‘รองหน.ปชป.’ ระบุพรรคการเมืองที่ 3 เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ให้เกิดความสับสนกับประชาชน แนะผู้ที่จะออกไปตั้งพรรคใหม่ต้องเร่งสร้างความชัดเจน เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำงานแทน ประกาศชัด พร้อมยืนข้าง ‘บัญญัติ’ เพื่อกอบกู้ปชป.
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 โดยมีแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเจตนารมณ์จะเข้าร่วมว่า การจะก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาแล้วเป็นทางเลือกของประชาชน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคนที่ไปก่อตั้งพรรคใหม่เป็นถึงระดับผู้บริหาร และแสดงท่าทีว่า จะทำหน้าที่ในพรรคการเมืองใหม่ ก็คิดว่าควรจะทำให้เกิดความชัดเจนคือ เมื่อตัดสินใจทำงานกับพรรคการเมืองอื่น ก็ไม่ควรทำให้เกิดความสับสนกับประชาชนว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 พรรคการเมืองจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่มาด้วยความชัดเจนของการเป็นสถาบันการเมือง จะเติบโตหรือถดถอยก็ชัดเจน
‘คนที่เป็นเลือดประชาธิปัตย์จริงๆ ก็จะไม่ประสงค์ที่จะเห็นพรรคประชาธิปัตย์ไปเกี่ยวข้องกับระบบพรรคสาขา ที่ผ่านมามีแต่สาขาพรรคเท่านั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นความชัดเจนที่จะต้องเร่งทำ ซึ่งทั้งหมดเป็นหน้าที่ของคณะผู้บริหารที่จะต้องเร่งสร้างความชัดเจนให้เกิดขึ้น เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยมีความชัดเจน ส่วนพรรคการเมืองใดจะเป็นที่นิยมหรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิของประชาชน แต่ในฐานะที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมืองที่เรียกตังเองว่าเป็นสถาบันการเมือง ต้องช่วยกันทำตรงนี้ให้ชัด ผมพร้อมที่จะช่วยท่านหัวหน้าในการที่จะกอบกู้พรรคบนพื้นฐานของการทำความชัดเจนเรื่องความเป็นสถาบัน และใครที่คิดถึงเรื่องอื่น จะเป็นเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมคิดว่าพรรคต้องชัดเจนและเด็ดขาด’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะลาออกไปก่อตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 พรรคฯจะต้องมีความเด็ดขาดใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องสร้างความชัดเจน แม้จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ก็ต้องยึดระบบความเป็นสถาบันและองค์กรเป็นหลัก และโดยมารยาทแล้วตนคิดว่าใครที่คิดว่าจะไปทำงานให้พรรคการเมืองอื่น ก็ควรรีบเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำงาน เพราะพรรคในฐานะที่เป็นฝ่ายค้านก็ต้องมีหน้าที่อื่นมากกว่าเรื่องภายในพรรค เช่น เรื่องเขตการค้าเสรี การสื่อสารมวลชน หรือปัญหาภาคใต้ อย่างไรก็ตามคาดว่าข้อสรุปต่างๆจะมีความชัดเจนในการประชุมคณะผู้บริหารในวันพรุ่งนี้ (6 ก.ค. 47)
เมื่อถามว่าผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว เช่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะไปเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมืองใหม่จะทำได้หรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดเจาะจงเป็นตัวบุคคล แต่คิดว่า พรรคฯเคยมีแนวคิดหรือปฏิบัติเช่นไรก็ควรยึดแนวทางเดิม จะมีข้อยกเว้นไม่ได้ ‘ผมคิดว่าใครที่ทำงานให้พรรคการเมืองอื่น ก็ไม่ควรที่จะทำให้เกิดความคลุมเครือหรือสงสัยว่า จะเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ต่อข้อซักถามที่ว่า เมื่อมีผู้บริหารพรรคฯออกไปเช่นนี้จะต้องปรับเปลี่ยนคณะผู้บริหารพรรคใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า โดยหลักแล้วต้องทำอย่างนั้น เมื่อถามว่าถึงขั้นที่ต้องเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในพรรคฯเกี่ยวกับตัวผู้บริหารหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการประชุมคณะผู้บริหารในวันพรุ่งนี้ แต่ทั้งนี้คิดว่าพรรคฯต้องเร่งสร้างความชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองในความหมายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย เพราะขณะนี้ตนมีความรู้สึกว่า มีกระบวนการที่ทำให้เกิดความสับสน ในเรื่องความสัมพันธ์ของพรรคการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมรับระบบของการมีพรรคสาขา
เมื่อถามว่า นโยบายส่วนหนึ่งของพรรคมหาชนมีความคล้ายคลึงกับพรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า 2 คนที่ออกไปเป็นแกนนำพรรคมหาชนนั้น พรรคฯได้มอบหมายให้ คนหนึ่งเป็นผู้ทำนโยบาย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่ทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาใด ที่ถึงขั้นต้องตัดสินใจไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ดังนั้นพรรคฯต้องทบทวนไม่ให้เกิดความสับสน และต้องพิสูจน์ตัวเองในส่วนนี้ด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคฯจะต้องมีการปรับนโยบายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการพิจารณา แต่อะไรที่ผ่านผู้บริหารแล้ว พรรคฯก็ต้องยืนยันไปตามนั้น แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมก็จะต้องมีคำอธิบายให้แก่ประชาชนด้วย
ต่อข้อถามที่ว่า มีการวิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คำตอบของสังคม ส่วนหนึ่งมาจากผู้นำที่ยังไม่โดดเด่นเพียงพอ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่สังคมพูดถึงพรรคทางเลือกที่ 3 เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค จะต้องทบทวนตัวเองตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนคงไม่ได้ แต่หากทั้ง 2 พรรค ยังเป็นคำตอบให้กับสังคมไม่ได้ทางเลือกที่ 3 ก็ต้องเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่า พรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นมานั้นจะเป็นทางเลือกที่ 3 ให้กับประชานตามความเห็นของนักวิชาการหรือไม่ เมื่อถามว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำอย่างที่มีการสบประมาทกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าเป็นวิกฤตก็อยู่ที่ว่าผู้บริหารจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความชัดเจนเด็ดขาดที่เกิดขึ้น จะทำให้ ส.ส. ในพรรคฯน้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะสรุปอย่างนั้นไม่ได้ เพราะความชัดเจนที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะทำให้ ส.ส.น้อยลง แต่ในวันข้างหน้าอาจจะทำให้ ส.ส.เพิ่มขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเป็นทางเลือกที่ชัดเจน
‘ผมคิดว่าพรรคต้องยอมรับความอึมครึม นับตั้งแต่มีกระแสข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ต้องย้อนกลับไปว่าประวัติของพรรคประชาธิปัตย์เกือบ 60 ปีทำงานการเมืองมาอย่างไร ผ่านมรสุมมาหลายลูก ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป เพราะในอดีตความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นจากผู้ที่ไม่สามารถกุมอำนาจภายในพรรคได้ จึงมีความขัดแย้ง และอยากเข้าไปกุมอำนาจในพรรคการเมืองใหม่ แต่วันนี้สิ่งที่แปลกก็คือ ผู้ที่ออกไปเป็นแกนนำพรรคการเมืองใหม่ คือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากพรรคให้ทำงานสำคัญ ตรงนี้เป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น และพรรคต้องย้อนกลับไปดูว่าที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ อยู่ได้เพราะอะไร และยึดมั่นตรงนั้นไว้ การที่ตนออกมาพูดก็ไม่ได้เป็นการไล่ใคร และที่ผ่านมาก็ไม่มีใครไล่ใคร เพราะทั้งหมดเป็นการตัดสินใจด้วยความสมัครใจ และผมขอบอกว่าผมไม่ได้เจาะจงใคร สิ่งที่พูดทั้งหมด เป็นการพูดตามหลักการที่ตรงไปตรงมาของระบบพรรคการเมือง เพราะวันนี้ประชาชนต้องการความตรงไปตรงมาทางการเมือง ส่วนเรื่องอื่นเป็นเพียงปัจจัยที่ประกอบการพิจารณา แต่หากการเมืองเริ่มต้นด้วยความไม่ตรงไปตรงมาแล้ว ผมคิดว่าประชาชนจะขาดที่พึ่ง ผมไม่มีอะไรเป็นการส่วนตัว’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า โครงสร้างของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้พรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นได้ยากนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความจริงรัฐธรรมนูญมี 2 ด้าน คือ ในเรื่องของการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองนั้นสามารถทำได้ง่าย แต่การที่จะให้พรรคดำเนินกิจกรรมได้อย่างเต็มที่จะมีเงื่อนไขอีกมาก