ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังเตรียมพิจารณาให้เงินกู้ตามโครงการช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านอีก
6 พันล้านบาท รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนให้ความช่วยเหลือประเทศ
เพื่อนบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาให้เงินกู้ตามโครงการความช่วยเหลือ
ประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา และพม่า อีกกว่า 6,000 ล้านบาท จากที่ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ
ไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและช่วยสร้างเศรษฐกิจ
ของประเทศดังกล่าวให้เกิดความเข้มแข็งและจะกลายเป็นตลาดที่สำคัญของไทยในอนาคต อย่างไรก็
ตาม การให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านควรดำเนินการเหมือนที่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ดำเนิน
การอยู่ในปัจจุบันที่จะเข้ามาดูแลเงินกู้ที่อนุมัติให้อย่างใกล้ชิดจะทำให้เงินกู้ที่รัฐบาลไทยให้มีศักยภาพมาก
ยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาโครงการเงินกู้ดังกล่าวหลายโครงการขาดความชัดเจนในหลักเกณฑ์ของการให้เงินกู้
เพราะไม่มีการศึกษาโครงการอย่างรอบคอบ (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท. สั่ง ธ.พาณิชย์ที่ปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์วงเงินสูงและเสี่ยงตั้งสำรองเพิ่ม 50%
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธ.พาณิชย์ที่ ธปท.
สั่งให้มีการสำรองเพิ่มทันทีร้อยละ 50 ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยออกไปนั้น เป็นธนาคารที่จด
ทะเบียนในประเทศและเป็นธนาคารไทย ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าเป็นวงเงินที่สูงและมีความเสี่ยงที่
จะชำระคืนต้นเงินไม่ได้ ส่วนโครงการอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาอยู่ยังไม่มีความเสี่ยงเท่ากับโครงการแรก
ทั้งนี้ การที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวในระดับสูงนั้น ทำให้ ธปท. ต้องติดตามดูแลภาคธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ร้อนแรงจนเกิดภาวะฟองสบู่เหมือนที่ผ่านมา โดยกำหนดให้สถาบันการ
เงินต้องรายงานการปล่อยสินเชื่อต่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิน 100 ล้านบาท ให้ ธปท.ทราบ
รวมทั้งการปล่อยกู้ให้แก่สินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาท ให้ ธ.พาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ไม่เกิน
ร้อยละ 70 ของราคาซื้อขาย (เดลินิวส์)
3. ปิด บง. 6 แห่ง อีก 10 แห่ง ควบรวมกิจการตั้ง ธ.พาณิชย์ ตามแผนแม่บทสถาบัน
การเงิน แหล่งข่าวจาก ธปท. เปิดเผยว่า บง. 6 แห่งที่ปิดกิจการและต้องคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
ได้แก่ บง.ธนชาติ บง.กรุงศรีอยุธยา บง.สินอุตสาหกรรม บง.อเมริกัน เอ็กซ์เพรส บง.ซิตี้คอร์ป และ
บง.บีทีเอ็ม ส่วน บง.อีก 4 แห่งต้องควบรวมกับ บง. หรือ บค.อื่น เพื่อยกฐานะเป็นธนาคารเต็ม
รูปแบบหรือธนาคารรายย่อย เช่น บค.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ควบรวมกิจการกับ บง.บุคคลัภย์ ในขณะที่
บง. 3 แห่ง ขอยกฐานะเป็นธนาคารเต็มรูปแบบ (Universal Banking) คือ บง.เกียรตินาคิน
บง.ทิสโก้ และ บง.ฟินันซ่า โดยทั้ง 3 บริษัท ต้องปรับฐานเงินกองทุนขั้นที่ 1 ให้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท
และต้องดำรงสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และอัตราส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ต่อสินทรัพย์รวมไม่เกินกว่าที่ระดับร้อยละ 15 นอกจากนี้ บง. และ บค. อีก 5 แห่ง จะขอยกฐานะ
เป็นธนาคารรายย่อย มีเงินกองทุนขั้นที่ 1 ไม่น้อยกว่า 250 ล้านบาท อาทิ บง.จีอี เอเชียไฟแนนซ์
เป็นต้น สาเหตุที่ บง. และ บค. ต้องยกฐานะเป็น ธ.พาณิชย์ เนื่องจากตามแผนแม่บทพัฒนาระบบ
สถาบันการเงิน เปิดทางให้ ธ.พาณิชย์ประกอบกิจการได้ครอบคลุมทุกประเภทเหมือนกับที่ บง. และ
บค. ทำอยู่ และต้องการให้สถาบันการเงินเข้มแข็ง ซึ่งต้องยื่นแผนภายในวันที่ 30 ก.ค.47 (โพสต์ทูเดย์)
4. ดัชนีการบริโภคเดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ
