ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เผยเข้าตรวจสอบหนี้เอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีแบงก์แล้วตามคำขอของ ก.คลัง ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง การที่ ก.คลังขอให้ ธปท.เข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของ
ธนาคารเฉพาะกิจ คือ ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับ
บรรษัทตลาดรองเพื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ที่มีเหตุการณ์ผิดปกติในการปล่อยสินเชื่อจนยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตว่า ทาง ธปท.ได้เข้าไปตรวจสอบเอสเอ็มอีแบงก์ตามที่ ก.คลังขอมาหลาย
เดือนแล้ว แต่เป็นการพิจารณาในเรื่องหนี้เอ็นพีแอล ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการทุจริต อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธปท.
ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่าง ๆ ได้ (ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. ธ.ไทยพาณิชย์มั่นใจบาเซิล 2 ไม่ส่งผลให้ธนาคารต้องเพิ่มทุน แม้ต้องสำรองด้านปฏิบัติการเพิ่ม
อีก 4-5 พันล้านบาท ประธานกรรมการบริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า การดำเนิน
ธุรกิจของ ธพ.จะมีปัจจัยที่เป็นทั้งโอกาส และภัยคุกคามจากแนวโน้มการเปิดเสรีทางการเงิน แต่ที่ผ่านมานโยบาย
ของทางการได้สร้างความพร้อมให้สถาบันการเงิน ด้วยการนำแผนแม่บททางการเงินมาใช้ หรือการใช้มาตรฐาน
ใหม่ในการสำรองเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (บาเซิล 2) ที่มีการบริหารความเสี่ยงที่แตกต่างไปจากเดิม รวม
ทั้งนโยบายการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากที่จำกัดวงเงินการค้ำประกัน ทั้งนี้ ภายใต้กรอบของบาเซิล 2 ที่ไทยจะ
นำมาใช้ในปี 51 มีผลกระทบต่อ ธพ.ต้องดำรงเงินกองทุนสูงขึ้น และอาจต้องเพิ่มทุน เพื่อรองรับความเสี่ยงในด้าน
ต่าง ๆ มากขึ้น และทำให้ ธพ.ไทยต้องเสียเปรียบ ธพ.ต่างประเทศที่ใช้เกณฑ์นี้มาก่อนแล้ว แต่มีข้อดีในเรื่องการ
ยกระดับความมั่นคง และมาตรฐานการจัดการ และแยกคุณภาพสินทรัพย์อย่างชัดเจน และจัดสรรเงินกองทุนได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ ส่วน ธพ.ต้องเร่งสร้างระบบประเมินความเสี่ยง เพื่อกำหนดราคาให้คุ้มกับความเสี่ยง และฉับไวต่อ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากการประเมินภายในแล้วพบว่า ธนาคารต้องเพิ่มสำรองความเสี่ยงด้านปฏิบัติการอีก
4-5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ประมาณร้อยละ 15 ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงกว่า
ที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 8.5 และสูงกว่า ธพ.แห่งอื่น จึงเชื่อว่าเพียงพอต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. สวค.คาดว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยในปี 49 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.75-1 บาท
ประธานคณะทำงาน สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ของไทยในปี 48 จะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 และในปี 49 จะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 ตามที่ รมว.คลังคาดการณ์ไว้
สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยภายในปี 49 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.75-1 บาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้น
ตามอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางสหรัฐ ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวคาดว่าจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 3.0 จาก
ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ภายในอีก 9 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง รวมทั้งอัตรา
ดอกเบี้ยของพันธบัตรอายุ 9 ปี จะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 8.0 อย่างแน่นอน (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
4. สศค.เตรียมหารือ 3 กรมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีระยะยาว รองปลัด ก.คลังด้านรายได้
เปิดเผยว่า ขณะนี้ปลัด ก.คลังได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหัวหน้าทีม
งานพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า ตามนโยบายของ รมว.คลังที่ต้องการเห็นโครง
สร้างภาษีของไทยที่เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยจะเชิญ 3 กรมที่จัดเก็บภาษี
