งานวิจัยเรื่อง “การประเมินประสิทธิภาพและขีดความสามารถของ SMEs ไทยในภาคการผลิต" หน่วยงานวิจัยที่ได้รับคัดเลือกให้ศึกษาคือ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ บริษัท The Brooke Group จำกัด
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาเจาะลึกเพิ่มเติมจากข้อมูลสภาวะและปัญหาอุปสรรคของภาคการผลิตสาขาต่างๆ ที่เคยมีการศึกษาไว้แล้ว โดยเน้นให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถใช้กำหนดเป้าหมายการยกระดับขีดความสามารถของ SMEs และการขยายบทบาทของ SMEs ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งศึกษาทัศนคติและความพร้อมของ SMEs ในการปรับตัวตามกลยุทธ์ในแผนปรับโครงสร้าง
ผลการศึกษา
ส่วนที่ 1 การประเมินสัดส่วนของ SMEs ในการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศ
- สภาพอุตสาหกรรมทั่วไป : หลังจากปี 2538 อุตสาหกรรมไทยขยายตัวในอัตราลดลง แต่เมื่อเทียบกับภาคเกษตรกรรมแล้ว ภาคอุตสาหกรรมยังมีสัดส่วนการผลิตที่สูงและสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
- สัดส่วนและบทบาท : ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมของประเทศไทย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีจำนวนมากที่สุดประมาณร้อยละ 89.36 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด
- ปัญหา : ปัญหาที่พบมากที่สุดในการดำเนินการผลิต คือปัญหาการขาดแคลนทุน ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ปัญหาด้านการตลาด ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และปัญหาความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล
- ความต้องการ : มาตรการที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือ การลดอัตราดอกเบี้ยหรือการปล่อยเงินกู้ การลดอัตราภาษีนำเข้า การส่งเสริมทางด้านการตลาดทั้งในประเทศและการส่งออก
ส่วนที่ 2 การประเมินผลิตภาพของ SMIs ประกอบด้วย
1.1 ผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวม (TFP) ของเศรษฐกิจโดยรวม
อัตราการขยายตัวของผลิตภายปัจจัยการผลิตโดยรวมในช่วงปี 1991-1996 มีค่าเฉลี่ยติดลบ 0.86% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะยังคงสามารถมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้ในเวลานั้น เป็นผลจากการขยายตัวของปัจจัยทุนเป็นหลัก ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม TFPG มีบทบาทสูง โดยเฉพาะประเทศฮ่องกงและเกาหลีใต้มีขนาดการขยายตัวสูงกว่าลาตินอเมริกาซึ่งทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวในเกณฑ์ดีกว่าประเทศกลุ่มลาตินอเมริกาด้วย
1.2 ผลิตภาพแรงงานของเศรษฐกิจ
- จากการวิเคราะห์การเพิ่มผลผลิตของแรงงาน (Labor Productivity) ใน 2 กรณี ได้แก่การเปรียบเทียบต่อจำนวนแรงงานและต่อชั่วโมงการทำงาน ในช่วงก่อนวิกฤติการณ์นั้น ค่าดัชนีทั้ง 2 กรณีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในช่วงวิกฤติการณ์ (2540/2539) ค่าดัชนีต่อจำนวนแรงงานลดลง แต่สำหรับกรณีเปรียบเทียบกับจำนวนชั่วโมงทำงานพบว่ายังคงสูงขึ้น และปรับลดลงในปี 2541 เนื่องจากมีแรงงานส่วนเกินจำนวนมาก และแรงงานบางส่วนไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
- เปรียบเทียบผลิตภาพแรงงานไทยกับต่างประเทศ ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน กับประเทศพัฒนาแล้ว เช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ช่วง 2535-2540 พบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีผลิตภาพแรงงานสูงสุด โดยที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีผลิตภาพสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเซีย รองลงมาคือ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียตามลำดับ
-ในปี 2542 ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงจากลำดับที่ 14 เป็น 32 โดยในด้านแรงงานนั้นกำลังแรงงานไทยมีระดับการศึกษาโดยเปรียบเทียบต่ำมากในกลุ่มอาเซียน
-จีนมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าไทย ดังนั้นศักยภาพในการแข่งขันของจีนจึงมีค่อนข้างสูง
1.3 ผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวม (TFP) ของอุตสาหกรรมรายสาขา
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลืตโดยรวมอยู่ในระดับสูงได้แก่ เคมีภัณฑ์ อโลหะ และยานพาหนะและอุปกรณ์
