‘โฆษก ปชป.‘ ชี้ ให้รอดูรายละเอียดการจัดตั้งพรรคใหม่ จะเป็น พรรคทางเลือกที่ 3 หรือ พรรคที่ 3 และมั่นใจว่าการเกิดพรรคใหม่ขึ้น จะไม่เป็นการตัดคะแนนเสียงของ ‘ปชป.’
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพรรคทางเลือกที่ 3 ว่า ทางพรรค ประชาธิปัตย์ รู้สึกเฉยๆต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ที่ 4 หรือ 5 ก็ตาม ทางพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจ ต่อการเกิดพรรคการเมืองใหม่ และไม่คิดว่าการเกิดขึ้น ของพรรคการเมืองใหม่จะมีผลกระทบใดๆต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในทางตรงกันข้ามทางพรรครู้สึกยินดีที่ จะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะเท่ากับว่า พี่น้องประชาชนมีโอกาสพิจารณา พรรคการเมืองที่เหมาะสมที่สุดมากยิ่งขึ้น ในการที่จะให้พรรคการเมืองนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน ในการบริหารประเทศ ถ้าเกิดพรรคการเมืองนั้นได้รับเสียงข้างมากจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน หรือเข้าไปเป็นฝ่ายค้านในการตรวจสอบถ่วงดุล การทำงานของรัฐบาล ในกรณีที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเสียงน้อยกว่าจากการเลือกตั้ง
‘ฉะนั้นกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ และคณะจำนวนหนึ่ง ออกไปจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่พรรคประชาธิปัตย์ก็ขอแสดงความยินดีด้วย และเราก็คงไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลใดๆ ต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่อย่างที่บอกไปแล้ว’ นายองอาจกล่าว
ส่วนพรรคที่เกิดขึ้นใหม่นั้น จะเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 หรือไม่นั้นก็ต้องติดตามต่อไป แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก็คือว่า สังคมมีความเข้าใจในเรื่องของพรรคทางเลือกที่ 3 ไปปะปน พรรคที่ 3 อยู่ค่อนข้างมาก แท้ที่จริงแล้วพรรคทางเลือกที่ 3 ตามคำจำกัดความ ในหลายๆครั้ง ในประเทศยุโรป หรือประเทศต่างในยุโรป ก็คือ เป็นพรรคการเมืองซึ่งค่อนข้างมีความแตกต่างไปจากพรรคที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านแนวนโยบาย แตกต่างในตัวบุคคล และแตกต่างในการทำงาน ซึ่งย่อมไม่เหมือนกับ พรรคที่ 3 ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่วนพรรคทางเลือกที่ 3 นั้น ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ
ส่วนการเกิดขึ้นของพรรคใหม่นั้นจะกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่นั้น นายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะยังมีสมาชิกพรรคอีกหลายล้านคนพร้อมให้การสนับสนุนอยู่ และยังมีพี่น้องอีกจำนวนมาก ฝากความหวังไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ และในอดีต พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า เมื่อใด ก็ตามที่บ้านเมืองมีปัญหา บ้านเมืองเรียกร้องให้พรรคการเมืองเข้ามาแก้ไขประเทศชาติ ประชาธิปัตย์ ก็มักก็จะเข้ามาแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงเหล่านั้นเสมอ เช่น ภารกิจหลังพฤษภาทมิฬ เราก็ต้องเข้ามาบริหารประเทศ หรือในช่วงคราวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 40 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ในขณะนี้ ลาออกจากการเป็นนายกฯไปเพราะไม่ต้องการจะแบกรับคนไข้ ซึ่งอาจจะใกล้เสียชีวิต อยู่แล้วนั้นอยู่ในมือ ของท่านเอง พรรคประชาธิปัตย์ก็เข้ามาแบกรับ คนไข้ที่ชื่อว่าประเทศไทย มาเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งคนไข้ที่อยู่ห้องไอซียู สามารถออกมานอกห้องไอซียูได้ตามปกติ เพราะฉะนั้น ขอยืนยันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือเกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะเดินหน้าที่จะทำงานทางการเมืองต่อไป
ต่อข้อซักถามถึงการที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะย้ายออกไปสังกัดกับ พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดย พล.ต.สนั่น และคณะ มากหรือไม่นั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์คาดการว่าไม่น่าจะมีคนย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมกับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาก ถึงอย่างไรก็ตามไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ในขณะนี้ ซึ่งต้องติดตามดูกันต่อไปเช่นเดียวกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวอีกว่า การจัดตั้งพรรคใหม่ของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ จะเป็นพรรคที่ 3 หรือ พรรคทางเลือกที่ 3 หรือไม่นั้น ต้องดูรายละเอียดที่จะเกิดขึ้นเพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่มีรายละเอียดอะไรมาก ทั้งเรื่องนโยบาย และตัวบุคคล หรือ ผู้ที่จะมาบริหารพรรคอย่างแท้จริง และหากมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นสังคมก็จะได้มองชัดขึ้น ว่าจะเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 หรือ พรรคที่ 3 ในสังคมการเมืองของไทย
