคนไทยต้องเป็นคนบอกว่าต้องการอะไร การให้บริษัททุนต่างชาติเข้ามาลงทุน สุดท้ายแล้วก็จะพุ่งเป้าไปที่ผลกำไรขาดทุน และประชาชนก็จะต้องเป็นผู้รับภาระการเก็บค่าบริการที่บริษัทต่างชาติจะกำหนด และโครงการที่ได้มาก็ไม่ใช่ความต้องการของคนในชาติอย่างแท้จริง ทั้งนี้เศรษฐกิจจะดีขึ้นได้จะต้องอยู่บนพื้นฐานความยั่งยืน ที่ผ่านมานายกฯพยายามสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจบนปราสาททรายด้วยความพยายามหมุนเงินอย่างเต็มที่ แล้วเมื่อสุดกำลังแล้ว ก็ให้สัมปทานประเทศ เลหลังไปเพื่อให้เศรษฐกิจเดินไปได้ โดยแนวทางนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ทำเด็ดขาด เพราะการพัฒนาต้องอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ธ.ค. 2548--จบ--