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลืตในระดับปานกลาง ได้แก่อุตสาหกรรมเครื่องมือเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องดื่มและยาสูบ สิ่งทอเครื่องหนังและรองเท้า อาหาร เครื่องจักร โลหะและยาง และพลาสติก
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลิตติดลบ ได้แก่อุตสาหกรรมการพิมพ์ ไม้ กระดาษ และเฟอร์นิเจอร์ และปิโตรเคมี เนื่องจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมและมีสัดส่วนการส่งออกต่ำ ทำให้ระดับการแข่งขันน้อย
- ปัจจัยทุนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนหรือสนับสนุนต่อการขยายตัว
- การลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกเป็นปัจจัยที่สามารถช่วยสนับสนุนอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลิต
1.4 ผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ของอุตสาหกรรมรายสาขา
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยนั้นพบว่ามีที่มาจากปัจจัยแรงงานเพียงร้อยละ 10 ซึ่งแรงงานในประเทศไทยยังคงอยู่ในภาคเกษตรกรรมและมีระดับการศึกษาต่ำ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถของแรงงานในประเทศเหล่านี้ให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย
1.5 ผลิตภาพที่คำนวณโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (2542)
- ดัชนีที่พิจารณาคัดเลือกมาและสามารถใช้ประโยชน์ได้ จำนวน 2 ตัว ได้แก่ มูลค่าเพิ่มต่อแรงงาน (Amount of Processing per Employee) และมูลค่าของเครื่องจักรต่อคนงาน (Value of Machine per Employee)
- กลุ่มที่มีค่าผลิตภาพแรงงานอยู่ในเกณฑ์สูง ( 1 ล้านบาทหรือมากกว่า) ได้แก่ ปิโตรเคมี เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ และยาง
- กลุ่มที่ใช้เครื่องจักรหรือปัจจัยทุนต่อแรงงานเป็นสัดส่วนที่สูง (1 ล้านบาทหรือมากกว่า) ได้แก่ เหล็ก ปิโตรเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาและเคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ
1.6 ผลการคำนวณผลิตภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ
- ภาคอุตสาหกรรมไทย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมใช้ปัจจัยทุนต่อแรงงานในสัดส่วนที่ต่ำกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่
- วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลผลิตต่อจำนวนแรงงาน (ผลิตภาพของแรงงาน) มูลค่าเพิ่มต่อจำนวนแรงงาน ตลอดจนอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าของวิสาหกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลผลิตต่อปัจจัยทุน ( - ผลิตภาพของปัจจัยทุน) สูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ ผลิตภาพของปัจจัยการผลิตรวม (TFP) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีระดับผลิตภาพสูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลิตภาพของปัจจัยทุนที่สูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่
- กรณีศึกษาผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดต่างๆ เป็นรายอุตสาหกรรม พบว่า ผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไม่แตกต่างจากผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดใหญ่มากนัก กล่าวคือใน 54 อุตสาหกรรม
- มี 18 อุตสาหกรรมที่วิสาหกิจขนาดเล็กมี TFP สูงสุด - มี 17 อุตสาหกรรมที่มีวิสาหกิจขนาดกลางมี TFP สูงสุด
— มี 19 อุตสาหกรรมที่มีวิสาหกิจขนาดใหญ่มี TFP สูงสุด
1.7 ข้อเสนอแนะสูตรและการปรับปรุงฐานข้อมูล การปรับปรุงข้อมูลและวิธีการจัดเก็บ ควรทำดังนี้
- หากข้อมูลเป็นรายวิสาหกิจ ควรเป็นข้อมูลจากวิสาหกิจเดียวกันที่จัดเก็บเป็นระยะเวลาและอย่างต่อเนื่อง
- หากข้อมูลเป็นระดับกลุ่มอุตสาหกรรม ควรเป็นข้อมูลสำมะโนอุตสาหกรรมซึ่งรวบรวมจากสถานประกอบการทั่วประเทศ
- ในกรณีที่ข้อมูลรวบรวมได้จากการสำรวจสถานประกอบการอุตสาหกรรม ควรประมาณการข้อมูลจากการสำรวจขึ้นเป็นข้อมูลในระดับประชากร อย่างไรก็ตามพึงระมัดระวังว่าในการปรับข้อมูลจากการสำรวจขึ้นเป็นข้อมูลในระดับประชากรนั้น ในทางปฏิบัติอาจประสบปัญหาความคลาดเคลื่ออันเนื่องมากจากขนาดตัวอย่างที่เล็กเกินไป การไม่ได้ข้อมูลจากสถานประกอบการที่มีอยู่ในขอบข่ายของการสำรวจ หรือผู้กรอกแบบสอบถามไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ดังนั้นหากต้องการปรับปรุงข้อมูลให้มีคุณภาพเหมาะสมและน่าเชื่อถือแล้ว ควรดำเนินการดังนี้คือ เพิ่มขนาดตัวอย่างตลอดจนแสวงหามาตรการจูงใจ เพื่อให้สถานประกอบการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลอย่างสมบูรณ์และถูกต้อง
