ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ประเมินไทยจะเริ่มขาดดุลการค้าในปี 48 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า จากการ
ประเมินของ ธปท. คาดว่าปี 48 ไทยจะเริ่มขาดดุลการค้า ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเป็นบวกต่อไปถึงปี 49 ดังนั้น ไทยควรชะลอ
การขาดดุลออกไปให้นานที่สุด โดยรัฐควรเร่งรณรงค์ประหยัดการใช้น้ำมัน เพราะราคาน้ำมันคงไม่ลดลงกว่าระดับนี้อีกแล้ว เพื่อสร้าง
ความมั่นใจให้กับนักลงทุน ขณะที่ปัจจุบันทุนสำรองทางการมีมากถึง 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. และ ธปท. จะผลักดันให้เพิ่มขึ้นต่อไป
เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ได้อีก 4-5 ปีเป็นอย่างน้อย แม้ว่าดุลการค้าจะเริ่มขาดดุลในปีหน้า แต่ทุนสำรองฯ จะสามารถรองรับไม่ให้
เกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในปี 46 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. คาดว่าปีนี้น่าจะเกินดุล
ประมาณ 4-5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ สรอ. ไม่มีปัญหา
เงินทุนไหลออก หรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยตลาดพันธบัตรปรับขึ้น และหากพิจารณาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะเห็นกว่าการลงทุนเพิ่ม
ขึ้นเนื่องจากตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปก่อนหน้าแล้ว สำหรับการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่
21 ก.ค.นี้ จะต้องพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งนอกจากเงินทุนเคลื่อนย้ายแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นประกอบ รวมทั้งต้องพิจารณาว่าเมื่อ
เปลี่ยนแปลงนโยบายแล้วตลาดจะรับผลนั้นได้หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะพบว่ามีความแข็งแกร่ง สามารถต้าน
ทานผลกระทบจากปัจจัยลบอื่น ๆ ได้ ภาวะดังกล่าวจะทำให้เกิดการลงทุนใหม่เข้ามาในประเทศ ถ้าเป็นไปตามปัจจัยปกติคงมีการไหล
เข้าของเงินลงทุนโดยตรงมาลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงของไทยแล้ว เพราะการใช้กำลังการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 75 แต่
เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้และมีปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ ทำให้การลงทุนใหม่ชะลอออกไป อย่างไรก็ตาม เหตุที่เงินทุน
โดยตรงยังไม่ไหลเข้าไทยนั้นส่วนหนึ่งเนื่องจากประเทศในภูมิภาค เช่น จีน และเวียดนาม เริ่มปรับตัวเร่งดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ
แข่งกับไทย แต่คาดว่าการไหลเข้าของเงินทุนจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปี 48 (โพสต์ทูเดย์)
2. ธ.พาณิชย์อาจต้องเพิ่มทุนอีกครั้งในปีหน้าเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ นายวิโรจน์ นวลแข กก.ผจก. ธ.กรุงไทย
เปิดเผยว่า ธ.พาณิชย์ในระบบอาจต้องเพิ่มทุนอีกครั้งในปีหน้า เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาวะ
เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยที่กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 75% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าที่มี
กำลังการผลิตเกือบเต็ม 100% ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะมีอีก 500,000 | 600,000 ล้านบาทในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำให้ธนาคาร
ต้องพิจารณาเพิ่มทุน ซึ่งแนวโน้มการเพิ่มทุนของธุรกิจเอกชนจะชัดเจนหลังเดือน ก.ย.นี้ เพราะจะเริ่มเห็นความชัดเจนทางการเมือง
ว่าใครจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล โดยเชื่อว่าหากการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 5-6 ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม แต่หากปีต่อไป
เศรษฐกิจโตเกินร้อยละ 8 อาจกดดันให้ธนาคารต้องเพิ่มทุนตามได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มเพื่อให้กู้ต่อลูกค้าระดับกลางและระดับย่อยเป็นหลัก
ส่วนแนวโน้มปีหน้าเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านพลังงานและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มต้องมีการลงทุน
ใหม่เพิ่ม สำหรับบริษัทขนาดใหญ่นั้นมีตลาดทุนรองรับและได้ต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าและระยะยาวกว่า 5 ปี ซึ่งหากเกินกว่านั้นธนาคาร
ไม่สามารถให้ได้เนื่องจากไม่คุ้ม (โลกวันนี้)
3. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ลงทุน นางภัทรียา เบญจพลชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดตั้งกองทุนเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน (Investor
Protection Fund : IPF) เพื่อเป็นหลักประกันทรัพย์สินของผู้ลงทุนที่ฝากไว้ในความดูแลของบริษัทหลักทรัพย์ โดยจะจัดสรรเงินทุน