คือ กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต มารับทราบและหารือถึงผลการศึกษาเบื้องต้นที่ สศค.ได้ศึกษา
ไว้ภายในสัปดาห์นี้ (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
5. สมาคมค้าทองคำคาดว่าราคาทองคำในไทยจะปรับขึ้นสูงกว่าบาทละ 10,000 บาท นายกสมาคม
ค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในขณะนี้ว่า ทองคำปรับราคาขึ้นอย่างปิดปกติในตลาดต่างประเทศ โดย
ปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.เป็นต้นมา จนกระทั่งเกือบจะถึง 500 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์แล้ว แสดงให้เห็นว่าเก็ง
กำไรกันมาก อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำปรับทะลุ 500 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์ อาจต้องประเมินสถานการณ์
ใหม่ โดยคาดว่าอาจถึง 520-525 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์ภายใน 3 เดือน ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น จะทำให้ราคา
ทองคำในประเทศไทยปรับขึ้นไปสูงกว่าบาทละ 10,000 บาทอย่างแน่นอน (โลกวันนี้, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF จะพิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของจีนที่สรอ.ร้องเรียน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่
28 พ.ย. 48 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่าจะพิจารณาวิธีการที่จะรวมคำร้องของสรอ. เพื่อ
ความพยายามที่จะส่งเสริมค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นสรอ.ได้เรียกร้องให้กรรมการอำนวย
การของ IMF เร่งหาแนวทางให้จีน และประเทศอาเซียนอื่นๆ ในการดำเนินการเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความ
ยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตามในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา IMF ได้กดดันให้จีนปล่อยค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหว
มากขึ้นตามทิศทางตลาด หลังจากที่มีการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่ง
ก่อนหน้านั้นจีนได้รับแรงกดดันจากนักกฎหมายและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของสรอ. ในเรื่องค่าเงินหยวนที่ไม่
สะท้อนค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตามจีนจะยังไม่ปล่อยให้ค่าเงินหยวนลอยตัวอย่างแท้จริงในขณะนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะ
เศรษฐกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ และระดับของการปฎิรูปอื่นๆ จึงยังไม่ได้
กำหนดเวลาในการ ปฎิรูปค่าเงินหยวนดังกล่าว ทั้งนี้ปัจจุบันจีนได้ติดตามดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอย่างใกล้
ชิด (รอยเตอร์)
2. คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. เดือน พ.ย. จะปรับตัวดีขึ้น รายงานจากกรุง
นิวยอร์ค ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 28 พ.ย.48 Conference Board และสำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผล
สำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน พ.ย.48 จะอยู่ที่
ระดับ 90.0 เทียบกับระดับ 85.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นการปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน หลัง
จากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคน แคทรีนา และริต้า พัดถล่มเมืองแถบชายฝั่งของ สรอ. เมื่อเดือน ก.ย.ที่
ผ่านมาทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันมีกำลังการผลิตลดลง โดยมีปัจจัยบวก
จากราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และความเสียหายจากพายุเฮอริเคนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
มากนัก รวมทั้งตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทัศนคติในทางบวกมากขึ้น ทั้งนี้ ผลสำรวจ
ความเชื่อมั่นฯ ถูกใช้เป็นตัวแทนของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในการคำนวณดัชนี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3
ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ สรอ.(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 29 พ.ย.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อน
เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ร้อยละ 1.3 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อ
เดือนในเดือน ก.ย.48 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยดู
จากตัวเลขที่ผู้ผลิตมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตร้อยละ 4.6 ในเดือน พ.ย.48 และร้อยละ 0.6 ในเดือน ธ.