ผอ.อาวุโส สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเดือน พ.ค.47
ขยายตัวร้อยละ 3.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือน เม.ย.47 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 3.5 สาเหตุจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมที่ลดลงจากความกังวลต่อความไม่สงบใน
ภาคใต้ และการขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
ขยายตัวเพิ่มร้อยละ 25 จากเดือน เม.ย. ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวร้อยละ
21.5 จากเดือน เม.ย. โดยเป็นผลจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้ภาวะการเงินที่เอื้อ
อำนวยของคนต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มที่ไม่ใช่ยานพาหนะปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว
ร้อยละ 16.4 จากปีก่อน และลดลงจากเดือน เม.ย.เล็กน้อย ทั้งนี้ หากพิจารณาภาษีมูลค่าเพิ่มจาก
สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวร้อยละ 12.4 สะท้อนให้เห็นกิจกรรมการอุปโภคบริโภคโดยรวมยังขยายตัว
ได้ ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินขยายตัวร้อยละ 6.2 ส่วนปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัว
ร้อยละ 5.0 (ไทยรัฐ)
5. การปล่อยสินเชื่อของระบบ ธ.พาณิชย์เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เทียบกับช่วง
เดียวกันปี 46 นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปริมาณการปล่อย
สินเชื่อของระบบ ธ.พาณิชย์ในเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่า
อัตราการขยายตัวของเงินฝากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 นับเป็นเดือนแรกหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่การ
ขยายตัวของสินเชื่อสูงกว่าเงินฝาก ทั้งนี้ คาดว่าช่วงเวลาที่เหลือตลอดทั้งปีการปล่อยสินเชื่อจะรักษา
ระดับการเติบโตได้ร้อยละ 8 ได้ตลอด สำหรับผลประกอบการของ ธ.พาณิชย์เชื่อว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี
เมื่อพิจารณาจากช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสอง โดยคาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะสูงขึ้นจากการ
ขยายตัวที่ดีของสินเชื่อและต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่ลดลงหลังไถ่ถอนหุ้นด้อยสิทธิ์ควบหุ้นปุริมสิทธิ์
(สลิปและแคปส์) ส่วนผลกระทบจากการที่จีนชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจอาจจะส่งผลให้
ธ.พาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อลดลงในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ แต่เชื่อว่าระบบสินเชื่อโดยรวมจะ
ขยายตัวได้สูงกว่าร้อยละ 6 แน่นอน (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1.ตัวเลขการจ้างงานของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47 น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ไว้ถึงครึ่งหนึ่ง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 2 ก.ค.47 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.47
สรอ.มีการจ้างงานจำนวน 112,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์
ไว้ว่าจะมีจำนวน 250,000 ตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขจำนวนการจ้างงานเคยขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 10
เดือนมาแล้ว ทั้งนี้ มีสาเหตุสำคัญจากการที่นายจ้างปรับลดการจ้างงานใหม่ หลังจากเมื่อ 2-3 เดือน
ก่อนหน้านี้ตัวเลขจำนวนชั่วโมงการทำงานมีสัดส่วนที่ดี โดยเมื่อเดือน เม.ย.และ พ.ค.47 มีจำนวน
การจ้างงานใหม่ (ตัวเลขที่ทบทวนแล้ว) จำนวน 324,000 และ 235,000 ตำแหน่งตามลำดับ ส่วน
ในเดือน มี.ค.47 มีจำนวน 353,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ก.พาณิชย์ของ สรอ.ยังได้รายงานตัวเลข
ที่มีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สรอ. คือ คำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของอุตสาหกรรมโรงงานใน สรอ. ใน
เดือน พ.ค.47 ลดลงร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนที่อยู่ในระดับร้อยละ 1.1 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของ สรอ.
