นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยจะเปิดการค้าเสรีกับประเทศออสเตรเลีย (FTA) การรัฐบาลออกมาประชาสัมพันธ์ ถึงสิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับตามข้อตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรี ซึ่งจากการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าข้อมูลจากภาครัฐบาลมีน้อย ก่อนหน้าที่จะมีการเซนต์สัญญา แต่ข้อมูลส่วนมากได้มาจากประเทศออสเตรเลีย จึงเป็นที่สังเกตว่าทำไมประเทศไทยจึงมีความพยายามที่จะปิดบังข้อมูลรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว โดยอ้างว่าการเจราจายังไม่ได้ข้อยุติ แต่จากการศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์พบว่ากรณีที่รัฐบาลบอกว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดการค้าเสรีในครั้งนี้ พบว่าประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับน่าจะน้อยกว่าที่ประเทศออสเตรเลียจะได้รับ และที่สำคัญสิ่งที่ประเทศไทยได้รับเป็นเพียงผลประโยชน์น้อย และอาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย และมีส่วนทำให้บริษัทที่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ได้ประโยชน์จากการเปิด FTA อย่างมาก
ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อเกษตรกรไทย และสินค้าไทยอย่างมาก แม้นายกฯ จะออกมาบอกว่าจะไม่กระทบในขณะนี้ แต่ก็ไม่มีหลักประกัน เพราะไม่มีการเตรียมการเพื่อป้องกัน หรือแก้ไขในเรื่องนี้แต่อย่างไร สิ่งที่ตนจะชี้ให้เห็นก็คือมีการตั้งคำถามกันมาก ในกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย ในเรื่องการเปิด FTA ซึ่งตนจะชี้ให้เห็นถึงว่า ที่ผ่านมาธุรกิจดาวเทียม โทรคมนาคม จะมีปัญหาเรื่องการถูกจำกัดน่านฟ้า แต่หากมีการเปิด FTA ทำให้ประเทศออสเตรเลีย เปิดน่านฟ้าให้ประทศไทยมากขึ้น จึงเห็นได้ชัดว่าทำให้บริษัท หรือธุรกิจเกี่ยวกับการโทรคมนาคม การสื่อสารดาวเทียม เปิดมากขึ้น ซึ่งบริษัทที่มีประโยชน์ คือบริษัทที่ศักยภาพสูงสุดในประเทศซึ่งได้แก่ บริษัท ชินแซทเทลไลท์
‘สิ่งที่รัฐบาลพยามเน้นย้ำมากที่สุดคือไทยสามารถขอวีซ่าเข้าออสเตรเลียง่ายขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชนจะเสียประโยชน์ โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกร ซึ่งแต่ก่อนการนำเข้าสินค้าจากเกษตรจากออสเตรเสียต้องเสียภาษีค่อนข้างสูง ซึ่งหลังจากการการค้าเสรีก็จะไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าว ซึ่งไทยเป็นประเทศเกษตร จึงได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก’นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อประเทศออสเตรเลีย เปิดให้บริษัทของไทยเข้าซื้อหุ้นเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ชื่อบริษัทออสตุส ซึ่งเป็นริษัทที่ให้บริการของประเทศออสเตรเลีย และบริษัท โวดาโฟน ซึ่งจะเห็นชื่อนี้ปรากฎในเสื้อทีมฟุตบอลอังกฤษทีมหนึ่ง ซึ่งบริษัทนี้คือบริษัทขายมือถือของประเทศออสเตรเลีย พร้อมกันนั้นก็จะให้สิทธิลงทุนในบริษัทเทลสตาร์ เป็นรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคมของออสเตรเลีย
ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทออฟตุส คือบริษัทสิงเทล หรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทชิน และจะเห็นว่าการเปิดการเสรีออสเตรเลียครั้งนี้ แน่นอนที่สุดทันทีที่ออสเตรเลียเปิดในเรื่องน่านฟ้าให้บริษัทโทรคมนาคม สื่อสารดาวเทียมต่างๆเข้าไป บริษัทในประเทศไทยที่จะเข้าไปได้คือบริษัทชินฯ และเอไอเอส
นายองอาจ กล่าวต่อว่า การที่นายกฯ ออกมาบอกว่า เสียงวิจารณ์ เป็นพวกแผ่นเสียงตกร่อง รัฐบาลต้องยอมรับว่ารัฐบาลชอบทิ้งร่องรอยให้นักวิชาการ และฝ่ายค้านไปพบความไม่ชอบมาพากลอยู่เรื่อยๆ โดยเพราะเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ก็ยังจะมีต่อไปหากการบริหารประเทศไม่มีความโปร่งใส สร้างผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ตลอดเวลา จากนโยบายดำเนินการบริหาราชการแผ่นดิน รวมทั้งนโยบายเปิดการค้าเสรีด้วย และรัฐบาลไม่อาจตอบข้อสงสัยของคนไทยได้ มี 3 ข้อ 1. ประเทศไทยเสียประโยชน์มากกว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรีในครั้งนี้ ใช่หรือไม่ 2.ทำไมรัฐบาลไทยไม่เปิดเผยข้อมูล รายละเอียดอย่างโปร่งใส ก่อนเซนต์ข้อตกลง 3.รับบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะธุรกิจโทรคมนาคม
และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นห่วงก็คือผลกระทบจากข้อตกลงที่รัฐบาลไปทำไว้ก่อนหน้านั้น จะผูกพันกับปรเทศไทยไปอีกนาน และเป็นผลกระทบที่ตกอยู่กับประชาชนเสียงข้างมากของประเทศ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อเกษตรกรไทย และสินค้าไทยอย่างมาก แม้นายกฯ จะออกมาบอกว่าจะไม่กระทบในขณะนี้ แต่ก็ไม่มีหลักประกัน เพราะไม่มีการเตรียมการเพื่อป้องกัน หรือแก้ไขในเรื่องนี้แต่อย่างไร สิ่งที่ตนจะชี้ให้เห็นก็คือมีการตั้งคำถามกันมาก ในกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย ในเรื่องการเปิด FTA ซึ่งตนจะชี้ให้เห็นถึงว่า ที่ผ่านมาธุรกิจดาวเทียม โทรคมนาคม จะมีปัญหาเรื่องการถูกจำกัดน่านฟ้า แต่หากมีการเปิด FTA ทำให้ประเทศออสเตรเลีย เปิดน่านฟ้าให้ประทศไทยมากขึ้น จึงเห็นได้ชัดว่าทำให้บริษัท หรือธุรกิจเกี่ยวกับการโทรคมนาคม การสื่อสารดาวเทียม เปิดมากขึ้น ซึ่งบริษัทที่มีประโยชน์ คือบริษัทที่ศักยภาพสูงสุดในประเทศซึ่งได้แก่ บริษัท ชินแซทเทลไลท์
‘สิ่งที่รัฐบาลพยามเน้นย้ำมากที่สุดคือไทยสามารถขอวีซ่าเข้าออสเตรเลียง่ายขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชนจะเสียประโยชน์ โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกร ซึ่งแต่ก่อนการนำเข้าสินค้าจากเกษตรจากออสเตรเสียต้องเสียภาษีค่อนข้างสูง ซึ่งหลังจากการการค้าเสรีก็จะไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าว ซึ่งไทยเป็นประเทศเกษตร จึงได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก’นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อประเทศออสเตรเลีย เปิดให้บริษัทของไทยเข้าซื้อหุ้นเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ชื่อบริษัทออสตุส ซึ่งเป็นริษัทที่ให้บริการของประเทศออสเตรเลีย และบริษัท โวดาโฟน ซึ่งจะเห็นชื่อนี้ปรากฎในเสื้อทีมฟุตบอลอังกฤษทีมหนึ่ง ซึ่งบริษัทนี้คือบริษัทขายมือถือของประเทศออสเตรเลีย พร้อมกันนั้นก็จะให้สิทธิลงทุนในบริษัทเทลสตาร์ เป็นรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคมของออสเตรเลีย
ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทออฟตุส คือบริษัทสิงเทล หรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทชิน และจะเห็นว่าการเปิดการเสรีออสเตรเลียครั้งนี้ แน่นอนที่สุดทันทีที่ออสเตรเลียเปิดในเรื่องน่านฟ้าให้บริษัทโทรคมนาคม สื่อสารดาวเทียมต่างๆเข้าไป บริษัทในประเทศไทยที่จะเข้าไปได้คือบริษัทชินฯ และเอไอเอส
นายองอาจ กล่าวต่อว่า การที่นายกฯ ออกมาบอกว่า เสียงวิจารณ์ เป็นพวกแผ่นเสียงตกร่อง รัฐบาลต้องยอมรับว่ารัฐบาลชอบทิ้งร่องรอยให้นักวิชาการ และฝ่ายค้านไปพบความไม่ชอบมาพากลอยู่เรื่อยๆ โดยเพราะเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ก็ยังจะมีต่อไปหากการบริหารประเทศไม่มีความโปร่งใส สร้างผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ตลอดเวลา จากนโยบายดำเนินการบริหาราชการแผ่นดิน รวมทั้งนโยบายเปิดการค้าเสรีด้วย และรัฐบาลไม่อาจตอบข้อสงสัยของคนไทยได้ มี 3 ข้อ 1. ประเทศไทยเสียประโยชน์มากกว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรีในครั้งนี้ ใช่หรือไม่ 2.ทำไมรัฐบาลไทยไม่เปิดเผยข้อมูล รายละเอียดอย่างโปร่งใส ก่อนเซนต์ข้อตกลง 3.รับบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะธุรกิจโทรคมนาคม
และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นห่วงก็คือผลกระทบจากข้อตกลงที่รัฐบาลไปทำไว้ก่อนหน้านั้น จะผูกพันกับปรเทศไทยไปอีกนาน และเป็นผลกระทบที่ตกอยู่กับประชาชนเสียงข้างมากของประเทศ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-