แท็ก
ทักษิณ ชินวัตร
1. การกำหนดนโยบายงบประมาณประจำปี 2548 ของรัฐบาล พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุล ด้วยวงเงินงบประมาณรวมทั้งหมดจำนวน 1,200,000 ล้านบาท กำหนดเป็นรายจ่ายประจำ 847,597.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70.6 ของงบประมาณทั้งหมด กำหนดเป็นรายจ่ายลงทุน 302,326.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.5 และเป็นรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 50,076.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.1 ของงบประมาณทั้งหมด
2. ตามประมาณการงบประมาณปี 2548 ภาระผูกพันงบประมาณในปี 2549 มีมูลค่าสูงขึ้นมากจนเป็นที่น่าสังเกตจาก 64,338.4 ล้านบาท ในปี 2548 เป็น 87,557.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่รัฐบาลตั้งงบประมาณโครงการในปีนี้ไว้ต่ำเพื่อให้งบประมาณสมดุล
3. การกำหนดงบประมาณปี 2548 นี้มีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตประมาณร้อยละ 7-8 แต่เศรษฐกิจในปี 2547 จะมีอัตราการเจริญเติบโตน้อยกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ คืออยู่ที่ร้อยละ 6-7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ไม่น่าจะขยายตัวตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ เมื่อไม่มีการปรับลดประมาณการรายได้ให้ต่ำลงตามสภาพการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปนั้น สัดส่วนของประมาณการรายได้จึงน่าจะสูงกว่าประมาณการงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้
4. รัฐบาลชุดนี้ได้ตั้งงบประมาณสำหรับแผนงานจัดการรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นจาก 7,744.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 9,811.9 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 2,067.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเก็บภาษีในวงกว้างมากขึ้นเพื่อให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น
4.1. ในส่วนของภาษีรายได้นิติบุคคล รัฐบาลประมาณการว่าจะสามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นจาก 195,550 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 288,500 ล้านบาท โดยเก็บเพิ่มขึ้น 92,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.5 การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นนี้ขัดแย้งกับนโยบายที่รัฐบาลเคยประกาศไว้ว่าจะลดภาษีรายได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 28-30 ซึ่งหากรัฐบาลตั้งใจที่จะทำตามนโยบายดังกล่าวจริง การประมาณการรายได้อาจจะไม่เพิ่มสูงขึ้นเท่านี้
4.2. ในส่วนของประมาณการรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รัฐบาลประมาณการว่าจะสามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นจาก 5,629.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 8,877.83 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 3,248 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลคาดหวังว่าจะขายสลากให้แก่ประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งขัดกับแนวทางการเสริมสร้างจริยธรรมอันดีในสังคม
5. ในส่วนของรายได้ของกรุงเทพมหานคร ประเด็นที่น่าสังเกตอยู่ที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นรายได้จากภาษีที่รัฐบาลจัดสรรให้กทม. โดยในปีงบประมาณ 2548 นั้น รัฐบาลได้ลดสัดส่วนรายได้ที่แบ่งให้ตามที่ กทม.เสนอลงจาก 4,502.81 ล้านบาทในปี 2547 เหลือเพียง 2,288 ล้านบาท โดยลดลงร้อยละ 49.18 ซึ่งส่วนงบประมาณของกทม.ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
6. ในส่วนของงบที่จัดสรรให้แก่ท้องถิ่นนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2549 รัฐบาลจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้ถึงร้อยละ 35 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หรือไม่ เนื่องจากในปี 2546 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคิดเป็นร้อยละ 21 ในปี 2547 คิดเป็นร้อยละ 22 และในปี 2548 คิดเป็นร้อยละ 23.5 เท่านั้น
7. ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการประเทศ แม้รัฐบาลจะกำหนดแนวทาง “การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เอาไว้ แต่รัฐบาลก็มิได้จัดสรรงบประมาณให้แก่แนวทางดังกล่าวไว้ด้วย
8. ด้านการผลิตและสร้างรายได้ ซึ่งรวมถึงงานส่งเสริมการผลิตการเกษตรและงานปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม มีงบประมาณลดลงจาก 159,252.9 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 101,404.5 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 57,848.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 โดยรัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินมากมาย จากการศึกษาพฤติกรรมการก่อหนี้ครัวเรือนของประชาชนทั่วประเทศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าระดับหนี้สินต่อรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 60% จากปี 2545 ที่อยู่ในระดับ 51% ขณะที่หนี้สินต่อจีดีพีขยับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ต่อจีดีพี จาก 27% ต่อจีดีพีในปี 2545 นอกจากนี้ ในรายงานของสภาพัฒน์ฯระบุว่า ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของประชาชน ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2547 อยู่ที่ 110,133 บาท จากปี 2545 อยู่ที่ 82,485 บาท