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาเจาะลึกเพิ่มเติมจากข้อมูลสภาวะและปัญหาอุปสรรคของภาคการผลิตสาขาต่างๆ ที่เคยมีการศึกษาไว้แล้ว โดยเน้นให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถใช้กำหนดเป้าหมายการยกระดับขีดความสามารถของ SMEs และการขยายบทบาทของ SMEs ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งศึกษาทัศนคติและความพร้อมของ SMEs ในการปรับตัวตามกลยุทธ์ในแผนปรับโครงสร้าง
ผลการศึกษา
ส่วนที่ 1 การประเมินสัดส่วนของ SMEs ในการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศ
- สภาพอุตสาหกรรมทั่วไป : หลังจากปี 2538 อุตสาหกรรมไทยขยายตัวในอัตราลดลง แต่เมื่อเทียบกับภาคเกษตรกรรมแล้ว ภาคอุตสาหกรรมยังมีสัดส่วนการผลิตที่สูงและสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
- สัดส่วนและบทบาท : ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมของประเทศไทย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีจำนวนมากที่สุดประมาณร้อยละ 89.36 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด
- ปัญหา : ปัญหาที่พบมากที่สุดในการดำเนินการผลิต คือปัญหาการขาดแคลนทุน ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ปัญหาด้านการตลาด ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และปัญหาความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล
- ความต้องการ : มาตรการที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือ การลดอัตราดอกเบี้ยหรือการปล่อยเงินกู้ การลดอัตราภาษีนำเข้า การส่งเสริมทางด้านการตลาดทั้งในประเทศและการส่งออก
ส่วนที่ 2 การประเมินผลิตภาพของ SMIs ประกอบด้วย
1.1 ผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวม (TFP) ของเศรษฐกิจโดยรวม
อัตราการขยายตัวของผลิตภายปัจจัยการผลิตโดยรวมในช่วงปี 1991-1996 มีค่าเฉลี่ยติดลบ 0.86% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะยังคงสามารถมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้ในเวลานั้น เป็นผลจากการขยายตัวของปัจจัยทุนเป็นหลัก ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม TFPG มีบทบาทสูง โดยเฉพาะประเทศฮ่องกงและเกาหลีใต้มีขนาดการขยายตัวสูงกว่าลาตินอเมริกาซึ่งทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวในเกณฑ์ดีกว่าประเทศกลุ่มลาตินอเมริกาด้วย
1.2 ผลิตภาพแรงงานของเศรษฐกิจ
- จากการวิเคราะห์การเพิ่มผลผลิตของแรงงาน (Labor Productivity) ใน 2 กรณี ได้แก่การเปรียบเทียบต่อจำนวนแรงงานและต่อชั่วโมงการทำงาน ในช่วงก่อนวิกฤติการณ์นั้น ค่าดัชนีทั้ง 2 กรณีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในช่วงวิกฤติการณ์ (2540/2539) ค่าดัชนีต่อจำนวนแรงงานลดลง แต่สำหรับกรณีเปรียบเทียบกับจำนวนชั่วโมงทำงานพบว่ายังคงสูงขึ้น และปรับลดลงในปี 2541 เนื่องจากมีแรงงานส่วนเกินจำนวนมาก และแรงงานบางส่วนไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
- เปรียบเทียบผลิตภาพแรงงานไทยกับต่างประเทศ ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน กับประเทศพัฒนาแล้ว เช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ช่วง 2535-2540 พบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีผลิตภาพแรงงานสูงสุด โดยที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีผลิตภาพสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเซีย รองลงมาคือ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียตามลำดับ
-ในปี 2542 ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงจากลำดับที่ 14 เป็น 32 โดยในด้านแรงงานนั้นกำลังแรงงานไทยมีระดับการศึกษาโดยเปรียบเทียบต่ำมากในกลุ่มอาเซียน
-จีนมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าไทย ดังนั้นศักยภาพในการแข่งขันของจีนจึงมีค่อนข้างสูง
1.3 ผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวม (TFP) ของอุตสาหกรรมรายสาขา
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลืตโดยรวมอยู่ในระดับสูงได้แก่ เคมีภัณฑ์ อโลหะ และยานพาหนะและอุปกรณ์
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลืตในระดับปานกลาง ได้แก่อุตสาหกรรมเครื่องมือเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องดื่มและยาสูบ สิ่งทอเครื่องหนังและรองเท้า อาหาร เครื่องจักร โลหะและยาง และพลาสติก
