เมื่อเวลา 15.00น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เซ็นต์ชื่ออนุมัติโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงจำนวน 312 คันมูลค่าถึง 8,000 ล้าน ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงทพมหานคร โดยนายยุทธพงษ์เล่าว่า มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาพบตนและนำกระดาษทิชชู่มาให้ และบอกว่าให้ตนนำกระดาษทิชชู่ไปให้นายสมัครเช็ดปาก เนื่องมาจากการให้สัมภาษณ์ว่ารถดับเพลิงที่จะซื้อเป็นรถที่ดีใช้ระบบไฟฟ้ามาจากเมืองนอก และบอกว่าที่ใช้ในปัจจุบันเสียใช้การไม่ได้ ดังนั้นตนขอท้าให้นายสมัครมาออกทีวีพร้อมกับตน จะได้จับโกหกได้ว่าใครพูดความจริงเรื่องการทุจริตงบประมาณจำนวนนี้ เพราะเงินที่ใช้ซื้อรถดับเพลิงเป็นงบประมาณของแผ่นดินซึ่งเป็นภาษีของประชาชน
‘ถ้าท่านผู้ว่าฯสมัครคิดว่าเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิง 8,000 ล้านโปร่งใส ผมขอถามว่า ทำไมไม่เปิดประมูล ซึ่งรถที่นำมาใช้เป็นรถดับเพลิง เป็นเพียงรถแคชซีเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์ฉีดน้ำปั้มน้ำต่างๆ ก็สามารถทำได้เหมือนกัน แล้วให้บริษัทที่ประมูลได้ประกันยาวๆ ผมจบวิศวะมา ผมจึงเข้าใจเรื่องรถดับเพลิงดี ผมขอถามว่าอย่างยี่ห้อสไตเออร์ที่กำลังจะซื้อกัน 312 คัน 8,000 ล้าน ของประเทศออสเตรียดีอย่างไร วิเศษวิโสอย่างไร ถ้าบอกจะเอารถยุโรป ทำไมไม่เอาเบนซ์ วอลโว่ หรือสแกนเวีย ทำได้เหมือนกัน แล้วผมก็ไปหาโชว์รูมรถยี่ห้อสไตเออร์ในประเทศไทย หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แล้วถามว่าเมื่อรถเสียจะเอาอะไหล่ที่ไหนมาซ่อม แล้วผมก็อยากถามท่านผู้ว่าฯว่า เหตุใดจึงได้รีบร้อนอนุมัติโครงการ ทั้งที่ตัวเองก็จะหมดวาระแล้ว เหตุใดจึงไม่รอให้ผู้ว่าฯคนใหม่ตัดสินใจ’นายยุทธพงษ์กล่าว
นายยุทธพงษ์กล่าวว่า ตนมีเอกสารที่เป็นข้อพิรุธของการจัดซื้อรถดับเพลิงของโครงการดังกล่าวในเรื่องของราคาที่จะจัดซื้อทั้งหมด 20 รายการ โดยเมื่อเปรียบเทียบสเปครถดับเพลิง ที่มีคุณภาพอย่างเดียวกัน หากซื้อในประเทศไทย ราคาจะอยู่ประมาณ 4,721 ล้านบาท แต่หากนำเข้าจากต่างประเทศจะมีมูลค่าถึง 8,000 ล้านบาท จะเห็นผลต่างถึง 3,200 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดโครงการใหญ่แบบนี้จึงไม่จัดให้มีการประกวดราคาเพื่อให้บริษัทต่างๆเข้ามาประมูล เหตุใดจึงเจาะจงให้นำเข้าจากต่างประเทศ