นอกจากนี้ “ค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ”ได้ลดลงจาก 75,500 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 23,400 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 52,100 ล้านบาท คิดเป็น 222 %
9. รัฐบาลได้จัดงบประมาณเพื่อส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแก่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนเงินถึง 4,065.8 ล้านบาท แต่งานด้านการพัฒนามาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวและการบริการกลับได้งบเพียง 514 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของงบการตลาดเท่านั้น ทั้งๆที่เมื่อพิจารณาแผนพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดที่รัฐบาลได้สั่งการให้จัดทำขึ้น ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของหลายๆจังหวัดไม่ใช่การขาดการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว แต่เป็นปัญหาการขาดมาตรฐานการบริการและแหล่งท่องเที่ยวไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะส่งเสริมการตลาดและสร้างภาพลักษณ์อย่างไร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ไม่อาจพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงหากขาดการพัฒนามาตรฐานการบริการและแหล่งท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สมดุลกัน
10. แผนงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพได้งบประมาณลดลงจาก 811 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 698 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 113 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
11. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนมากที่สุดจากปี 2547 รองลงมาคือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรมตามลำดับ
12. ในส่วนของงบกลาง รัฐบาลตั้งไว้ถึง 200,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่าจะลดลงมาจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเป็นวงเงินที่สูง ซึ่งตามหลักของงบประมาณ ไม่ควรที่จะตั้งไว้สูงเกินไป
12.1. รัฐบาลจัดสรรงบให้รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 7 คน คนละ 10 ล้านบาท รวมทั้งหมด 70 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดประชุมสัมมนาค่าที่พักและค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ
13. ในส่วนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร งบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงเพิ่มขึ้นจาก 285.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 3,412.4 ล้านบาทในปี 2548 เพิ่มขึ้น 3,126.9 ล้านบาท คิดเป็น 1095 % โดยในจำนวนเงินที่เพิ่มมานี้เป็นงบประมาณของโครงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบเอนกประสงค์ (Smart Card) จำนวน 2,600 ล้านบาท (26 ล้านใบ) ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยก็มีการตั้งงบประมาณของโครงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบเอนกประสงค์ (Smart Card) จำนวน 738.04 ล้านบาท (26 ล้านใบ) เช่นเดียวกัน
13.1. เหตุใดจึงต้องตั้งงบประมาณโครงการนี้แยกเป็นสองกระทรวง การตั้งงบแยกเช่นนี้เพราะต้องการทำให้ค่าใช้จ่ายต่อบัตรดูไม่สูงตามความเป็นจริงใช่หรือไม่
13.2. งบประมาณของทั้งสองกระทรวงในโครงการนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
14. ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพิ่มขึ้นจาก 259 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 1,297.7 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 1,038.7 ล้านบาท คิดเป็น 301 % ซึ่งรัฐบาลระบุว่างบประมาณส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการผลิต ผลิตภัณฑ์ รวมถึงห้องปฏิบัติการและข้อมูลสารสนเทศ
15. ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย
15.1. สำนักงานปลัดกระทรวงได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 1904.1 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 3773.1 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 1,869 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98 เนื่องจาก
15.1.1. รถยนต์ประจำตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 167 คัน คันละ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 167 ล้านบาท
15.1.2. เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของจังหวัดแบบบูรณาการ 75 จังหวัดๆละ 20 ล้านบาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท
15.1.3. ค่าพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางของกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด จำนวน 135 ล้านบาท
15.1.4. โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบสื่อสารของกระทรวงมหาดไทยด้วยระบบทางด่วนข้อมูล ระยะที่ 3 จำนวน 280 ล้านบาท
