นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด และระบบ สศค. ประจำเดือนพฤษภาคม 2547 สรุปได้ดังนี้
1. ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด (Cash Basis)
1.1 เดือนพฤษภาคม 2547
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 78,289 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 85,112 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 81,141 ล้านบาท และรายจ่ายปีก่อน 3,971 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 6,823 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 6,585 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 13,407 ล้านบาท (ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วซึ่งขาดดุล 30,715 ล้านบาท ) และในเดือนนี้รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตร 3,500 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดสุทธิขาดดุล 9,907 ล้านบาท
1.2 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - พ.ค.47)
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 663,853 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายรวม 740,723 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลนอกงบประมาณ 53,045 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 129,975 ล้านบาท และรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 43,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดสุทธิ 86,975 ล้านบาท (ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 1)
1.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 663,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 80,016 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.7 สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
1.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.2 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 670,675 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) เป็นผลจากการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 37,205 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนหมู่บ้านจำนวน 5,817 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 27,460 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ 29,728 ล้านบาท และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 70,112 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 601,537 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 67.1 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 69,134 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 25.9 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
1.2.3 ดุลในงบประมาณ
ดุลในงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท ขาดดุลมากขึ้น 28,510 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการขยายตัวของรายจ่ายในอัตราที่สูง
1.2.4 ดุลนอกงบประมาณ
ดุลนอกงบประมาณขาดดุล 53,045 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลในโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 25,075 ล้านบาท และการใช้เงินคงคลังเพื่อไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนด 31,699 ล้านบาท
1.2.5 การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล
การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 43,000 ล้านบาท ประกอบด้วยการออกตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
1.3 เงินคงคลังรัฐบาล
เงินคงคลังเบื้องต้น ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 มีจำนวน 44,241 ล้านบาท (ประมาณ 11 วันทำการ) ลดลงจากเดือนที่แล้ว 9,907 ล้านบาท
2. ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (GFS Basis)
2.1 เดือนพฤษภาคม 2547
2.1.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น 108,720 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้นำส่งคลัง 93,379 ล้านบาท และรายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 15,341 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 106,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 15.6
2.1.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 110,528 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนจำนวน 100,202 ล้านบาท รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 906 ล้านบาท และรายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 9,420 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังจากหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 108,643 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 99,944 ล้านบาทและรายจ่ายลงทุน 8,699 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 23.3
2.1.3 ดุลการคลังรัฐบาล
ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ของรัฐบาลตามระบบ สศค.เดือนพฤษภาคม 2547 ขาดดุล 2,546 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วเกินดุล 4,335 ล้านบาท
2.2 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - พ.ค.47)
2.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวม 873,176 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 656,268 ล้านบาท รายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ และเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 216,909 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 811,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 23.2 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษี
2.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 873,679 ล้านบาท โดยจ่ายจากงบประมาณจำนวน 750,111 ล้านบาท จากรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 7,406 ล้านบาท รายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 116,162 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้า สู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 812,369 ล้านบาท (แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 743,055 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 69,314 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.9 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 24.3 ในขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
2.2.3 ดุลการคลัง
รัฐบาลเกินดุลการดำเนินงานเบื้องต้น 68,811 ล้านบาท แต่ขาดดุลการให้กู้ยืมสุทธิเล็กน้อย 503 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการให้กู้ยืมตามนโยบายรัฐบาลสุทธิจำนวน 21,756 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลังขาดดุลทั้งสิ้น 22,259 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขาดดุลลดลง 1,116 ล้านบาท
3. ผลกระทบของผลการดำเนินงานรัฐบาลในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ2547 ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
3.1 ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
รายจ่ายของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP โดยตรงมี 2 ส่วนคือรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล (ประกอบด้วยรายจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง การใช้สินค้าและบริการ) และรายจ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรายได้หลักของรัฐบาล คือ ภาษี และเงินสมทบประกันสังคม เป็นการดึงอำนาจซื้อจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีอำนาจซื้อลดลง
รายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ในขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ด้านภาระภาษีและเงินสมทบประกันสังคมของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.3 สะท้อนถึงการจ้างงานและผลประกอบการภาคเอกชนได้ปรับตัวสูงขึ้น (ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 3)
3.2 ภาคการเงิน
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท และได้ชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลังจำนวน 86,975 ล้านบาท และการกู้ยืมเงินโดยการออกตั๋วเงินคลังและพันธบัตรจำนวน 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ การชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลัง ทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ แต่สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน และการกู้เงินของรัฐบาล ยังมีส่วนช่วยลดภาวะสภาพคล่องล้นระบบในตลาดเงิน
4. บทสรุป
ตัวชี้วัดทางการคลังตามระบบ สศค. สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 เศรษฐกิจโดยรวมได้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตัวชี้วัดดังกล่าวได้แก่สัดส่วนภาระภาษีและเงินประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 นอกจากนั้นรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลสูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 10.8 การลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.2 ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลเพียง 503 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (คือดุลเงินสดรวมกับการให้กู้ยืมสุทธิของรัฐบาล) รัฐบาลยังคงขาดดุล 22,259 ล้านบาท โดยภาพรวมนั้นสรุปได้ว่ารัฐบาลเริ่มลดบทบาทการเป็นผู้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงเปลี่ยนเป็นผู้รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และรักษาฐานะการคลังให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อฐานะการคลังในอนาคต
