นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤษภาคม 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคมยังคงมีแนวโน้มที่ขยายตัวดี การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในอัตราเร่ง ขณะที่การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงทั้งการส่งออกและนำเข้า ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.8 ต่อปี แม้ว่าความต้องการสินค้าคงทนทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน ส่งผลให้ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 26.8 ต่อปีในเดือนเมษายน ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 99.9 จุด เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบบั่นทอนความเชื่อผู้บริโภคอยู่ ได้แก่ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น
การลงทุนภาคเอกชนในเครื่องมือเครื่องจักรยังขยายตัวในอัตราเร่ง เพื่อทดแทนกำลังการผลิตเดิมและขยายกำลังการผลิต โดยปริมาณการ นำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 14.9 ต่อปี ขณะที่รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคมขยายตัวถึงร้อยละ 75.5 ต่อปี สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มสู่อัตราปกติ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ขยายตัวดี โดยในเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงขึ้น โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 31.3 ต่อปี เนื่องจากผลของการเบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราใหม่ในช่วงที่ผ่านมา แยกเป็นรายจ่ายประจำสูงขึ้นร้อยละ 35.2 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การค้าระหว่างประเทศยังคงขยายตัวสูง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 19.7 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 ต่อปี ดุลการค้าเดือนพฤษภาคมกลับมาเกินดุลทั้งสิ้น 130 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดี ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องดื่ม เป็นต้น ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนเมษายนสูงถึงร้อยละ 69.8 ลดลงจากร้อยละ 77.7 ในเดือนก่อนเนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 6.7 ต่อปี ในเดือนเมษายน ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 10.2 ต่อปี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามการปรับตัวสูงขึ้นของราคาในหมวดอาหาร โดยเฉพาะข้าวและเนื้อสัตว์ อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤษภาคม จากเฉลี่ย 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเมษายน ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเมษายนขาดดุลทั้งสิ้น 19 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดดุลการค้า ขณะที่ดุลบริการเกินดุลลดลง เนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประกอบเป็นช่วงเวลาที่ภาคเอกชนส่งกำไรและเงินปันผลออกนอกประเทศ ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม คิดเป็น 5.6 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤษภาคม 2547) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 751,789 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.0 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่าย ไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 13.6 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณระบบกระแสเงินสดขาดดุล 76,930 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 53,045 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในระบบ สศค. พบว่าขาดดุล 2,546 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2547 เท่ากับ 2,850 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.0 ของ GDP ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 11 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 24.9 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤษภาคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.8 ต่อปี สูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 20.0 ต่อปี ในเดือนเมษายน 2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี ลดลงจากร้อยละ 26.8 ต่อปี ในเดือนก่อน 3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 99.9 จุด ลดลงจาก 101.6 จุด เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเนื่อง 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 และ 18.3 ต่อปี ตามลำดับ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่งเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น โดย 1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำ ธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 75.5 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีเข้าสู่เป็นอัตราปกติ 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 29.1 และ 14.9 ต่อปี ตามลำดับ 3) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 30.7 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.5 ต่อปี 4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี 5) ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับ 50.2 จุด
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 19.7 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 4.4 ในเดือนเมษายน 2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.2 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนพฤษภาคมกลับมาเกินคุลการค้าอีกครั้งโดยเกินดุลทั้งสิ้น 130 ล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ขาดดุลการค้าจำนวน 242.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนเมษายน
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงขึ้น โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 103.2 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.3 ต่อปี เนื่องจากการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการในอัตราใหม่ที่ปรับเพิ่มในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาคการผลิตยังคงขยายตัวดีเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 11.8 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 69.8 ชะลอลงจากร้อยละ 77.7 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันในเดือนเมษายน
สินเชื่อและเงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดย 1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 5.7 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 4.9 ต่อปีในเดือนมีนาคม 2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 6.7 ต่อปี ในเดือนเมษายน สูงขึ้นจากเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 6.2 ต่อปี 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.2 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ลดลงจากร้อยละ 12.8 ในไตรมาสก่อน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย 1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ต่อปี 2) สินเชื่อ คงขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.06 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนมีนาคมจำนวน 48.1 พันล้านบาท ส่งผลให้มีสินเชื่ออนุมัติใหม่ในไตรมาสที่ 1 ทั้งสิ้น 132.4 พันล้านบาท 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 106.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.1 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจเดือนมีนาคมกำไรสุทธิ จำนวน 1,721 ล้านบาท ขณะที่ ในไตรมาสแรกของปี 47 สถาบันการเฉพาะกิจมีกำไรสุทธิจำนวน 4,298.2 ล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสิน
ค้าในหมวดอาหาร โดยเฉพาะข้าวและเนื้อสัตว์ 2) อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤษภาคม จากเฉลี่ย 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเมษายน 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเมษายนขาดดุลทั้งสิ้น 19 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดดุลการค้า และดุลบริการเกินดุลลดลงเนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประกอบเป็นช่วงเวลาที่ภาคเอกชนส่งกำไรและเงินปันผลออกนอกประเทศ 4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนเมษายน คิดเป็น 5.6 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2547 และช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บเบื้องต้นรวม 192,397 ล้านบาท สูงกว่าประมาณปรับปรุง 26,758 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 38.5) และมีรายได้จัดเก็บสุทธิรวม 165,826 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 24,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.1 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 33.8)
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤษภาคม 2547) รายได้จัดเก็บรวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 856,120 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 30,570 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 20.3) โดยมีรายได้จัดเก็บสุทธิ 751,789 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 24,893 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 19.0) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนพฤษภาคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 85,112 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 11.9) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 81,141 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 3,971 ล้านบาท ทั้งนี้การเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 135,500 ล้านบาท ที่เริ่มต้นเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน 49,851 ล้านบาท โดยในเดือนพฤษภาคม 2547 มีการเบิกจ่าย 6,245 ล้านบาท
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 46- พฤษภาคม 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.6 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 670,671 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 70,112 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 601,537 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 67.1 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 69,134 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 25.9 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 78,289 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 85,112 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 6,823 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุล 6,585 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล 13,407 ล้านบาทสำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 663,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 80,015 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.7 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 740,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 108,525 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.2 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 53,045 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 93,667 ล้านบาท ขณะที่มีรายจ่ายรวม 100,490 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 6,823 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 618 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 4,895 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 2,546 ล้านบาท
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 658,573 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายมีจำนวน 752,416 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 93,843 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 5,101 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 76,685 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 22,259 ล้านบาท
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2547 เท่ากับ 2,850 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.01 ของ GDP ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2547 10.8 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP โดยประกอบด้วยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,614 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 849 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 387 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 24.88 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 24.94 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 13.7 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 9.2 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลงสุทธิ 6.3 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 8/2547 29 มิถุนายน 2547--
เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคมยังคงมีแนวโน้มที่ขยายตัวดี การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในอัตราเร่ง ขณะที่การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงทั้งการส่งออกและนำเข้า ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนั้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี และฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.8 ต่อปี แม้ว่าความต้องการสินค้าคงทนทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อน ส่งผลให้ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 26.8 ต่อปีในเดือนเมษายน ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 99.9 จุด เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบบั่นทอนความเชื่อผู้บริโภคอยู่ ได้แก่ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น