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 67,100.8 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 95,919.3 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 28,818.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.9 ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลไม่ได้ระบุรายละเอียดเหมือนปีที่แล้วว่ามีการจัดสรรลงพื้นที่ใดบ้าง โดยอาจจะเกรงว่าจะถูกท้วงติงเหมือนที่ผ่านมาว่าจัดสรรงบลงเฉพาะพื้นที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
2. ตามประมาณการงบประมาณปี 2548 ภาระผูกพันงบประมาณในปี 2549 มีมูลค่าสูงขึ้นมากจนเป็นที่น่าสังเกตจาก 64,338.4 ล้านบาท ในปี 2548 เป็น 87,557.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่รัฐบาลตั้งงบประมาณโครงการในปีนี้ไว้ต่ำเพื่อให้งบประมาณสมดุล
3. การกำหนดงบประมาณปี 2548 นี้มีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตประมาณร้อยละ 7-8 แต่เศรษฐกิจในปี 2547 จะมีอัตราการเจริญเติบโตน้อยกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ คืออยู่ที่ร้อยละ 6-7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ไม่น่าจะขยายตัวตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ เมื่อไม่มีการปรับลดประมาณการรายได้ให้ต่ำลงตามสภาพการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปนั้น สัดส่วนของประมาณการรายได้จึงน่าจะสูงกว่าประมาณการงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้
4. รัฐบาลชุดนี้ได้ตั้งงบประมาณสำหรับแผนงานจัดการรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นจาก 7,744.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 9,811.9 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 2,067.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเก็บภาษีในวงกว้างมากขึ้นเพื่อให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น
4.1. ในส่วนของภาษีรายได้นิติบุคคล รัฐบาลประมาณการว่าจะสามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นจาก 195,550 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 288,500 ล้านบาท โดยเก็บเพิ่มขึ้น 92,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.5 การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นนี้ขัดแย้งกับนโยบายที่รัฐบาลเคยประกาศไว้ว่าจะลดภาษีรายได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 28-30 ซึ่งหากรัฐบาลตั้งใจที่จะทำตามนโยบายดังกล่าวจริง การประมาณการรายได้อาจจะไม่เพิ่มสูงขึ้นเท่านี้
4.2. ในส่วนของประมาณการรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รัฐบาลประมาณการว่าจะสามารถเก็บได้เพิ่มขึ้นจาก 5,629.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 8,877.83 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 3,248 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลคาดหวังว่าจะขายสลากให้แก่ประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งขัดกับแนวทางการเสริมสร้างจริยธรรมอันดีในสังคม
5. ในส่วนของรายได้ของกรุงเทพมหานคร ประเด็นที่น่าสังเกตอยู่ที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นรายได้จากภาษีที่รัฐบาลจัดสรรให้กทม. โดยในปีงบประมาณ 2548 นั้น รัฐบาลได้ลดสัดส่วนรายได้ที่แบ่งให้ตามที่ กทม.เสนอลงจาก 4,502.81 ล้านบาทในปี 2547 เหลือเพียง 2,288 ล้านบาท โดยลดลงร้อยละ 49.18 ซึ่งส่วนงบประมาณของกทม.ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
6. ในส่วนของงบที่จัดสรรให้แก่ท้องถิ่นนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2549 รัฐบาลจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้ถึงร้อยละ 35 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้หรือไม่ เนื่องจากในปี 2546 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคิดเป็นร้อยละ 21 ในปี 2547 คิดเป็นร้อยละ 22 และในปี 2548 คิดเป็นร้อยละ 23.5 เท่านั้น
7. ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการประเทศ แม้รัฐบาลจะกำหนดแนวทาง “การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เอาไว้ แต่รัฐบาลก็มิได้จัดสรรงบประมาณให้แก่แนวทางดังกล่าวไว้ด้วย
8. ด้านการผลิตและสร้างรายได้ ซึ่งรวมถึงงานส่งเสริมการผลิตการเกษตรและงานปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม มีงบประมาณลดลงจาก 159,252.9 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 101,404.5 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 57,848.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 โดยรัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินมากมาย จากการศึกษาพฤติกรรมการก่อหนี้ครัวเรือนของประชาชนทั่วประเทศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าระดับหนี้สินต่อรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 60% จากปี 2545 ที่อยู่ในระดับ 51% ขณะที่หนี้สินต่อจีดีพีขยับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ต่อจีดีพี จาก 27% ต่อจีดีพีในปี 2545 นอกจากนี้ ในรายงานของสภาพัฒน์ฯระบุว่า ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของประชาชน ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2547 อยู่ที่ 110,133 บาท จากปี 2545 อยู่ที่ 82,485 บาท