แรกเริ่มในการจัดตั้งจำนวน 300 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ บล. ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเป็นรายเดือน
ตามมูลค่าการซื้อหลักทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเพื่อเป็นการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในด้าน
ความมั่นคงให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดให้ บล. ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุกรายเข้าเป็นสมาชิก
ของกองทุน เนื่องจากแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเพื่อให้ความคุ้มครองนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น กองทุนจะชดเชยทรัพย์สินให้แก่ผู้
ลงทุนที่ไม่ได้รับคืนทรัพย์สินตามสิทธิที่มีอยู่กับ บล. หากผู้ลงทุนของ บล.ใดต้องได้รับเงินชดเชยความเสียหายเมื่อชนะข้อพิพาททางแพ่ง
ที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดแต่ บล.นั้นหน่วงเหนี่ยวการชำระเงินชดเชยดังกล่าว รวมทั้งในกรณีที่ บล.ใดมีปัญหาถึงขั้นล้มละลาย โดย
บล.ที่เป็นสมาชิกของกองทุนจะได้รับสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายของกองทุนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของตนมากขึ้น สำหรับแนวทาง
การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ลงทุนนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดตั้งรูปของกองทุนโดยอยู่ในรูปนิติบุคคลตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือจัดตั้ง
เป็นบริษัทจำกัดที่มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก จำนวน 300 ล้านบาท (โลกวันนี้)
4. กรมสรรพากรมั่นใจปีนี้เก็บภาษีได้ 7.5 แสนล้านบาท นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงการจัดเก็บ
รายได้เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 49,525 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 6,267
ล้านบาท เนื่องจากช่วงเดือน มิ.ย.ปีที่แล้วมีการเก็บภาษีปิโตรเลียมเหลื่อมเดือนเข้ามาสูงมาก แต่หากดึงภาษีดังกล่าวออกไปแล้วจะ
ทำให้ยอดภาษีเดือน มิ.ย.ปีนี้สูงกว่าปีก่อนถึง 8,400 ล้านบาท นอกจากนี้ รายได้ของกรมสรรพากรยังมียอดสูงกว่าประมาณการ 8,732
ล้านบาท หรือร้อยละ 21.41 ส่วนการจัดเก็บรายได้ช่วง 9 เดือนแรกของปี งปม. 47 (ต.ค.46-มิ.ย.47) มีจำนวนทั้งสิ้น
547,608 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 38,364 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.53 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี งปม.46 จำนวน
101,234 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.68 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีขยายตัวทุกประเภท ซึ่งจากการพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากพื้นที่ต่าง
ๆ ทั่วประเทศ มีการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ในสัดส่วนใกล้เคียงกันโดยขยายตัวประมาณร้อยละ 22.5 นับเป็นการขยายตัว
ที่กระจายออกไปอย่างทั่วถึงในทุกส่วนของภาคธุรกิจและทุกพื้นที่ ดังนั้น ระยะเวลาการจัดเก็บภาษีที่เหลืออีก 3 เดือนนั้น มั่นใจว่าจะ
เก็บภาษีได้ประมาณ 750,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 694,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการขยายตัวของการเก็บภาษีในสัดส่วน
สูงที่สุดเท่าที่มีการเก็บภาษี ทั้งนี้ เมื่อดูพื้นฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจแล้ว ในทุกภาคมีการเติบโตอย่างยั่งยืนทำให้ในปี งปม.48
กรมสรรพากรน่าจะเก็บภาษีได้ประมาณ 820,000 ล้านบาท หากไม่มีเหตุการณ์อะไรพิเศษนอกเหนือการควบคุมมากระทบต่อเศรษฐกิจ
ไทย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานของ สรอ.ลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 8 ก.ค.47
ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของผู้ว่างงานในสัปดาห์ก่อนลดลง 39,000 คนเหลือจำนวน
310,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีนับตั้งแต่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 ต.ค.43 ที่ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานมีจำนวน
302,000 คน สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์มีจำนวน 336,000 คน ลดลงจาก 346,250 คน ซึ่งต่ำกว่า
จำนวน 420,000 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วง 26 สัปดาห์แรกของปี 47 มี
จำนวน 347,000 คน ต่ำกว่า 417,000 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ การลดลงของยอดขอรับสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ว่าโอกาส
ในการหางานทำมีมากขึ้น (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 8 ก.ค.47 ก.เศรษฐกิจและแรงงานของเยอรมนีรายงานตัวเลขผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง สาธารณูปโภค