ค.48 นอกจากนี้ตัวเลขล่าสุดยังแสดงว่ายอดส่งออกไปยังจีนในเดือน ต.ค.48 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ใน
ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นจากรายได้และการจ้างงานที่ดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานในเดือน ก.ย.48
อยู่ที่ร้อยละ 4.2 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี และมีอัตราส่วนตำแหน่งงานต่อจำนวนผู้สมัครในเดือน ต.ค.48 อยู่ที่ 0.98
ซึ่งมีความหมายว่ามีงาน 98 ตำแหน่งสำหรับผู้สมัคร 100 คน ในขณะที่การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีรายได้จาก
เงินเดือนหรือค่าจ้างในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.3 ต่อปี โดยการใช้
จ่ายของผู้บริโภคและการใช้จ่ายลงทุนของภาคเอกชนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นตัวหลักในการผลักดันเศรษฐกิจแทน
การส่งออก และช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตร้อยละ 1.7 ต่อปีในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ในเดือน ต.ค.48 รายงานจากโซลเมื่อ
29 พ.ย.48 The National Statistical Office เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงาน(หลังปรับฤดูกาล)ของเกาหลี
ใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ใน
เดือนก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8
ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 และสูง
กว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ทั้งนี้ การที่ผลผลิตโรงงานปรับตัวดีขึ้นมี
สาเหตุจากการฟื้นตัวของการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนความแข็งแกร่งของภาวะเศรษฐกิจเกาหลีใต้ นอกจากนี้
ดัชนีชี้วัดยอดขายสินค้าสำหรับผู้บริโภค (The consumer goods sales index) ในเดือน ต.ค.48 ก็ปรับตัว
เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 พ.ย. 48 28 พ.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.259 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0516/41.3581 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80938 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 666.69/ 7.47 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,650/9,750 9,550/9,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.85 50.25 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ย. 48 25.24*/22.69** 25.24*/22.69** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เผยเข้าตรวจสอบหนี้เอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีแบงก์แล้วตามคำขอของ ก.คลัง ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง การที่ ก.คลังขอให้ ธปท.เข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของ
ธนาคารเฉพาะกิจ คือ ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับ
บรรษัทตลาดรองเพื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ที่มีเหตุการณ์ผิดปกติในการปล่อยสินเชื่อจนยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตว่า ทาง ธปท.ได้เข้าไปตรวจสอบเอสเอ็มอีแบงก์ตามที่ ก.คลังขอมาหลาย
เดือนแล้ว แต่เป็นการพิจารณาในเรื่องหนี้เอ็นพีแอล ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการทุจริต อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธปท.
ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่าง ๆ ได้ (ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. ธ.ไทยพาณิชย์มั่นใจบาเซิล 2 ไม่ส่งผลให้ธนาคารต้องเพิ่มทุน แม้ต้องสำรองด้านปฏิบัติการเพิ่ม
อีก 4-5 พันล้านบาท ประธานกรรมการบริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า การดำเนิน
ธุรกิจของ ธพ.จะมีปัจจัยที่เป็นทั้งโอกาส และภัยคุกคามจากแนวโน้มการเปิดเสรีทางการเงิน แต่ที่ผ่านมานโยบาย
ของทางการได้สร้างความพร้อมให้สถาบันการเงิน ด้วยการนำแผนแม่บททางการเงินมาใช้ หรือการใช้มาตรฐาน
ใหม่ในการสำรองเงินกองทุนของสถาบันการเงิน (บาเซิล 2) ที่มีการบริหารความเสี่ยงที่แตกต่างไปจากเดิม รวม
ทั้งนโยบายการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากที่จำกัดวงเงินการค้ำประกัน ทั้งนี้ ภายใต้กรอบของบาเซิล 2 ที่ไทยจะ
นำมาใช้ในปี 51 มีผลกระทบต่อ ธพ.ต้องดำรงเงินกองทุนสูงขึ้น และอาจต้องเพิ่มทุน เพื่อรองรับความเสี่ยงในด้าน
ต่าง ๆ มากขึ้น และทำให้ ธพ.ไทยต้องเสียเปรียบ ธพ.ต่างประเทศที่ใช้เกณฑ์นี้มาก่อนแล้ว แต่มีข้อดีในเรื่องการ
ยกระดับความมั่นคง และมาตรฐานการจัดการ และแยกคุณภาพสินทรัพย์อย่างชัดเจน และจัดสรรเงินกองทุนได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ ส่วน ธพ.ต้องเร่งสร้างระบบประเมินความเสี่ยง เพื่อกำหนดราคาให้คุ้มกับความเสี่ยง และฉับไวต่อ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากการประเมินภายในแล้วพบว่า ธนาคารต้องเพิ่มสำรองความเสี่ยงด้านปฏิบัติการอีก