นอกจากนี้ “ค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ”ได้ลดลงจาก 75,500 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 23,400 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 52,100 ล้านบาท คิดเป็น 222 %
9. รัฐบาลได้จัดงบประมาณเพื่อส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแก่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนเงินถึง 4,065.8 ล้านบาท แต่งานด้านการพัฒนามาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวและการบริการกลับได้งบเพียง 514 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของงบการตลาดเท่านั้น ทั้งๆที่เมื่อพิจารณาแผนพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดที่รัฐบาลได้สั่งการให้จัดทำขึ้น ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของหลายๆจังหวัดไม่ใช่การขาดการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว แต่เป็นปัญหาการขาดมาตรฐานการบริการและแหล่งท่องเที่ยวไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะส่งเสริมการตลาดและสร้างภาพลักษณ์อย่างไร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ไม่อาจพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงหากขาดการพัฒนามาตรฐานการบริการและแหล่งท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สมดุลกัน
10. แผนงานคุ้มครองสิทธิเสรีภาพได้งบประมาณลดลงจาก 811 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 698 ล้านบาทในปี 2548 โดยลดลง 113 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
11. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนมากที่สุดจากปี 2547 รองลงมาคือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรมตามลำดับ
12. ในส่วนของงบกลาง รัฐบาลตั้งไว้ถึง 200,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่าจะลดลงมาจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเป็นวงเงินที่สูง ซึ่งตามหลักของงบประมาณ ไม่ควรที่จะตั้งไว้สูงเกินไป
12.1. รัฐบาลจัดสรรงบให้รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 7 คน คนละ 10 ล้านบาท รวมทั้งหมด 70 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดประชุมสัมมนาค่าที่พักและค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ
13. ในส่วนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร งบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงเพิ่มขึ้นจาก 285.5 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 3,412.4 ล้านบาทในปี 2548 เพิ่มขึ้น 3,126.9 ล้านบาท คิดเป็น 1095 % โดยในจำนวนเงินที่เพิ่มมานี้เป็นงบประมาณของโครงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบเอนกประสงค์ (Smart Card) จำนวน 2,600 ล้านบาท (26 ล้านใบ) ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยก็มีการตั้งงบประมาณของโครงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบเอนกประสงค์ (Smart Card) จำนวน 738.04 ล้านบาท (26 ล้านใบ) เช่นเดียวกัน
13.1. เหตุใดจึงต้องตั้งงบประมาณโครงการนี้แยกเป็นสองกระทรวง การตั้งงบแยกเช่นนี้เพราะต้องการทำให้ค่าใช้จ่ายต่อบัตรดูไม่สูงตามความเป็นจริงใช่หรือไม่
13.2. งบประมาณของทั้งสองกระทรวงในโครงการนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
14. ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพิ่มขึ้นจาก 259 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 1,297.7 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 1,038.7 ล้านบาท คิดเป็น 301 % ซึ่งรัฐบาลระบุว่างบประมาณส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อยกระดับมาตรฐานและคุณภาพการผลิต ผลิตภัณฑ์ รวมถึงห้องปฏิบัติการและข้อมูลสารสนเทศ
15. ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย
15.1. สำนักงานปลัดกระทรวงได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 1904.1 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 3773.1 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 1,869 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98 เนื่องจาก
15.1.1. รถยนต์ประจำตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 167 คัน คันละ 1 ล้านบาท เป็นเงิน 167 ล้านบาท
15.1.2. เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของจังหวัดแบบบูรณาการ 75 จังหวัดๆละ 20 ล้านบาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท
15.1.3. ค่าพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางของกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด จำนวน 135 ล้านบาท
15.1.4. โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบสื่อสารของกระทรวงมหาดไทยด้วยระบบทางด่วนข้อมูล ระยะที่ 3 จำนวน 280 ล้านบาท
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 67,100.8 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 95,919.3 ล้านบาทในปี 2548 โดยเพิ่มขึ้น 28,818.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.9 ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลไม่ได้ระบุรายละเอียดเหมือนปีที่แล้วว่ามีการจัดสรรลงพื้นที่ใดบ้าง โดยอาจจะเกรงว่าจะถูกท้วงติงเหมือนที่ผ่านมาว่าจัดสรรงบลงเฉพาะพื้นที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 มิ.ย. 2547--จบ--
-ดท-