เพราะฉะนั้นตนจึงไม่คิดว่าการตั้งพรรคการเมืองใหม่จะยากหรือง่ายกว่าเดิมอยู่ที่การสร้างเครือข่าย ถ้าทำได้ก็สามารถจะดำเนินกิจการต่อไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 โดยมีแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเจตนารมณ์จะเข้าร่วมว่า การจะก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาแล้วเป็นทางเลือกของประชาชน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคนที่ไปก่อตั้งพรรคใหม่เป็นถึงระดับผู้บริหาร และแสดงท่าทีว่า จะทำหน้าที่ในพรรคการเมืองใหม่ ก็คิดว่าควรจะทำให้เกิดความชัดเจนคือ เมื่อตัดสินใจทำงานกับพรรคการเมืองอื่น ก็ไม่ควรทำให้เกิดความสับสนกับประชาชนว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 พรรคการเมืองจะเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่มาด้วยความชัดเจนของการเป็นสถาบันการเมือง จะเติบโตหรือถดถอยก็ชัดเจน
‘คนที่เป็นเลือดประชาธิปัตย์จริงๆ ก็จะไม่ประสงค์ที่จะเห็นพรรคประชาธิปัตย์ไปเกี่ยวข้องกับระบบพรรคสาขา ที่ผ่านมามีแต่สาขาพรรคเท่านั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นความชัดเจนที่จะต้องเร่งทำ ซึ่งทั้งหมดเป็นหน้าที่ของคณะผู้บริหารที่จะต้องเร่งสร้างความชัดเจนให้เกิดขึ้น เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยมีความชัดเจน ส่วนพรรคการเมืองใดจะเป็นที่นิยมหรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิของประชาชน แต่ในฐานะที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมืองที่เรียกตังเองว่าเป็นสถาบันการเมือง ต้องช่วยกันทำตรงนี้ให้ชัด ผมพร้อมที่จะช่วยท่านหัวหน้าในการที่จะกอบกู้พรรคบนพื้นฐานของการทำความชัดเจนเรื่องความเป็นสถาบัน และใครที่คิดถึงเรื่องอื่น จะเป็นเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องอะไรก็ตาม ผมคิดว่าพรรคต้องชัดเจนและเด็ดขาด’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะลาออกไปก่อตั้งพรรคทางเลือกที่ 3 พรรคฯจะต้องมีความเด็ดขาดใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องสร้างความชัดเจน แม้จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ก็ต้องยึดระบบความเป็นสถาบันและองค์กรเป็นหลัก และโดยมารยาทแล้วตนคิดว่าใครที่คิดว่าจะไปทำงานให้พรรคการเมืองอื่น ก็ควรรีบเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำงาน เพราะพรรคในฐานะที่เป็นฝ่ายค้านก็ต้องมีหน้าที่อื่นมากกว่าเรื่องภายในพรรค เช่น เรื่องเขตการค้าเสรี การสื่อสารมวลชน หรือปัญหาภาคใต้ อย่างไรก็ตามคาดว่าข้อสรุปต่างๆจะมีความชัดเจนในการประชุมคณะผู้บริหารในวันพรุ่งนี้ (6 ก.ค. 47)
เมื่อถามว่าผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว เช่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะไปเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมืองใหม่จะทำได้หรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดเจาะจงเป็นตัวบุคคล แต่คิดว่า พรรคฯเคยมีแนวคิดหรือปฏิบัติเช่นไรก็ควรยึดแนวทางเดิม จะมีข้อยกเว้นไม่ได้ ‘ผมคิดว่าใครที่ทำงานให้พรรคการเมืองอื่น ก็ไม่ควรที่จะทำให้เกิดความคลุมเครือหรือสงสัยว่า จะเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ต่อข้อซักถามที่ว่า เมื่อมีผู้บริหารพรรคฯออกไปเช่นนี้จะต้องปรับเปลี่ยนคณะผู้บริหารพรรคใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า โดยหลักแล้วต้องทำอย่างนั้น เมื่อถามว่าถึงขั้นที่ต้องเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในพรรคฯเกี่ยวกับตัวผู้บริหารหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการประชุมคณะผู้บริหารในวันพรุ่งนี้ แต่ทั้งนี้คิดว่าพรรคฯต้องเร่งสร้างความชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองในความหมายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย เพราะขณะนี้ตนมีความรู้สึกว่า มีกระบวนการที่ทำให้เกิดความสับสน ในเรื่องความสัมพันธ์ของพรรคการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมรับระบบของการมีพรรคสาขา
เมื่อถามว่า นโยบายส่วนหนึ่งของพรรคมหาชนมีความคล้ายคลึงกับพรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า 2 คนที่ออกไปเป็นแกนนำพรรคมหาชนนั้น พรรคฯได้มอบหมายให้ คนหนึ่งเป็นผู้ทำนโยบาย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่ทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาใด ที่ถึงขั้นต้องตัดสินใจไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ดังนั้นพรรคฯต้องทบทวนไม่ให้เกิดความสับสน และต้องพิสูจน์ตัวเองในส่วนนี้ด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคฯจะต้องมีการปรับนโยบายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการพิจารณา แต่อะไรที่ผ่านผู้บริหารแล้ว พรรคฯก็ต้องยืนยันไปตามนั้น แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมก็จะต้องมีคำอธิบายให้แก่ประชาชนด้วย
ต่อข้อถามที่ว่า มีการวิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คำตอบของสังคม ส่วนหนึ่งมาจากผู้นำที่ยังไม่โดดเด่นเพียงพอ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่สังคมพูดถึงพรรคทางเลือกที่ 3 เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค จะต้องทบทวนตัวเองตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนคงไม่ได้ แต่หากทั้ง 2 พรรค ยังเป็นคำตอบให้กับสังคมไม่ได้ทางเลือกที่ 3 ก็ต้องเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่า พรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นมานั้นจะเป็นทางเลือกที่ 3 ให้กับประชานตามความเห็นของนักวิชาการหรือไม่ เมื่อถามว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำอย่างที่มีการสบประมาทกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าเป็นวิกฤตก็อยู่ที่ว่าผู้บริหารจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความชัดเจนเด็ดขาดที่เกิดขึ้น จะทำให้ ส.ส. ในพรรคฯน้อยลงกว่าเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะสรุปอย่างนั้นไม่ได้ เพราะความชัดเจนที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะทำให้ ส.ส.น้อยลง แต่ในวันข้างหน้าอาจจะทำให้ ส.ส.เพิ่มขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเป็นทางเลือกที่ชัดเจน
‘ผมคิดว่าพรรคต้องยอมรับความอึมครึม นับตั้งแต่มีกระแสข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ต้องย้อนกลับไปว่าประวัติของพรรคประชาธิปัตย์เกือบ 60 ปีทำงานการเมืองมาอย่างไร ผ่านมรสุมมาหลายลูก ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป เพราะในอดีตความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นจากผู้ที่ไม่สามารถกุมอำนาจภายในพรรคได้ จึงมีความขัดแย้ง และอยากเข้าไปกุมอำนาจในพรรคการเมืองใหม่ แต่วันนี้สิ่งที่แปลกก็คือ ผู้ที่ออกไปเป็นแกนนำพรรคการเมืองใหม่ คือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากพรรคให้ทำงานสำคัญ ตรงนี้เป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น และพรรคต้องย้อนกลับไปดูว่าที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ อยู่ได้เพราะอะไร และยึดมั่นตรงนั้นไว้ การที่ตนออกมาพูดก็ไม่ได้เป็นการไล่ใคร และที่ผ่านมาก็ไม่มีใครไล่ใคร เพราะทั้งหมดเป็นการตัดสินใจด้วยความสมัครใจ และผมขอบอกว่าผมไม่ได้เจาะจงใคร สิ่งที่พูดทั้งหมด เป็นการพูดตามหลักการที่ตรงไปตรงมาของระบบพรรคการเมือง เพราะวันนี้ประชาชนต้องการความตรงไปตรงมาทางการเมือง ส่วนเรื่องอื่นเป็นเพียงปัจจัยที่ประกอบการพิจารณา แต่หากการเมืองเริ่มต้นด้วยความไม่ตรงไปตรงมาแล้ว ผมคิดว่าประชาชนจะขาดที่พึ่ง ผมไม่มีอะไรเป็นการส่วนตัว’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า โครงสร้างของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้พรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นได้ยากนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความจริงรัฐธรรมนูญมี 2 ด้าน คือ ในเรื่องของการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองนั้นสามารถทำได้ง่าย แต่การที่จะให้พรรคดำเนินกิจกรรมได้อย่างเต็มที่จะมีเงื่อนไขอีกมาก เพราะฉะนั้นตนจึงไม่คิดว่าการตั้งพรรคการเมืองใหม่จะยากหรือง่ายกว่าเดิมอยู่ที่การสร้างเครือข่าย ถ้าทำได้ก็สามารถจะดำเนินกิจการต่อไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-