ที่กำลังฟื้นตัวในขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เบาบางลงและการจ้างงานที่
ชะลอตัวภายใต้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่นักวิเคราะห์ไม่คิดว่าปัจจัยดังกล่าวจะทำ
ให้เศรษฐกิจของ สรอ. ต้องกลับไปชะงักงันเช่นในปี 45 และ 46 แต่น่าจะเป็นผลให้เศรษฐกิจ สรอ.
ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เข้มแข็งพอควรมากกว่าที่จะเข้มแข็งอย่างที่สุดตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยผลสำ
รวจครั้งสุดท้ายจากบริษัท Blue Chip พบว่า ประมาณการทางเศรษฐกิจของ สรอ.ในปี 47 จะขยาย
ตัวร้อยละ 4.7 เพิ่มขึ้นจากที่ประมาณก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.6 (รอยเตอร์)
2. รอยเตอร์คาดว่า The non-manufacturing PMI ของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47
จะลดลงที่ระดับ 64.0รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 2 ก.ค.47 ผลสำรวจรอยเตอร์ พบว่า The
non-manufacturing PMI ของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47 จะลดลงที่ระดับ 64.0 จากระดับ 65.2
ในเดือนก่อน เนื่องจากยอดการค้าปลีกและยอดขายรถยนต์ชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงอยู่เหนือกว่าระดับ 50
ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดการเติบโตภาคบริการ ซึ่งรวมถึงกิจการด้านภัตตาคารและโรงแรม
รวมถึงธนาคารพาณิชย์และกิจการการบินทั้งหมด ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ในระบบเศรษฐกิจของ สรอ.
ทั้งนี้ The Institute for Supply Management (ISM) จะประกาศตัวเลขดังกล่าวในวันอังคารที่
6 ก.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. กลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปอาจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ รายงานจาก
แฟรงเฟิร์ตเมื่อ 2 ก.ค.47 หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ ธ.กลางยุโรป (Otmar Issing)
กล่าวว่า กลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรป (ยูโรโซน) อาจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ สาเหตุจาก
การที่ ธ.กลางของประเทศสำคัญในกลุ่ม ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในช่วง
ไม่กี่ปีนี้เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายต่างวิตกว่าภาวะเงินเฟ้อ
ได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม Issing มองว่ายังไม่มีสัญญาณเกี่ยวกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
ที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อเป็นครั้งที่ 2 ในขณะที่หากมีปัญหาเงินเฟ้อจากค่าแรงที่สูงขึ้น
(wage-push) ธ.กลางยุโรปก็พร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปกำลังศึกษาวิธีการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.47
ยังคงอยู่เหนือระดับที่ ธ.กลางยุโรปกำหนดเพดานไว้ที่ร้อยละ 2 โดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.4 ลดลงจาก
ร้อยละ 2.5 ในเดือนก่อน สาเหตุจากราคาน้ำมันปรับลดลงเล็กน้อย (รอยเตอร์)
4. ผู้ว่าการ ธ.กลางจีนกล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ามาตรการลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจของจีนได้ผล รายงานจากประเทศสโลเวเนีย เมื่อ 2 ก.ค.47 ผู้ว่าการ ธ.กลางจีนให้
สัมภาษณ์ระหว่างเยือน ธ.กลางของประเทศสโลเวเนียว่า ธ.กลางจีนกำลังเฝ้าจับตาดูดัชนีชี้วัดทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญในอีกหลายเดือนข้างหน้านี้เพื่อดูผลของมาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน
ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการลงทุนและสินเชื่อทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวถึงร้อยละ
9.8 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาสิ้นสุดไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าตลอดปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 9.0 และประมาณ
ร้อยละ 8.0 ในช่วง 3 | 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงเป็นการเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ามาตรการลดความ
ร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนได้ผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จีนจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในขณะนี้ตามหลัง สรอ.ซึ่งประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้ด้วยเกรงว่าจะส่งกระทบต่อรัฐวิสาหกิจ
ของจีนซึ่งกำลังประสบปัญหาทางการเงินและจะดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้ามายังจีน ซึ่งจะยิ่งสร้าง
แรงกดดันให้เงินหยวนของจีนซึ่งกำหนดค่าคงที่ผูกติดกับเงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้นด้วย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5/7/47
2/7/47 30/1/47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$)
40.782 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$)
40.6093/40.8913 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ)
1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท)
647.54/10.49 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,550/7,650
7,550/7,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 33.73
33.83 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ก.คลังเตรียมพิจารณาให้เงินกู้ตามโครงการช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านอีก
6 พันล้านบาท รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนให้ความช่วยเหลือประเทศ
เพื่อนบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาให้เงินกู้ตามโครงการความช่วยเหลือ
ประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา และพม่า อีกกว่า 6,000 ล้านบาท จากที่ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ
ไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและช่วยสร้างเศรษฐกิจ
ของประเทศดังกล่าวให้เกิดความเข้มแข็งและจะกลายเป็นตลาดที่สำคัญของไทยในอนาคต อย่างไรก็
ตาม การให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านควรดำเนินการเหมือนที่ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ดำเนิน
การอยู่ในปัจจุบันที่จะเข้ามาดูแลเงินกู้ที่อนุมัติให้อย่างใกล้ชิดจะทำให้เงินกู้ที่รัฐบาลไทยให้มีศักยภาพมาก
ยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาโครงการเงินกู้ดังกล่าวหลายโครงการขาดความชัดเจนในหลักเกณฑ์ของการให้เงินกู้
เพราะไม่มีการศึกษาโครงการอย่างรอบคอบ (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท. สั่ง ธ.พาณิชย์ที่ปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์วงเงินสูงและเสี่ยงตั้งสำรองเพิ่ม 50%
นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธ.พาณิชย์ที่ ธปท.
