กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น Japan-Thailand Closer Economic Partnership (JTEP) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
ภูมิหลัง
1. ในการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม 2545 ผู้นำไทยและญี่ปุ่นได้ย้ำ ความเห็นชอบเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น (Closer Economic Partnership : CEP) ภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น เพื่อผลักดันความร่วมมือที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รวมทั้งการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
2. เดือนกุมภาพันธ์ 2546 นายMakio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนไทยและเสนอให้ไทยพิจารณาใช้เอกสารข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจัดทำกับประเทศสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี (Agreement between Japan and the Republic of Singapore for New -- Age Economic Partnership) เป็นตัวอย่างในการจัดทำ CEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยขอให้มีความครอบคลุมในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะด้านการค้าเท่านั้น
3. เมื่อ 12 เมษายน 2546 นายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้หารือระหว่างการเข้าร่วมการประชุม Boaao Forum for Asia ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และย้ำความเห็นชอบในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น โดยขอให้นำเอาความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ (Japan-Singapore New -- Age Economic Partnership : JSEPA) เป็นตัวอย่างในการจัดทำข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยอาจพิจารณาสาขาที่เป็นปัญหาน้อยที่สุดก่อน
4. ที่ประชุมหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำความตกลง CEP ไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Closer Partnership : JTEP) เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
5. คณะทำงาน JTEP มีนาย Makio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนญี่ปุ่น และนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะผู้แทนทั้งสองฝ่าย
6. คณะทำงานฯ ได้ดำเนินงานเพื่อจัดเตรียม substantive groundwork สำหรับการเจรจาจัดทำความตกลง JTEP รวมทั้งการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ที่จะมีการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อไป โดยญี่ปุ่นมุ่งหวังที่จะให้การเจรจามีผลเป็นการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่นได้ทำความตกลงกับสิงคโปร์และขยายความร่วมมือกับเศรษฐกิจไทยในทุกด้าน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นต้องกันว่าการดำเนินงานควรอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกัน
การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
7. สาระสำคัญของความตกลง JSEPA ประกอบด้วยบทต่างๆ รวม 22 บท และกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายเกี่ยวกับความร่วมมืออุตสาหกรรมด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม(MRA) โดยได้ดำเนินงานพิจารณายกร่างเนื้อหาสาระทั้งสองสาขาความร่วมมือที่จะบรรจุไว้ในความตกลง JTEP ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็น หน่วยงานหลักในการจัดประชุมและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและยกร่างเนื้อหา อาทิ ข้อบท (Chapter) และมาตราต่างๆ ตามสาขาที่รับผิดชอบ
8. สศอ. ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดเตรียมแนวทางในการเจรจากับประเทศญี่ปุ่นตามแนวร่างข้อตกลง JSEPA ตามที่ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอ โดยได้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลง แก้ไข และเพิ่มเติมส่วนของ Article โดยดำเนินการบนพื้นฐานปฏิบัติการต่างตอบแทนและการรับผลประโยชน์ร่วม (Mutual Benefit)
9. ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สศอ. ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้าน SMEs (Joint Committee on SMEs) ซึ่งญี่ปุ่นเห็นด้วยตามข้อเสนอดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณาความ ร่วมมือและกิจกรรมหลักด้าน SMES ที่จะบรรจุไว้ในข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติ (Implementing Agreement) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันต่อไป
10. ความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม (Mutual Recognition/Standard and Conformance) สศอ. ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเสนอให้ญี่ปุ่นพิจารณายอมรับมาตรฐานร่วมกันในการตรวจสอบสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (MRA on Testing Report) ซึ่งญี่ปุ่นมีข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของไทย แต่เห็นชอบในหลักการที่จะดำเนินความ ร่วมมือดังกล่าว โดยทั้งสองประเทศต้องร่วมกันศึกษาในรายละเอียดและขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินความร่วมมือด้าน MRA กับไทย แต่เนื่องจากความแตกต่างเรื่องระบบ วิธีการรับรองและความสามารถของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ญี่ปุ่นยังไม่สามารถจัดทำ MRA กับไทยในลักษณะเดียวกับที่ทำกับประเทศสิงคโปร์ภายใต้กรอบ JSEPA ได้
11. คณะทำงาน JTEP จัดประชุมรวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เมื่อวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2546 ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำสรุปผล การประชุมคณะทำงานฯ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ โดยในวันที่ 4-7 มิถุนายน 2546 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่นายก