การลงทุนภาคเอกชนในเครื่องมือเครื่องจักรยังขยายตัวในอัตราเร่ง เพื่อทดแทนกำลังการผลิตเดิมและขยายกำลังการผลิต โดยปริมาณการ นำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 14.9 ต่อปี ขณะที่รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคมขยายตัวถึงร้อยละ 75.5 ต่อปี สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากอัตราภาษีที่ปรับเพิ่มสู่อัตราปกติ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ขยายตัวดี โดยในเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงขึ้น โดยรายจ่ายจากงบประมาณเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 31.3 ต่อปี เนื่องจากผลของการเบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราใหม่ในช่วงที่ผ่านมา แยกเป็นรายจ่ายประจำสูงขึ้นร้อยละ 35.2 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การค้าระหว่างประเทศยังคงขยายตัวสูง โดยมูลค่าการส่งออกเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 19.7 ต่อปี ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 ต่อปี ดุลการค้าเดือนพฤษภาคมกลับมาเกินดุลทั้งสิ้น 130 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดี ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องดื่ม เป็นต้น ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนเมษายนสูงถึงร้อยละ 69.8 ลดลงจากร้อยละ 77.7 ในเดือนก่อนเนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 6.7 ต่อปี ในเดือนเมษายน ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 10.2 ต่อปี
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามการปรับตัวสูงขึ้นของราคาในหมวดอาหาร โดยเฉพาะข้าวและเนื้อสัตว์ อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤษภาคม จากเฉลี่ย 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเมษายน ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเมษายนขาดดุลทั้งสิ้น 19 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดดุลการค้า ขณะที่ดุลบริการเกินดุลลดลง เนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประกอบเป็นช่วงเวลาที่ภาคเอกชนส่งกำไรและเงินปันผลออกนอกประเทศ ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม คิดเป็น 5.6 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความมั่นคงและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤษภาคม 2547) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง ทำให้รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 751,789 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 19.0 ในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีการเบิกจ่าย ไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 13.6 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณระบบกระแสเงินสดขาดดุล 76,930 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 53,045 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท เมื่อพิจารณาดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในระบบ สศค. พบว่าขาดดุล 2,546 ล้านบาท สำหรับหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2547 เท่ากับ 2,850 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.0 ของ GDP ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 11 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 24.9 ของ GDP
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤษภาคม 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดย 1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.8 ต่อปี สูงขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 20.0 ต่อปี ในเดือนเมษายน 2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนเดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี ลดลงจากร้อยละ 26.8 ต่อปี ในเดือนก่อน 3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 99.9 จุด ลดลงจาก 101.6 จุด เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันสูงยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเนื่อง 4) มูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 และ 18.3 ต่อปี ตามลำดับ
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราเร่งเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น โดย 1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำ ธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคมยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 75.5 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีเข้าสู่เป็นอัตราปกติ 2) การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 29.1 และ 14.9 ต่อปี ตามลำดับ 3) มูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 30.7 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.5 ต่อปี 4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี 5) ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับ 50.2 จุด
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง 1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 19.7 ต่อปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 4.4 ในเดือนเมษายน 2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 8.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 ต่อปี ส่วนปริมาณการนำเข้าเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.2 ต่อปี 3) ดุลการค้าเดือนพฤษภาคมกลับมาเกินคุลการค้าอีกครั้งโดยเกินดุลทั้งสิ้น 130 ล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ขาดดุลการค้าจำนวน 242.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนเมษายน
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงขึ้น โดยรายจ่ายงบประมาณตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 103.2 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.3 ต่อปี เนื่องจากการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการในอัตราใหม่ที่ปรับเพิ่มในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2 ต่อปี ขณะที่รายจ่ายลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาคการผลิตยังคงขยายตัวดีเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยายตัวร้อยละ 11.8 ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 9.0 ต่อปี ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 69.8 ชะลอลงจากร้อยละ 77.7 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันในเดือนเมษายน
สินเชื่อและเงินฝากธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดย 1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 5.7 ต่อปี สูงขึ้นจากร้อยละ 4.9 ต่อปีในเดือนมีนาคม 2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 6.7 ต่อปี ในเดือนเมษายน สูงขึ้นจากเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 6.2 ต่อปี 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับร้อยละ 12.2 ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ลดลงจากร้อยละ 12.8 ในไตรมาสก่อน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย 1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ต่อปี 2) สินเชื่อ คงขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1.06 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ต่อปี และเป็นสินเชื่อที่อนุมัติใหม่ในเดือนมีนาคมจำนวน 48.1 พันล้านบาท ส่งผลให้มีสินเชื่ออนุมัติใหม่ในไตรมาสที่ 1 ทั้งสิ้น 132.4 พันล้านบาท 3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 106.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.1 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด 4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจเดือนมีนาคมกำไรสุทธิ จำนวน 1,721 ล้านบาท ขณะที่ ในไตรมาสแรกของปี 47 สถาบันการเฉพาะกิจมีกำไรสุทธิจำนวน 4,298.2 ล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง 1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสิน
ค้าในหมวดอาหาร โดยเฉพาะข้าวและเนื้อสัตว์ 2) อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤษภาคม จากเฉลี่ย 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเมษายน 3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเมษายนขาดดุลทั้งสิ้น 19 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดดุลการค้า และดุลบริการเกินดุลลดลงเนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประกอบเป็นช่วงเวลาที่ภาคเอกชนส่งกำไรและเงินปันผลออกนอกประเทศ 4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 42.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนเมษายน คิดเป็น 5.6 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.6 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2547 และช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547
1. ด้านรายได้
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บเบื้องต้นรวม 192,397 ล้านบาท สูงกว่าประมาณปรับปรุง 26,758 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 38.5) และมีรายได้จัดเก็บสุทธิรวม 165,826 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 24,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.1 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 33.8)
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - พฤษภาคม 2547) รายได้จัดเก็บรวมของรัฐบาลสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยมีรายได้รวม 856,120 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 30,570 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 20.3) โดยมีรายได้จัดเก็บสุทธิ 751,789 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการปรับปรุง 24,893 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 19.0) สาเหตุที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นมากเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภคและฐานรายได้เพิ่มขึ้นมาก
2. ด้านรายจ่าย
การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในเดือนพฤษภาคม 2547 มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปทั้งสิ้น 85,112 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 11.9) โดยเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบัน 81,141 ล้านบาท และเป็นการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 3,971 ล้านบาท ทั้งนี้การเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 135,500 ล้านบาท ที่เริ่มต้นเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน 49,851 ล้านบาท โดยในเดือนพฤษภาคม 2547 มีการเบิกจ่าย 6,245 ล้านบาท
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 46- พฤษภาคม 47) ได้มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 740,783 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.6 โดยในส่วนของงบประมาณปีปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 670,671 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57.6 ของวงเงินงบประมาณ (1,163,500 ล้านบาท) และเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีกจำนวน 70,112 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณของปีปัจจุบันนั้น เป็นการเบิกจ่ายในส่วนของงบประจำ จำนวน 601,537 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 67.1 ของงบประจำทั้งสิ้น) และงบลงทุน จำนวน 69,134 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 25.9 ของงบลงทุนทั้งสิ้น)
3. ฐานะการคลัง
3.1 ฐานะการคลังตามระบบกระแสเงินสด
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 78,289 ล้านบาท มีรายจ่ายรวม 85,112 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 6,823 ล้านบาท ในขณะที่ดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุล 6,585 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุล 13,407 ล้านบาทสำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 663,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 80,015 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.7 ขณะเดียวกันมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากงบประมาณปีปัจจุบัน และปีก่อนรวม 740,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 108,525 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.2 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 76,930 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุล 53,045 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุลรวมทั้งสิ้น 129,975 ล้านบาท
3.2 ฐานะการคลังตามระบบ สศค.
ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 93,667 ล้านบาท ขณะที่มีรายจ่ายรวม 100,490 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 6,823 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 618 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 4,895 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 2,546 ล้านบาท
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลมีรายได้รวม 658,573 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายมีจำนวน 752,416 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 93,843 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายจ่ายจากเงินกู้จากต่างประเทศ 5,101 ล้านบาท และดุลการคลังของกองทุนนอกงบประมาณที่เกินดุล 76,685 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลขาดดุล 22,259 ล้านบาท
4. หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2547 เท่ากับ 2,850 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.01 ของ GDP ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2547 10.8 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ของ GDP โดยประกอบด้วยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 1,614 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 849 พันล้านบาท และหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 387 พันล้านบาท ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณคิดเป็นร้อยละ 24.88 ของ GDP (ลดลงจากร้อยละ 24.94 ในเดือนที่แล้ว)
หนี้สาธารณะคงค้าง ที่เปลี่ยนไปเป็นผลจากหนี้คงค้างรัฐบาลลดลงสุทธิ 13.7 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นสุทธิ 9.2 พันล้านบาท และหนี้ FIDF ลดลงสุทธิ 6.3 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 8/2547 29 มิถุนายน 2547--