สั่งให้มีการสำรองเพิ่มทันทีร้อยละ 50 ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยออกไปนั้น เป็นธนาคารที่จด
ทะเบียนในประเทศและเป็นธนาคารไทย ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าเป็นวงเงินที่สูงและมีความเสี่ยงที่
จะชำระคืนต้นเงินไม่ได้ ส่วนโครงการอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาอยู่ยังไม่มีความเสี่ยงเท่ากับโครงการแรก
ทั้งนี้ การที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวในระดับสูงนั้น ทำให้ ธปท. ต้องติดตามดูแลภาคธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ร้อนแรงจนเกิดภาวะฟองสบู่เหมือนที่ผ่านมา โดยกำหนดให้สถาบันการ
เงินต้องรายงานการปล่อยสินเชื่อต่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิน 100 ล้านบาท ให้ ธปท.ทราบ
รวมทั้งการปล่อยกู้ให้แก่สินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาท ให้ ธ.พาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ไม่เกิน
ร้อยละ 70 ของราคาซื้อขาย (เดลินิวส์)
3. ปิด บง. 6 แห่ง อีก 10 แห่ง ควบรวมกิจการตั้ง ธ.พาณิชย์ ตามแผนแม่บทสถาบัน
การเงิน แหล่งข่าวจาก ธปท. เปิดเผยว่า บง. 6 แห่งที่ปิดกิจการและต้องคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
ได้แก่ บง.ธนชาติ บง.กรุงศรีอยุธยา บง.สินอุตสาหกรรม บง.อเมริกัน เอ็กซ์เพรส บง.ซิตี้คอร์ป และ
บง.บีทีเอ็ม ส่วน บง.อีก 4 แห่งต้องควบรวมกับ บง. หรือ บค.อื่น เพื่อยกฐานะเป็นธนาคารเต็ม
รูปแบบหรือธนาคารรายย่อย เช่น บค.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ควบรวมกิจการกับ บง.บุคคลัภย์ ในขณะที่
บง. 3 แห่ง ขอยกฐานะเป็นธนาคารเต็มรูปแบบ (Universal Banking) คือ บง.เกียรตินาคิน
บง.ทิสโก้ และ บง.ฟินันซ่า โดยทั้ง 3 บริษัท ต้องปรับฐานเงินกองทุนขั้นที่ 1 ให้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท
และต้องดำรงสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และอัตราส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ต่อสินทรัพย์รวมไม่เกินกว่าที่ระดับร้อยละ 15 นอกจากนี้ บง. และ บค. อีก 5 แห่ง จะขอยกฐานะ
เป็นธนาคารรายย่อย มีเงินกองทุนขั้นที่ 1 ไม่น้อยกว่า 250 ล้านบาท อาทิ บง.จีอี เอเชียไฟแนนซ์
เป็นต้น สาเหตุที่ บง. และ บค. ต้องยกฐานะเป็น ธ.พาณิชย์ เนื่องจากตามแผนแม่บทพัฒนาระบบ
สถาบันการเงิน เปิดทางให้ ธ.พาณิชย์ประกอบกิจการได้ครอบคลุมทุกประเภทเหมือนกับที่ บง. และ
บค. ทำอยู่ และต้องการให้สถาบันการเงินเข้มแข็ง ซึ่งต้องยื่นแผนภายในวันที่ 30 ก.ค.47 (โพสต์ทูเดย์)
4. ดัชนีการบริโภคเดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ
ผอ.อาวุโส สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเดือน พ.ค.47
ขยายตัวร้อยละ 3.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือน เม.ย.47 ที่ขยาย
ตัวร้อยละ 3.5 สาเหตุจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมที่ลดลงจากความกังวลต่อความไม่สงบใน
ภาคใต้ และการขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
ขยายตัวเพิ่มร้อยละ 25 จากเดือน เม.ย. ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวร้อยละ
21.5 จากเดือน เม.ย. โดยเป็นผลจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้ภาวะการเงินที่เอื้อ