รัฐมนตรีทั้งสองจะประกาศเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการ และอาจกำหนดให้การเจรจาทำความตกลงเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ศกนี้
ข้อสังเกตุ
12. แม้ว่าคณะทำงาน JTEP ดำเนินการคืบหน้าไปมากในการเตรียมการเจรจาและกระทรวง การต่างประเทศของญี่ปุ่นได้พยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยอย่างเต็มที่ แต่การเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นยังประสบปัญหา เนื่องจากกระทรวงเกษตรและประมงของญี่ปุ่นยังคัดค้านเนื่องจากการจัดทำความตกลงกับไทยจะทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นต้อง ลดภาษีสินค้าเกษตรบางส่วนสู่ระดับ 0% ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใดๆ ต่อภาคเกษตรของญี่ปุ่น จึงพยายามชะลอการเปิดเจรจากับไทย
13. กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งพยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยโดยเร็วนั้น เห็นว่าเนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่นได้ระบุว่าในการค้าสินค้ากับไทย สินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นสินค้า อ่อนไหวมี 4 รายการได้แก่ ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่ และแป้งสตาร์ช โดยข้าวเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหว ทางการเมืองมากที่สุด จึงเสนออย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาทางออกเพื่อให้มีการเปิดเจรจาว่าขอให้ฝ่ายไทย ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องให้ญี่ปุ่นลด/เลิกภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้า 4 รายการดังกล่าวเพื่อเป็นทางออกให้กระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่น ยอมรับได้
14. ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการตั้งเงื่อนไขสำหรับการเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP กับไทยโดยเป็นการขอให้ไทยสละผลประโยชน์บางส่วนที่ควรได้รับจากญี่ปุ่น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า 4 รายการในปี 2545 รวมทั้งสิ้น 602.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 21.95% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปญี่ปุ่น หรือ 6.02% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยไปญี่ปุ่น
สถานะปัจจุบัน
15. หลังจากการพบและหารือกันของนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการประกาศเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดีคาดว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการหา ข้อยุติเกี่ยวกับเงื่อนไขบางประการที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ หลังจากได้ข้อสรุปคาดว่าจะสามารถเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการได้ในทันที
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ภูมิหลัง
1. ในการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม 2545 ผู้นำไทยและญี่ปุ่นได้ย้ำ ความเห็นชอบเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น (Closer Economic Partnership : CEP) ภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น เพื่อผลักดันความร่วมมือที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รวมทั้งการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
2. เดือนกุมภาพันธ์ 2546 นายMakio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนไทยและเสนอให้ไทยพิจารณาใช้เอกสารข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจัดทำกับประเทศสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี (Agreement between Japan and the Republic of Singapore for New -- Age Economic Partnership) เป็นตัวอย่างในการจัดทำ CEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยขอให้มีความครอบคลุมในทุกเรื่อง ไม่เฉพาะด้านการค้าเท่านั้น
3. เมื่อ 12 เมษายน 2546 นายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้หารือระหว่างการเข้าร่วมการประชุม Boaao Forum for Asia ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และย้ำความเห็นชอบในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดไทย-ญี่ปุ่น โดยขอให้นำเอาความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ (Japan-Singapore New -- Age Economic Partnership : JSEPA) เป็นตัวอย่างในการจัดทำข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยอาจพิจารณาสาขาที่เป็นปัญหาน้อยที่สุดก่อน
4. ที่ประชุมหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 9 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำความตกลง CEP ไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Closer Partnership : JTEP) เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
5. คณะทำงาน JTEP มีนาย Makio Miyagawa ผู้อำนวยการกองนโยบายภูมิภาค กระทรวง ต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนญี่ปุ่น และนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะผู้แทนทั้งสองฝ่าย
6. คณะทำงานฯ ได้ดำเนินงานเพื่อจัดเตรียม substantive groundwork สำหรับการเจรจาจัดทำความตกลง JTEP รวมทั้งการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ที่จะมีการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อไป โดยญี่ปุ่นมุ่งหวังที่จะให้การเจรจามีผลเป็นการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่นได้ทำความตกลงกับสิงคโปร์และขยายความร่วมมือกับเศรษฐกิจไทยในทุกด้าน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นต้องกันว่าการดำเนินงานควรอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกัน
การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
7. สาระสำคัญของความตกลง JSEPA ประกอบด้วยบทต่างๆ รวม 22 บท และกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายเกี่ยวกับความร่วมมืออุตสาหกรรมด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม(MRA) โดยได้ดำเนินงานพิจารณายกร่างเนื้อหาสาระทั้งสองสาขาความร่วมมือที่จะบรรจุไว้ในความตกลง JTEP ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็น หน่วยงานหลักในการจัดประชุมและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและยกร่างเนื้อหา อาทิ ข้อบท (Chapter) และมาตราต่างๆ ตามสาขาที่รับผิดชอบ
8. สศอ. ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดเตรียมแนวทางในการเจรจากับประเทศญี่ปุ่นตามแนวร่างข้อตกลง JSEPA ตามที่ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอ โดยได้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลง แก้ไข และเพิ่มเติมส่วนของ Article โดยดำเนินการบนพื้นฐานปฏิบัติการต่างตอบแทนและการรับผลประโยชน์ร่วม (Mutual Benefit)
9. ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สศอ. ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้าน SMEs (Joint Committee on SMEs) ซึ่งญี่ปุ่นเห็นด้วยตามข้อเสนอดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันพิจารณาความ ร่วมมือและกิจกรรมหลักด้าน SMES ที่จะบรรจุไว้ในข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติ (Implementing Agreement) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันต่อไป
10. ความร่วมมือด้านการยอมรับร่วม (Mutual Recognition/Standard and Conformance) สศอ. ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเสนอให้ญี่ปุ่นพิจารณายอมรับมาตรฐานร่วมกันในการตรวจสอบสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (MRA on Testing Report) ซึ่งญี่ปุ่นมีข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของไทย แต่เห็นชอบในหลักการที่จะดำเนินความ ร่วมมือดังกล่าว โดยทั้งสองประเทศต้องร่วมกันศึกษาในรายละเอียดและขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินความร่วมมือด้าน MRA กับไทย แต่เนื่องจากความแตกต่างเรื่องระบบ วิธีการรับรองและความสามารถของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ญี่ปุ่นยังไม่สามารถจัดทำ MRA กับไทยในลักษณะเดียวกับที่ทำกับประเทศสิงคโปร์ภายใต้กรอบ JSEPA ได้
11. คณะทำงาน JTEP จัดประชุมรวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เมื่อวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2546 ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำสรุปผล การประชุมคณะทำงานฯ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ โดยในวันที่ 4-7 มิถุนายน 2546 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่นายก
รัฐมนตรีทั้งสองจะประกาศเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการ และอาจกำหนดให้การเจรจาทำความตกลงเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม ศกนี้
ข้อสังเกตุ
12. แม้ว่าคณะทำงาน JTEP ดำเนินการคืบหน้าไปมากในการเตรียมการเจรจาและกระทรวง การต่างประเทศของญี่ปุ่นได้พยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยอย่างเต็มที่ แต่การเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นยังประสบปัญหา เนื่องจากกระทรวงเกษตรและประมงของญี่ปุ่นยังคัดค้านเนื่องจากการจัดทำความตกลงกับไทยจะทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นต้อง ลดภาษีสินค้าเกษตรบางส่วนสู่ระดับ 0% ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใดๆ ต่อภาคเกษตรของญี่ปุ่น จึงพยายามชะลอการเปิดเจรจากับไทย
13. กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งพยายามผลักดันให้มีการเปิดเจรจากับไทยโดยเร็วนั้น เห็นว่าเนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่นได้ระบุว่าในการค้าสินค้ากับไทย สินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นสินค้า อ่อนไหวมี 4 รายการได้แก่ ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่ และแป้งสตาร์ช โดยข้าวเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหว ทางการเมืองมากที่สุด จึงเสนออย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาทางออกเพื่อให้มีการเปิดเจรจาว่าขอให้ฝ่ายไทย ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องให้ญี่ปุ่นลด/เลิกภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้า 4 รายการดังกล่าวเพื่อเป็นทางออกให้กระทรวงเกษตรฯ ญี่ปุ่น ยอมรับได้
14. ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการตั้งเงื่อนไขสำหรับการเปิดเจรจาจัดทำความตกลง JTEP กับไทยโดยเป็นการขอให้ไทยสละผลประโยชน์บางส่วนที่ควรได้รับจากญี่ปุ่น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า 4 รายการในปี 2545 รวมทั้งสิ้น 602.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 21.95% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปญี่ปุ่น หรือ 6.02% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยไปญี่ปุ่น
สถานะปัจจุบัน
15. หลังจากการพบและหารือกันของนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการประกาศเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดีคาดว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการหา ข้อยุติเกี่ยวกับเงื่อนไขบางประการที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ หลังจากได้ข้อสรุปคาดว่าจะสามารถเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการได้ในทันที
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-