และเหมืองแร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน พ.ค.47 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงกว่าผลสำรวจของรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.4 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในเดือน เม.ย.47 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทำให้คาดกันว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2
ปีนี้จะขยายตัวสูงกว่าไตรมาสแรกซึ่งขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ
ของเยอรมนีส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 1.8 ในปีนี้ จากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะสินค้าประเภททุน (capital goods) ซึ่งทำให้ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในเดือน พ.ค.47 จากเดือนก่อน
ในขณะที่ผลผลิตสินค้าสำหรับผู้บริโภคลดลงร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา
โดยยอดค้าปลีกลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ทำให้เกรงกันว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
(รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน พ.ค.47 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน รายงานจากโตเกียวเมื่อ 8 ก.ค.47
ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักร (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ซึ่งเป็นปัจจัยชี้วัดการใช้เพื่อการลงทุนของ
ภาคเอกชน ในเดือน พ.ค.47 ลดลงร้อยละ 2.1 จากเดือนก่อน ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ
3.8 ขณะที่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ
6.8 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ยอดคำสั่งซื้อที่ลดลงเมื่อเทียบต่อเดือนยังไม่น่าวิตก เนื่องจากเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อ
เทียบกับที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.8 ในเดือน เม.ย.47 ซึ่งสะท้อนว่าการใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่
ของทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า มีสัญญาณที่ดีในขณะนี้ว่ายอดคำสั่งซื้ออาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน
ของปีก่อน (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้ปรับลดจีดีพีในครึ่งหลังปี 47 ลงอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ในขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม รายงาน
จากโซล เมื่อ 8 ก.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อของเกาหลีใต้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในครึ่ง
หลังของปี 47 โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เนื่องจาก
ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลให้ค่าขนส่งในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตาม ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางยังคงเป้าหมายระดับ
อัตราดอกเบี้ยข้ามคืนไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 3.75 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 อันสอดคล้องกับที่รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ ดังนั้น ธ.กลางจึง
ปรับลดประมาณการผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) สำหรับในงวดครึ่งหลังปี 47 (ก.ค.-ธ.ค.) ลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 จากที่ประมาณ
การไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.6 แต่ก็ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงประมาณการจีดีพีทั้งปี 47 ไว้ที่ร้อยละ
5.2 เนื่องจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในครึ่งแรกของปี 47 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 5.4 จากที่ประมาณไว้ที่
ร้อยละ 4.8 เมื่อปีก่อน นอกจากนี้ สำนักงานสถิติ ยังได้รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย.47
ลดลงอยู่ที่ระดับ 92.2 จากระดับ 94.8 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวหากอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 หมายถึงว่า ผู้บริโภคมีความคาด
หวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพในภาวะที่เลวร้ายในอีก 6 เดือนข้างหน้า (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.ค. 47 8 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.805 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5938/40.8818 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.14/19.85 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,600/7,700 7,600/7,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.99 34.25 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท. ประเมินไทยจะเริ่มขาดดุลการค้าในปี 48 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า จากการ