อำนวยของคนต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มที่ไม่ใช่ยานพาหนะปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว
ร้อยละ 16.4 จากปีก่อน และลดลงจากเดือน เม.ย.เล็กน้อย ทั้งนี้ หากพิจารณาภาษีมูลค่าเพิ่มจาก
สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยายตัวร้อยละ 12.4 สะท้อนให้เห็นกิจกรรมการอุปโภคบริโภคโดยรวมยังขยายตัว
ได้ ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินขยายตัวร้อยละ 6.2 ส่วนปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัว
ร้อยละ 5.0 (ไทยรัฐ)
5. การปล่อยสินเชื่อของระบบ ธ.พาณิชย์เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เทียบกับช่วง
เดียวกันปี 46 นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปริมาณการปล่อย
สินเชื่อของระบบ ธ.พาณิชย์ในเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่า
อัตราการขยายตัวของเงินฝากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 นับเป็นเดือนแรกหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่การ
ขยายตัวของสินเชื่อสูงกว่าเงินฝาก ทั้งนี้ คาดว่าช่วงเวลาที่เหลือตลอดทั้งปีการปล่อยสินเชื่อจะรักษา
ระดับการเติบโตได้ร้อยละ 8 ได้ตลอด สำหรับผลประกอบการของ ธ.พาณิชย์เชื่อว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี
เมื่อพิจารณาจากช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสอง โดยคาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะสูงขึ้นจากการ
ขยายตัวที่ดีของสินเชื่อและต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่ลดลงหลังไถ่ถอนหุ้นด้อยสิทธิ์ควบหุ้นปุริมสิทธิ์
(สลิปและแคปส์) ส่วนผลกระทบจากการที่จีนชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจอาจจะส่งผลให้
ธ.พาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อลดลงในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ แต่เชื่อว่าระบบสินเชื่อโดยรวมจะ
ขยายตัวได้สูงกว่าร้อยละ 6 แน่นอน (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1.ตัวเลขการจ้างงานของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47 น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ไว้ถึงครึ่งหนึ่ง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 2 ก.ค.47 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.47
สรอ.มีการจ้างงานจำนวน 112,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์
ไว้ว่าจะมีจำนวน 250,000 ตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขจำนวนการจ้างงานเคยขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 10
เดือนมาแล้ว ทั้งนี้ มีสาเหตุสำคัญจากการที่นายจ้างปรับลดการจ้างงานใหม่ หลังจากเมื่อ 2-3 เดือน
ก่อนหน้านี้ตัวเลขจำนวนชั่วโมงการทำงานมีสัดส่วนที่ดี โดยเมื่อเดือน เม.ย.และ พ.ค.47 มีจำนวน
การจ้างงานใหม่ (ตัวเลขที่ทบทวนแล้ว) จำนวน 324,000 และ 235,000 ตำแหน่งตามลำดับ ส่วน
ในเดือน มี.ค.47 มีจำนวน 353,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ก.พาณิชย์ของ สรอ.ยังได้รายงานตัวเลข
ที่มีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สรอ. คือ คำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของอุตสาหกรรมโรงงานใน สรอ. ใน
เดือน พ.ค.47 ลดลงร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อนที่อยู่ในระดับร้อยละ 1.1 ทั้งนี้ เศรษฐกิจของ สรอ.