4-5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ประมาณร้อยละ 15 ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงกว่า
ที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 8.5 และสูงกว่า ธพ.แห่งอื่น จึงเชื่อว่าเพียงพอต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน)
3. สวค.คาดว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยในปี 49 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.75-1 บาท
ประธานคณะทำงาน สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ของไทยในปี 48 จะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 และในปี 49 จะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 ตามที่ รมว.คลังคาดการณ์ไว้
สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของไทยภายในปี 49 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.75-1 บาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้น
ตามอัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลางสหรัฐ ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวคาดว่าจะปรับลดลงเหลือร้อยละ 3.0 จาก
ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ภายในอีก 9 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง รวมทั้งอัตรา
ดอกเบี้ยของพันธบัตรอายุ 9 ปี จะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 8.0 อย่างแน่นอน (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
4. สศค.เตรียมหารือ 3 กรมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีระยะยาว รองปลัด ก.คลังด้านรายได้
เปิดเผยว่า ขณะนี้ปลัด ก.คลังได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหัวหน้าทีม
งานพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า ตามนโยบายของ รมว.คลังที่ต้องการเห็นโครง
สร้างภาษีของไทยที่เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยจะเชิญ 3 กรมที่จัดเก็บภาษี
คือ กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต มารับทราบและหารือถึงผลการศึกษาเบื้องต้นที่ สศค.ได้ศึกษา
ไว้ภายในสัปดาห์นี้ (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
5. สมาคมค้าทองคำคาดว่าราคาทองคำในไทยจะปรับขึ้นสูงกว่าบาทละ 10,000 บาท นายกสมาคม
ค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในขณะนี้ว่า ทองคำปรับราคาขึ้นอย่างปิดปกติในตลาดต่างประเทศ โดย
ปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.เป็นต้นมา จนกระทั่งเกือบจะถึง 500 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์แล้ว แสดงให้เห็นว่าเก็ง
กำไรกันมาก อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำปรับทะลุ 500 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์ อาจต้องประเมินสถานการณ์
ใหม่ โดยคาดว่าอาจถึง 520-525 ดอลลาร์ สรอ.ต่อออนซ์ภายใน 3 เดือน ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น จะทำให้ราคา
ทองคำในประเทศไทยปรับขึ้นไปสูงกว่าบาทละ 10,000 บาทอย่างแน่นอน (โลกวันนี้, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF จะพิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของจีนที่สรอ.ร้องเรียน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่
28 พ.ย. 48 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่าจะพิจารณาวิธีการที่จะรวมคำร้องของสรอ. เพื่อ
ความพยายามที่จะส่งเสริมค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นสรอ.ได้เรียกร้องให้กรรมการอำนวย
การของ IMF เร่งหาแนวทางให้จีน และประเทศอาเซียนอื่นๆ ในการดำเนินการเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความ
ยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตามในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา IMF ได้กดดันให้จีนปล่อยค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหว
มากขึ้นตามทิศทางตลาด หลังจากที่มีการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่ง
ก่อนหน้านั้นจีนได้รับแรงกดดันจากนักกฎหมายและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของสรอ. ในเรื่องค่าเงินหยวนที่ไม่
สะท้อนค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตามจีนจะยังไม่ปล่อยให้ค่าเงินหยวนลอยตัวอย่างแท้จริงในขณะนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะ
เศรษฐกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ และระดับของการปฎิรูปอื่นๆ จึงยังไม่ได้