ประเมินของ ธปท. คาดว่าปี 48 ไทยจะเริ่มขาดดุลการค้า ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเป็นบวกต่อไปถึงปี 49 ดังนั้น ไทยควรชะลอ
การขาดดุลออกไปให้นานที่สุด โดยรัฐควรเร่งรณรงค์ประหยัดการใช้น้ำมัน เพราะราคาน้ำมันคงไม่ลดลงกว่าระดับนี้อีกแล้ว เพื่อสร้าง
ความมั่นใจให้กับนักลงทุน ขณะที่ปัจจุบันทุนสำรองทางการมีมากถึง 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. และ ธปท. จะผลักดันให้เพิ่มขึ้นต่อไป
เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ได้อีก 4-5 ปีเป็นอย่างน้อย แม้ว่าดุลการค้าจะเริ่มขาดดุลในปีหน้า แต่ทุนสำรองฯ จะสามารถรองรับไม่ให้
เกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในปี 46 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. คาดว่าปีนี้น่าจะเกินดุล
ประมาณ 4-5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ สรอ. ไม่มีปัญหา
เงินทุนไหลออก หรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยตลาดพันธบัตรปรับขึ้น และหากพิจารณาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะเห็นกว่าการลงทุนเพิ่ม
ขึ้นเนื่องจากตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปก่อนหน้าแล้ว สำหรับการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่
21 ก.ค.นี้ จะต้องพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งนอกจากเงินทุนเคลื่อนย้ายแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นประกอบ รวมทั้งต้องพิจารณาว่าเมื่อ
เปลี่ยนแปลงนโยบายแล้วตลาดจะรับผลนั้นได้หรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะพบว่ามีความแข็งแกร่ง สามารถต้าน
ทานผลกระทบจากปัจจัยลบอื่น ๆ ได้ ภาวะดังกล่าวจะทำให้เกิดการลงทุนใหม่เข้ามาในประเทศ ถ้าเป็นไปตามปัจจัยปกติคงมีการไหล
เข้าของเงินลงทุนโดยตรงมาลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงของไทยแล้ว เพราะการใช้กำลังการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 75 แต่
เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้และมีปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ ทำให้การลงทุนใหม่ชะลอออกไป อย่างไรก็ตาม เหตุที่เงินทุน
โดยตรงยังไม่ไหลเข้าไทยนั้นส่วนหนึ่งเนื่องจากประเทศในภูมิภาค เช่น จีน และเวียดนาม เริ่มปรับตัวเร่งดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ
แข่งกับไทย แต่คาดว่าการไหลเข้าของเงินทุนจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปี 48 (โพสต์ทูเดย์)
2. ธ.พาณิชย์อาจต้องเพิ่มทุนอีกครั้งในปีหน้าเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ นายวิโรจน์ นวลแข กก.ผจก. ธ.กรุงไทย
เปิดเผยว่า ธ.พาณิชย์ในระบบอาจต้องเพิ่มทุนอีกครั้งในปีหน้า เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาวะ
เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยที่กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 75% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าที่มี
กำลังการผลิตเกือบเต็ม 100% ขณะที่การลงทุนภาครัฐจะมีอีก 500,000 | 600,000 ล้านบาทในอีก 2 ปีข้างหน้า ทำให้ธนาคาร
ต้องพิจารณาเพิ่มทุน ซึ่งแนวโน้มการเพิ่มทุนของธุรกิจเอกชนจะชัดเจนหลังเดือน ก.ย.นี้ เพราะจะเริ่มเห็นความชัดเจนทางการเมือง
ว่าใครจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล โดยเชื่อว่าหากการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 5-6 ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม แต่หากปีต่อไป
เศรษฐกิจโตเกินร้อยละ 8 อาจกดดันให้ธนาคารต้องเพิ่มทุนตามได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มเพื่อให้กู้ต่อลูกค้าระดับกลางและระดับย่อยเป็นหลัก
ส่วนแนวโน้มปีหน้าเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านพลังงานและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มต้องมีการลงทุน
ใหม่เพิ่ม สำหรับบริษัทขนาดใหญ่นั้นมีตลาดทุนรองรับและได้ต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าและระยะยาวกว่า 5 ปี ซึ่งหากเกินกว่านั้นธนาคาร
ไม่สามารถให้ได้เนื่องจากไม่คุ้ม (โลกวันนี้)
3. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ลงทุน นางภัทรียา เบญจพลชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดตั้งกองทุนเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน (Investor
Protection Fund : IPF) เพื่อเป็นหลักประกันทรัพย์สินของผู้ลงทุนที่ฝากไว้ในความดูแลของบริษัทหลักทรัพย์ โดยจะจัดสรรเงินทุน
แรกเริ่มในการจัดตั้งจำนวน 300 ล้านบาท พร้อมเปิดให้ บล. ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเป็นรายเดือน