ที่กำลังฟื้นตัวในขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เบาบางลงและการจ้างงานที่
ชะลอตัวภายใต้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่นักวิเคราะห์ไม่คิดว่าปัจจัยดังกล่าวจะทำ
ให้เศรษฐกิจของ สรอ. ต้องกลับไปชะงักงันเช่นในปี 45 และ 46 แต่น่าจะเป็นผลให้เศรษฐกิจ สรอ.
ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เข้มแข็งพอควรมากกว่าที่จะเข้มแข็งอย่างที่สุดตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยผลสำ
รวจครั้งสุดท้ายจากบริษัท Blue Chip พบว่า ประมาณการทางเศรษฐกิจของ สรอ.ในปี 47 จะขยาย
ตัวร้อยละ 4.7 เพิ่มขึ้นจากที่ประมาณก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.6 (รอยเตอร์)
2. รอยเตอร์คาดว่า The non-manufacturing PMI ของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47
จะลดลงที่ระดับ 64.0รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 2 ก.ค.47 ผลสำรวจรอยเตอร์ พบว่า The
non-manufacturing PMI ของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.47 จะลดลงที่ระดับ 64.0 จากระดับ 65.2
ในเดือนก่อน เนื่องจากยอดการค้าปลีกและยอดขายรถยนต์ชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงอยู่เหนือกว่าระดับ 50
ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดการเติบโตภาคบริการ ซึ่งรวมถึงกิจการด้านภัตตาคารและโรงแรม
รวมถึงธนาคารพาณิชย์และกิจการการบินทั้งหมด ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ในระบบเศรษฐกิจของ สรอ.
ทั้งนี้ The Institute for Supply Management (ISM) จะประกาศตัวเลขดังกล่าวในวันอังคารที่
6 ก.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. กลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปอาจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ รายงานจาก
แฟรงเฟิร์ตเมื่อ 2 ก.ค.47 หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ ธ.กลางยุโรป (Otmar Issing)
กล่าวว่า กลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรป (ยูโรโซน) อาจต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ สาเหตุจาก
การที่ ธ.กลางของประเทศสำคัญในกลุ่ม ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในช่วง
ไม่กี่ปีนี้เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายต่างวิตกว่าภาวะเงินเฟ้อ
ได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม Issing มองว่ายังไม่มีสัญญาณเกี่ยวกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
ที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อเป็นครั้งที่ 2 ในขณะที่หากมีปัญหาเงินเฟ้อจากค่าแรงที่สูงขึ้น
(wage-push) ธ.กลางยุโรปก็พร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปกำลังศึกษาวิธีการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.47
ยังคงอยู่เหนือระดับที่ ธ.กลางยุโรปกำหนดเพดานไว้ที่ร้อยละ 2 โดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.4 ลดลงจาก
ร้อยละ 2.5 ในเดือนก่อน สาเหตุจากราคาน้ำมันปรับลดลงเล็กน้อย (รอยเตอร์)
4. ผู้ว่าการ ธ.กลางจีนกล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ามาตรการลดความร้อนแรงทาง
เศรษฐกิจของจีนได้ผล รายงานจากประเทศสโลเวเนีย เมื่อ 2 ก.ค.47 ผู้ว่าการ ธ.กลางจีนให้
สัมภาษณ์ระหว่างเยือน ธ.กลางของประเทศสโลเวเนียว่า ธ.กลางจีนกำลังเฝ้าจับตาดูดัชนีชี้วัดทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญในอีกหลายเดือนข้างหน้านี้เพื่อดูผลของมาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน
ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการลงทุนและสินเชื่อทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวถึงร้อยละ
9.8 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาสิ้นสุดไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าตลอดปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 9.0 และประมาณ
ร้อยละ 8.0 ในช่วง 3 | 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงเป็นการเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ามาตรการลดความ
ร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนได้ผลหรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จีนจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในขณะนี้ตามหลัง สรอ.ซึ่งประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้ด้วยเกรงว่าจะส่งกระทบต่อรัฐวิสาหกิจ
ของจีนซึ่งกำลังประสบปัญหาทางการเงินและจะดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้ามายังจีน ซึ่งจะยิ่งสร้าง
แรงกดดันให้เงินหยวนของจีนซึ่งกำหนดค่าคงที่ผูกติดกับเงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้นด้วย (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5/7/47
2/7/47 30/1/47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$)
40.782 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$)
40.6093/40.8913 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ)
1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท)
647.54/10.49 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,550/7,650
7,550/7,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 33.73
33.83 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)
18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-