กำหนดเวลาในการ ปฎิรูปค่าเงินหยวนดังกล่าว ทั้งนี้ปัจจุบันจีนได้ติดตามดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอย่างใกล้
ชิด (รอยเตอร์)
2. คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. เดือน พ.ย. จะปรับตัวดีขึ้น รายงานจากกรุง
นิวยอร์ค ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 28 พ.ย.48 Conference Board และสำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผล
สำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน พ.ย.48 จะอยู่ที่
ระดับ 90.0 เทียบกับระดับ 85.0 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นการปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน หลัง
จากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคน แคทรีนา และริต้า พัดถล่มเมืองแถบชายฝั่งของ สรอ. เมื่อเดือน ก.ย.ที่
ผ่านมาทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันมีกำลังการผลิตลดลง โดยมีปัจจัยบวก
จากราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และความเสียหายจากพายุเฮอริเคนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
มากนัก รวมทั้งตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทัศนคติในทางบวกมากขึ้น ทั้งนี้ ผลสำรวจ
ความเชื่อมั่นฯ ถูกใช้เป็นตัวแทนของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในการคำนวณดัชนี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3
ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ สรอ.(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 29 พ.ย.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อน
เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ร้อยละ 1.3 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อ
เดือนในเดือน ก.ย.48 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยดู
จากตัวเลขที่ผู้ผลิตมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตร้อยละ 4.6 ในเดือน พ.ย.48 และร้อยละ 0.6 ในเดือน ธ.
ค.48 นอกจากนี้ตัวเลขล่าสุดยังแสดงว่ายอดส่งออกไปยังจีนในเดือน ต.ค.48 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ใน
ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นจากรายได้และการจ้างงานที่ดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานในเดือน ก.ย.48
อยู่ที่ร้อยละ 4.2 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี และมีอัตราส่วนตำแหน่งงานต่อจำนวนผู้สมัครในเดือน ต.ค.48 อยู่ที่ 0.98
ซึ่งมีความหมายว่ามีงาน 98 ตำแหน่งสำหรับผู้สมัคร 100 คน ในขณะที่การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีรายได้จาก
เงินเดือนหรือค่าจ้างในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วร้อยละ 1.3 ต่อปี โดยการใช้
จ่ายของผู้บริโภคและการใช้จ่ายลงทุนของภาคเอกชนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นตัวหลักในการผลักดันเศรษฐกิจแทน
การส่งออก และช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตร้อยละ 1.7 ต่อปีในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ในเดือน ต.ค.48 รายงานจากโซลเมื่อ
29 พ.ย.48 The National Statistical Office เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงาน(หลังปรับฤดูกาล)ของเกาหลี
ใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ร้อยละ 1.0 เทียบต่อเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ใน
เดือนก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8
ขณะที่เมื่อเทียบต่อปี ผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 และสูง
กว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ทั้งนี้ การที่ผลผลิตโรงงานปรับตัวดีขึ้นมี
สาเหตุจากการฟื้นตัวของการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนความแข็งแกร่งของภาวะเศรษฐกิจเกาหลีใต้ นอกจากนี้
ดัชนีชี้วัดยอดขายสินค้าสำหรับผู้บริโภค (The consumer goods sales index) ในเดือน ต.ค.48 ก็ปรับตัว
เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 29 พ.ย. 48 28 พ.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.259 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0516/41.3581 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80938 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 666.69/ 7.47 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,650/9,750 9,550/9,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.85 50.25 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ย. 48 25.24*/22.69** 25.24*/22.69** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 14 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--