- อุตสาหกรรมที่มีอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลิตติดลบ ได้แก่อุตสาหกรรมการพิมพ์ ไม้ กระดาษ และเฟอร์นิเจอร์ และปิโตรเคมี เนื่องจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมและมีสัดส่วนการส่งออกต่ำ ทำให้ระดับการแข่งขันน้อย
- ปัจจัยทุนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนหรือสนับสนุนต่อการขยายตัว
- การลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกเป็นปัจจัยที่สามารถช่วยสนับสนุนอัตราการขยายตัวของผลิตภาพปัจจัยการผลิต
1.4 ผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ของอุตสาหกรรมรายสาขา
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยนั้นพบว่ามีที่มาจากปัจจัยแรงงานเพียงร้อยละ 10 ซึ่งแรงงานในประเทศไทยยังคงอยู่ในภาคเกษตรกรรมและมีระดับการศึกษาต่ำ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถของแรงงานในประเทศเหล่านี้ให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย
1.5 ผลิตภาพที่คำนวณโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (2542)
- ดัชนีที่พิจารณาคัดเลือกมาและสามารถใช้ประโยชน์ได้ จำนวน 2 ตัว ได้แก่ มูลค่าเพิ่มต่อแรงงาน (Amount of Processing per Employee) และมูลค่าของเครื่องจักรต่อคนงาน (Value of Machine per Employee)
- กลุ่มที่มีค่าผลิตภาพแรงงานอยู่ในเกณฑ์สูง ( 1 ล้านบาทหรือมากกว่า) ได้แก่ ปิโตรเคมี เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ และยาง
- กลุ่มที่ใช้เครื่องจักรหรือปัจจัยทุนต่อแรงงานเป็นสัดส่วนที่สูง (1 ล้านบาทหรือมากกว่า) ได้แก่ เหล็ก ปิโตรเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาและเคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ
1.6 ผลการคำนวณผลิตภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ
- ภาคอุตสาหกรรมไทย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมใช้ปัจจัยทุนต่อแรงงานในสัดส่วนที่ต่ำกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่
- วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลผลิตต่อจำนวนแรงงาน (ผลิตภาพของแรงงาน) มูลค่าเพิ่มต่อจำนวนแรงงาน ตลอดจนอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าของวิสาหกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลผลิตต่อปัจจัยทุน ( - ผลิตภาพของปัจจัยทุน) สูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ ผลิตภาพของปัจจัยการผลิตรวม (TFP) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีระดับผลิตภาพสูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีผลิตภาพของปัจจัยทุนที่สูงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่
- กรณีศึกษาผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดต่างๆ เป็นรายอุตสาหกรรม พบว่า ผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไม่แตกต่างจากผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดใหญ่มากนัก กล่าวคือใน 54 อุตสาหกรรม
- มี 18 อุตสาหกรรมที่วิสาหกิจขนาดเล็กมี TFP สูงสุด - มี 17 อุตสาหกรรมที่มีวิสาหกิจขนาดกลางมี TFP สูงสุด
— มี 19 อุตสาหกรรมที่มีวิสาหกิจขนาดใหญ่มี TFP สูงสุด
1.7 ข้อเสนอแนะสูตรและการปรับปรุงฐานข้อมูล การปรับปรุงข้อมูลและวิธีการจัดเก็บ ควรทำดังนี้
- หากข้อมูลเป็นรายวิสาหกิจ ควรเป็นข้อมูลจากวิสาหกิจเดียวกันที่จัดเก็บเป็นระยะเวลาและอย่างต่อเนื่อง
- หากข้อมูลเป็นระดับกลุ่มอุตสาหกรรม ควรเป็นข้อมูลสำมะโนอุตสาหกรรมซึ่งรวบรวมจากสถานประกอบการทั่วประเทศ
- ในกรณีที่ข้อมูลรวบรวมได้จากการสำรวจสถานประกอบการอุตสาหกรรม ควรประมาณการข้อมูลจากการสำรวจขึ้นเป็นข้อมูลในระดับประชากร อย่างไรก็ตามพึงระมัดระวังว่าในการปรับข้อมูลจากการสำรวจขึ้นเป็นข้อมูลในระดับประชากรนั้น ในทางปฏิบัติอาจประสบปัญหาความคลาดเคลื่ออันเนื่องมากจากขนาดตัวอย่างที่เล็กเกินไป การไม่ได้ข้อมูลจากสถานประกอบการที่มีอยู่ในขอบข่ายของการสำรวจ หรือผู้กรอกแบบสอบถามไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ดังนั้นหากต้องการปรับปรุงข้อมูลให้มีคุณภาพเหมาะสมและน่าเชื่อถือแล้ว ควรดำเนินการดังนี้คือ เพิ่มขนาดตัวอย่างตลอดจนแสวงหามาตรการจูงใจ เพื่อให้สถานประกอบการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลอย่างสมบูรณ์และถูกต้อง
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-