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 50/2547 28 มิถุนายน 2547--
1. ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด (Cash Basis)
1.1 เดือนพฤษภาคม 2547
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 78,289 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 85,112 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 81,141 ล้านบาท และรายจ่ายปีก่อน 3,971 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 6,823 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณซึ่งขาดดุล 6,585 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 13,407 ล้านบาท (ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วซึ่งขาดดุล 30,715 ล้านบาท ) และในเดือนนี้รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตร 3,500 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดสุทธิขาดดุล 9,907 ล้านบาท
1.2 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - พ.ค.47)
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 663,853 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายรวม 740,723 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลนอกงบประมาณ 53,045 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 129,975 ล้านบาท และรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 43,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดสุทธิ 86,975 ล้านบาท (ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 1)
1.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 663,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 80,016 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.7 สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
1.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.2 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 670,675 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) เป็นผลจากการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวน 37,205 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนหมู่บ้านจำนวน 5,817 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 27,460 ล้านบาท จ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ 29,728 ล้านบาท และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 70,112 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 601,537 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 67.1 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 69,134 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 25.9 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
1.2.3 ดุลในงบประมาณ
ดุลในงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท ขาดดุลมากขึ้น 28,510 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการขยายตัวของรายจ่ายในอัตราที่สูง
1.2.4 ดุลนอกงบประมาณ
ดุลนอกงบประมาณขาดดุล 53,045 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลในโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 25,075 ล้านบาท และการใช้เงินคงคลังเพื่อไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกำหนด 31,699 ล้านบาท
1.2.5 การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล
การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 43,000 ล้านบาท ประกอบด้วยการออกตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ
1.3 เงินคงคลังรัฐบาล
เงินคงคลังเบื้องต้น ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 มีจำนวน 44,241 ล้านบาท (ประมาณ 11 วันทำการ) ลดลงจากเดือนที่แล้ว 9,907 ล้านบาท
2. ฐานะการคลังตามระบบ สศค. (GFS Basis)
2.1 เดือนพฤษภาคม 2547
2.1.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น 108,720 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้นำส่งคลัง 93,379 ล้านบาท และรายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 15,341 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 106,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 15.6
2.1.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 110,528 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันและปีก่อนจำนวน 100,202 ล้านบาท รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 906 ล้านบาท และรายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 9,420 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังจากหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 108,643 ล้านบาท (ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 99,944 ล้านบาทและรายจ่ายลงทุน 8,699 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 23.3
2.1.3 ดุลการคลังรัฐบาล
ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ของรัฐบาลตามระบบ สศค.เดือนพฤษภาคม 2547 ขาดดุล 2,546 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วเกินดุล 4,335 ล้านบาท
2.2 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ต.ค.46 - พ.ค.47)
2.2.1 ด้านรายได้
รัฐบาลมีรายได้รวม 873,176 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 656,268 ล้านบาท รายได้จากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณ และเงินช่วยเหลืออีกจำนวน 216,909 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายการนับซ้ำออกแล้ว รัฐบาลมีรายได้สุทธิจำนวน 811,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 23.2 สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษี
2.2.2 ด้านรายจ่าย
รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 873,679 ล้านบาท โดยจ่ายจากงบประมาณจำนวน 750,111 ล้านบาท จากรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือจำนวน 7,406 ล้านบาท รายจ่ายจากกองทุนและเงินฝากนอกงบประมาณอีก 116,162 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้า สู่ระบบเศรษฐกิจ (หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 812,369 ล้านบาท (แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 743,055 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน 69,314 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.9 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 24.3 ในขณะที่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
2.2.3 ดุลการคลัง
รัฐบาลเกินดุลการดำเนินงานเบื้องต้น 68,811 ล้านบาท แต่ขาดดุลการให้กู้ยืมสุทธิเล็กน้อย 503 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการให้กู้ยืมตามนโยบายรัฐบาลสุทธิจำนวน 21,756 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลังขาดดุลทั้งสิ้น 22,259 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขาดดุลลดลง 1,116 ล้านบาท
3. ผลกระทบของผลการดำเนินงานรัฐบาลในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ2547 ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
3.1 ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
รายจ่ายของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP โดยตรงมี 2 ส่วนคือรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล (ประกอบด้วยรายจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง การใช้สินค้าและบริการ) และรายจ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรายได้หลักของรัฐบาล คือ ภาษี และเงินสมทบประกันสังคม เป็นการดึงอำนาจซื้อจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีอำนาจซื้อลดลง
รายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ในขณะที่รายจ่ายลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ด้านภาระภาษีและเงินสมทบประกันสังคมของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.3 สะท้อนถึงการจ้างงานและผลประกอบการภาคเอกชนได้ปรับตัวสูงขึ้น (ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 3)
3.2 ภาคการเงิน
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท และได้ชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลังจำนวน 86,975 ล้านบาท และการกู้ยืมเงินโดยการออกตั๋วเงินคลังและพันธบัตรจำนวน 13,000 และ 30,000 ล้านบาท ตามลำดับ การชดเชยการขาดดุลโดยใช้เงินคงคลัง ทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ แต่สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน และการกู้เงินของรัฐบาล ยังมีส่วนช่วยลดภาวะสภาพคล่องล้นระบบในตลาดเงิน
4. บทสรุป
ตัวชี้วัดทางการคลังตามระบบ สศค. สะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 เศรษฐกิจโดยรวมได้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตัวชี้วัดดังกล่าวได้แก่สัดส่วนภาระภาษีและเงินประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 นอกจากนั้นรายจ่ายเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลสูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 10.8 การลงทุนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.2 ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลเพียง 503 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (คือดุลเงินสดรวมกับการให้กู้ยืมสุทธิของรัฐบาล) รัฐบาลยังคงขาดดุล 22,259 ล้านบาท โดยภาพรวมนั้นสรุปได้ว่ารัฐบาลเริ่มลดบทบาทการเป็นผู้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงเปลี่ยนเป็นผู้รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และรักษาฐานะการคลังให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อฐานะการคลังในอนาคต
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 50/2547 28 มิถุนายน 2547--