ทั้งนี้นายองอาจ ยังเชื่อว่า ขณะนี้คงไม่มีพรรคการเมืองไหนมาเป็นพรรคที่ตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ และยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์พยายามเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งนี้ให้ถึงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ที่เคยตั้งไว้คือการพยายามให้ได้ 200 เสียง เป็นอย่างน้อยที่สุด เพื่ออย่างน้อยที่สุดจะได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ผู้นำประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าไม่สามารถตรวจสอบผู้นำประเทศได้ จึงทำให้ท่านนายกฯเหิมเกริม และลุแก่อำนาจหลายครั้ง รวมทั้งไม่ยอมฟังเสียงทัดทานใดๆ จากผู้คนต่างๆในสังคม ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งในสังคม นั้นคือยุทธศาสตร์ที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ตั้งไว้ และหากทางพรรคได้รับการสนับสนุนจากเสียงของประชาชนในจำนวนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ทางพรรคก็พร้อมที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล และดำเนินตามนโยบาย ที่ได้กล่าวไว้
ฉะนั้นกล่าวได้ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งเป้าหมายอย่างน้อยที่สุดและอย่างมากที่สุดเอาไว้
นายองอาจ ยังเชื่อว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ไม่น่าจะเป็นการตัดคะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์เพราะ ขณะนี้ผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเอาไว้นั้นขณะนี้ก็มากกว่า 80 % ซึ่งก็ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเชื่อว่าส่วนมากเข้ามาร่วมพรรคประชาธิปัตย์ เพราะต้องการร่วมอุดมการณ์ มากกว่าที่เข้ามาเพราะผูกพันกับตัวบุคคล เป็นหลัก
‘ผมเชื่อว่า ส.ส.อีสาน ส่วนมากจะยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และขณะนี้ ส.ส.อีสาน ยังไม่มี วี่แววอะไรที่จะโยกย้ายไป พรรคไทยรักไทย หรือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ ส่วนคนที่มีชื่อลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั้นตนเชื่อว่าเป็นข่าวลือมากกว่า และเชื่อว่าทางภาคใต้นั้นพรรคประชาธิปัตย์จะได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางภาคเหนือ และภาคกลางก็ไม่น่าจะได้น้อยกว่าเดิม ส่วนในส่วนของภาคอีสาน คิดว่าน่าจะได้มากกว่าเดิม เพราะปัจจุบัน ส.ส.อีสาน หลงละเลิงอยู่กับตำแหน่ง ส.ส. จนปล่อยปละละเลยประชาชน ตนจึงเชื่อว่าทางภาคอีสาน ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถเบียดแทรกได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้’นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพรรคทางเลือกที่ 3 ว่า ทางพรรค ประชาธิปัตย์ รู้สึกเฉยๆต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองทางเลือกที่ 3 ที่ 4 หรือ 5 ก็ตาม ทางพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจ ต่อการเกิดพรรคการเมืองใหม่ และไม่คิดว่าการเกิดขึ้น ของพรรคการเมืองใหม่จะมีผลกระทบใดๆต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในทางตรงกันข้ามทางพรรครู้สึกยินดีที่ จะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะเท่ากับว่า พี่น้องประชาชนมีโอกาสพิจารณา พรรคการเมืองที่เหมาะสมที่สุดมากยิ่งขึ้น ในการที่จะให้พรรคการเมืองนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน ในการบริหารประเทศ ถ้าเกิดพรรคการเมืองนั้นได้รับเสียงข้างมากจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน หรือเข้าไปเป็นฝ่ายค้านในการตรวจสอบถ่วงดุล การทำงานของรัฐบาล ในกรณีที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเสียงน้อยกว่าจากการเลือกตั้ง
‘ฉะนั้นกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ และคณะจำนวนหนึ่ง ออกไปจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่พรรคประชาธิปัตย์ก็ขอแสดงความยินดีด้วย และเราก็คงไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลใดๆ ต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่อย่างที่บอกไปแล้ว’ นายองอาจกล่าว
ส่วนพรรคที่เกิดขึ้นใหม่นั้น จะเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 หรือไม่นั้นก็ต้องติดตามต่อไป แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก็คือว่า สังคมมีความเข้าใจในเรื่องของพรรคทางเลือกที่ 3 ไปปะปน พรรคที่ 3 อยู่ค่อนข้างมาก แท้ที่จริงแล้วพรรคทางเลือกที่ 3 ตามคำจำกัดความ ในหลายๆครั้ง ในประเทศยุโรป หรือประเทศต่างในยุโรป ก็คือ เป็นพรรคการเมืองซึ่งค่อนข้างมีความแตกต่างไปจากพรรคที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านแนวนโยบาย แตกต่างในตัวบุคคล และแตกต่างในการทำงาน ซึ่งย่อมไม่เหมือนกับ พรรคที่ 3 ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่วนพรรคทางเลือกที่ 3 นั้น ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ
ส่วนการเกิดขึ้นของพรรคใหม่นั้นจะกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่นั้น นายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะยังมีสมาชิกพรรคอีกหลายล้านคนพร้อมให้การสนับสนุนอยู่ และยังมีพี่น้องอีกจำนวนมาก ฝากความหวังไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ และในอดีต พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า เมื่อใด ก็ตามที่บ้านเมืองมีปัญหา บ้านเมืองเรียกร้องให้พรรคการเมืองเข้ามาแก้ไขประเทศชาติ ประชาธิปัตย์ ก็มักก็จะเข้ามาแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงเหล่านั้นเสมอ เช่น ภารกิจหลังพฤษภาทมิฬ เราก็ต้องเข้ามาบริหารประเทศ หรือในช่วงคราวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในปี 40 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ในขณะนี้ ลาออกจากการเป็นนายกฯไปเพราะไม่ต้องการจะแบกรับคนไข้ ซึ่งอาจจะใกล้เสียชีวิต อยู่แล้วนั้นอยู่ในมือ ของท่านเอง พรรคประชาธิปัตย์ก็เข้ามาแบกรับ คนไข้ที่ชื่อว่าประเทศไทย มาเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งคนไข้ที่อยู่ห้องไอซียู สามารถออกมานอกห้องไอซียูได้ตามปกติ เพราะฉะนั้น ขอยืนยันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือเกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะเดินหน้าที่จะทำงานทางการเมืองต่อไป
ต่อข้อซักถามถึงการที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะย้ายออกไปสังกัดกับ พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดย พล.ต.สนั่น และคณะ มากหรือไม่นั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์คาดการว่าไม่น่าจะมีคนย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมกับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่มาก ถึงอย่างไรก็ตามไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ในขณะนี้ ซึ่งต้องติดตามดูกันต่อไปเช่นเดียวกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวอีกว่า การจัดตั้งพรรคใหม่ของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ จะเป็นพรรคที่ 3 หรือ พรรคทางเลือกที่ 3 หรือไม่นั้น ต้องดูรายละเอียดที่จะเกิดขึ้นเพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่มีรายละเอียดอะไรมาก ทั้งเรื่องนโยบาย และตัวบุคคล หรือ ผู้ที่จะมาบริหารพรรคอย่างแท้จริง และหากมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นสังคมก็จะได้มองชัดขึ้น ว่าจะเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 หรือ พรรคที่ 3 ในสังคมการเมืองของไทย
ทั้งนี้นายองอาจ ยังเชื่อว่า ขณะนี้คงไม่มีพรรคการเมืองไหนมาเป็นพรรคที่ตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ และยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์พยายามเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งนี้ให้ถึงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ที่เคยตั้งไว้คือการพยายามให้ได้ 200 เสียง เป็นอย่างน้อยที่สุด เพื่ออย่างน้อยที่สุดจะได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ผู้นำประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าไม่สามารถตรวจสอบผู้นำประเทศได้ จึงทำให้ท่านนายกฯเหิมเกริม และลุแก่อำนาจหลายครั้ง รวมทั้งไม่ยอมฟังเสียงทัดทานใดๆ จากผู้คนต่างๆในสังคม ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งในสังคม นั้นคือยุทธศาสตร์ที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ตั้งไว้ และหากทางพรรคได้รับการสนับสนุนจากเสียงของประชาชนในจำนวนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ทางพรรคก็พร้อมที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล และดำเนินตามนโยบาย ที่ได้กล่าวไว้
ฉะนั้นกล่าวได้ว่าทางพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งเป้าหมายอย่างน้อยที่สุดและอย่างมากที่สุดเอาไว้
นายองอาจ ยังเชื่อว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ไม่น่าจะเป็นการตัดคะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์เพราะ ขณะนี้ผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเอาไว้นั้นขณะนี้ก็มากกว่า 80 % ซึ่งก็ไม่น่าจะมีผลอะไร เพราะเชื่อว่าส่วนมากเข้ามาร่วมพรรคประชาธิปัตย์ เพราะต้องการร่วมอุดมการณ์ มากกว่าที่เข้ามาเพราะผูกพันกับตัวบุคคล เป็นหลัก
‘ผมเชื่อว่า ส.ส.อีสาน ส่วนมากจะยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และขณะนี้ ส.ส.อีสาน ยังไม่มี วี่แววอะไรที่จะโยกย้ายไป พรรคไทยรักไทย หรือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ ส่วนคนที่มีชื่อลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั้นตนเชื่อว่าเป็นข่าวลือมากกว่า และเชื่อว่าทางภาคใต้นั้นพรรคประชาธิปัตย์จะได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางภาคเหนือ และภาคกลางก็ไม่น่าจะได้น้อยกว่าเดิม ส่วนในส่วนของภาคอีสาน คิดว่าน่าจะได้มากกว่าเดิม เพราะปัจจุบัน ส.ส.อีสาน หลงละเลิงอยู่กับตำแหน่ง ส.ส. จนปล่อยปละละเลยประชาชน ตนจึงเชื่อว่าทางภาคอีสาน ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถเบียดแทรกได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้’นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-