ตามมูลค่าการซื้อหลักทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเพื่อเป็นการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในด้าน
ความมั่นคงให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดให้ บล. ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุกรายเข้าเป็นสมาชิก
ของกองทุน เนื่องจากแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเพื่อให้ความคุ้มครองนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น กองทุนจะชดเชยทรัพย์สินให้แก่ผู้
ลงทุนที่ไม่ได้รับคืนทรัพย์สินตามสิทธิที่มีอยู่กับ บล. หากผู้ลงทุนของ บล.ใดต้องได้รับเงินชดเชยความเสียหายเมื่อชนะข้อพิพาททางแพ่ง
ที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดแต่ บล.นั้นหน่วงเหนี่ยวการชำระเงินชดเชยดังกล่าว รวมทั้งในกรณีที่ บล.ใดมีปัญหาถึงขั้นล้มละลาย โดย
บล.ที่เป็นสมาชิกของกองทุนจะได้รับสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายของกองทุนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของตนมากขึ้น สำหรับแนวทาง
การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ลงทุนนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดตั้งรูปของกองทุนโดยอยู่ในรูปนิติบุคคลตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือจัดตั้ง
เป็นบริษัทจำกัดที่มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก จำนวน 300 ล้านบาท (โลกวันนี้)
4. กรมสรรพากรมั่นใจปีนี้เก็บภาษีได้ 7.5 แสนล้านบาท นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงการจัดเก็บ
รายได้เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 49,525 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 6,267
ล้านบาท เนื่องจากช่วงเดือน มิ.ย.ปีที่แล้วมีการเก็บภาษีปิโตรเลียมเหลื่อมเดือนเข้ามาสูงมาก แต่หากดึงภาษีดังกล่าวออกไปแล้วจะ
ทำให้ยอดภาษีเดือน มิ.ย.ปีนี้สูงกว่าปีก่อนถึง 8,400 ล้านบาท นอกจากนี้ รายได้ของกรมสรรพากรยังมียอดสูงกว่าประมาณการ 8,732
ล้านบาท หรือร้อยละ 21.41 ส่วนการจัดเก็บรายได้ช่วง 9 เดือนแรกของปี งปม. 47 (ต.ค.46-มิ.ย.47) มีจำนวนทั้งสิ้น
547,608 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 38,364 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.53 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี งปม.46 จำนวน
101,234 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.68 เนื่องจากการจัดเก็บภาษีขยายตัวทุกประเภท ซึ่งจากการพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากพื้นที่ต่าง
ๆ ทั่วประเทศ มีการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ในสัดส่วนใกล้เคียงกันโดยขยายตัวประมาณร้อยละ 22.5 นับเป็นการขยายตัว
ที่กระจายออกไปอย่างทั่วถึงในทุกส่วนของภาคธุรกิจและทุกพื้นที่ ดังนั้น ระยะเวลาการจัดเก็บภาษีที่เหลืออีก 3 เดือนนั้น มั่นใจว่าจะ
เก็บภาษีได้ประมาณ 750,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 694,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการขยายตัวของการเก็บภาษีในสัดส่วน
สูงที่สุดเท่าที่มีการเก็บภาษี ทั้งนี้ เมื่อดูพื้นฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจแล้ว ในทุกภาคมีการเติบโตอย่างยั่งยืนทำให้ในปี งปม.48
กรมสรรพากรน่าจะเก็บภาษีได้ประมาณ 820,000 ล้านบาท หากไม่มีเหตุการณ์อะไรพิเศษนอกเหนือการควบคุมมากระทบต่อเศรษฐกิจ
ไทย (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานของ สรอ.ลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 8 ก.ค.47
ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของผู้ว่างงานในสัปดาห์ก่อนลดลง 39,000 คนเหลือจำนวน
310,000 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีนับตั้งแต่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 ต.ค.43 ที่ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานมีจำนวน
302,000 คน สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์มีจำนวน 336,000 คน ลดลงจาก 346,250 คน ซึ่งต่ำกว่า
จำนวน 420,000 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วง 26 สัปดาห์แรกของปี 47 มี
จำนวน 347,000 คน ต่ำกว่า 417,000 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ การลดลงของยอดขอรับสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ว่าโอกาส
ในการหางานทำมีมากขึ้น (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน พ.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 8 ก.ค.47 ก.เศรษฐกิจและแรงงานของเยอรมนีรายงานตัวเลขผลผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง สาธารณูปโภค
และเหมืองแร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 ในเดือน พ.ค.47 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงกว่าผลสำรวจของรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.4 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในเดือน เม.ย.47 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทำให้คาดกันว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2
ปีนี้จะขยายตัวสูงกว่าไตรมาสแรกซึ่งขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ถึงร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ
ของเยอรมนีส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวร้อยละ 1.8 ในปีนี้ จากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะสินค้าประเภททุน (capital goods) ซึ่งทำให้ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในเดือน พ.ค.47 จากเดือนก่อน
ในขณะที่ผลผลิตสินค้าสำหรับผู้บริโภคลดลงร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา
โดยยอดค้าปลีกลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ทำให้เกรงกันว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
(รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือน พ.ค.47 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน รายงานจากโตเกียวเมื่อ 8 ก.ค.47
ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักร (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ซึ่งเป็นปัจจัยชี้วัดการใช้เพื่อการลงทุนของ
ภาคเอกชน ในเดือน พ.ค.47 ลดลงร้อยละ 2.1 จากเดือนก่อน ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ
3.8 ขณะที่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ
6.8 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ยอดคำสั่งซื้อที่ลดลงเมื่อเทียบต่อเดือนยังไม่น่าวิตก เนื่องจากเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อ
เทียบกับที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.8 ในเดือน เม.ย.47 ซึ่งสะท้อนว่าการใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่
ของทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า มีสัญญาณที่ดีในขณะนี้ว่ายอดคำสั่งซื้ออาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน
ของปีก่อน (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้ปรับลดจีดีพีในครึ่งหลังปี 47 ลงอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ในขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม รายงาน
จากโซล เมื่อ 8 ก.ค.47 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อของเกาหลีใต้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในครึ่ง
หลังของปี 47 โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เนื่องจาก
ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลให้ค่าขนส่งในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตาม ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางยังคงเป้าหมายระดับ
อัตราดอกเบี้ยข้ามคืนไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 3.75 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 อันสอดคล้องกับที่รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ ดังนั้น ธ.กลางจึง
ปรับลดประมาณการผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) สำหรับในงวดครึ่งหลังปี 47 (ก.ค.-ธ.ค.) ลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.0 จากที่ประมาณ
การไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.6 แต่ก็ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงประมาณการจีดีพีทั้งปี 47 ไว้ที่ร้อยละ
5.2 เนื่องจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในครึ่งแรกของปี 47 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 5.4 จากที่ประมาณไว้ที่
ร้อยละ 4.8 เมื่อปีก่อน นอกจากนี้ สำนักงานสถิติ ยังได้รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย.47
ลดลงอยู่ที่ระดับ 92.2 จากระดับ 94.8 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวหากอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 หมายถึงว่า ผู้บริโภคมีความคาด
หวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพในภาวะที่เลวร้ายในอีก 6 เดือนข้างหน้า (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.ค. 47 8 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.805 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5938/40.8818 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.14/19.85 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,600/7,700 7,600/7,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.99 34.25 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-