‘ในเอกสารที่เคยเข้าที่ประชุมครม.และนายกฯได้สั่งให้นำมาพิจารณาใหม่ ระบุว่าเป็นการสั่งซื้อในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือ G to G ผมไปหาเอกสารว่ารัฐต่อรัฐก็ต้องแปลว่ารัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ปรากฎว่าการจัดซื้อครั้งนี้ บริษัที่เสนอเข้ามาไม่ใช่รัฐบาลออสเตรีย แต่เป็นบริษัท สไตเออร์เด็มเลอร์ พุท เอจี แอนด์ โคเคจี ประเทศออสเตรีย เสนอมาเมื่อวันที่ 28 พ.ค.46 ถึงรมว.มหาดไทย คือนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวจะเป็น G to G ได้อย่างไร และในการขออนุมัติครม.ยังมีเงื่อนไขอีกว่าเป็นลักษณะ counter trade คือต้องเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย แต่ปรากฎว่าในรายละเอียดที่เสนอเข้าครม.มันเป็นเงินที่กทม.ต้องจ่าย 30% จำนวน 2,354 ล้านบาท รัฐบาลอุดหนุน 70% จำนวน 5,493 ล้านบาท งบประมาณตั้งแต่ปี 2549-2553 รวม 2 ยอดประมาณ 8,000 ล้าน ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ counter trade แล้ว มันเป็น money trade แล้ว เพราะว่าเราจ่ายเงินอย่างเดียว ไม่ได้ขายของอะไรให้ออสเตรียเลย ข้อพิรุธอีกคือ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพิ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ส.ค.46 และรับโอนภารกิจเมื่อวันที่ 1 พ.ย.46 ผมขอถามว่าบริษัทขายรถดับเพลิงดังกล่าวจะรู้ได้อย่างไรว่ากทม.ต้องการซื้อรถดับเพลิงในลอตนี้จำนวนนี้ เพราะบริษัทดังกล่าวมีหนังสือมาถึงรมว.มหาดไทยเมื่อวันที่ 28 พ.ค.46 ตั้งแต่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นเลย’ นายยุทธพงษ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-
‘ถ้าท่านผู้ว่าฯสมัครคิดว่าเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิง 8,000 ล้านโปร่งใส ผมขอถามว่า ทำไมไม่เปิดประมูล ซึ่งรถที่นำมาใช้เป็นรถดับเพลิง เป็นเพียงรถแคชซีเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์ฉีดน้ำปั้มน้ำต่างๆ ก็สามารถทำได้เหมือนกัน แล้วให้บริษัทที่ประมูลได้ประกันยาวๆ ผมจบวิศวะมา ผมจึงเข้าใจเรื่องรถดับเพลิงดี ผมขอถามว่าอย่างยี่ห้อสไตเออร์ที่กำลังจะซื้อกัน 312 คัน 8,000 ล้าน ของประเทศออสเตรียดีอย่างไร วิเศษวิโสอย่างไร ถ้าบอกจะเอารถยุโรป ทำไมไม่เอาเบนซ์ วอลโว่ หรือสแกนเวีย ทำได้เหมือนกัน แล้วผมก็ไปหาโชว์รูมรถยี่ห้อสไตเออร์ในประเทศไทย หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แล้วถามว่าเมื่อรถเสียจะเอาอะไหล่ที่ไหนมาซ่อม แล้วผมก็อยากถามท่านผู้ว่าฯว่า เหตุใดจึงได้รีบร้อนอนุมัติโครงการ ทั้งที่ตัวเองก็จะหมดวาระแล้ว เหตุใดจึงไม่รอให้ผู้ว่าฯคนใหม่ตัดสินใจ’นายยุทธพงษ์กล่าว
นายยุทธพงษ์กล่าวว่า ตนมีเอกสารที่เป็นข้อพิรุธของการจัดซื้อรถดับเพลิงของโครงการดังกล่าวในเรื่องของราคาที่จะจัดซื้อทั้งหมด 20 รายการ โดยเมื่อเปรียบเทียบสเปครถดับเพลิง ที่มีคุณภาพอย่างเดียวกัน หากซื้อในประเทศไทย ราคาจะอยู่ประมาณ 4,721 ล้านบาท แต่หากนำเข้าจากต่างประเทศจะมีมูลค่าถึง 8,000 ล้านบาท จะเห็นผลต่างถึง 3,200 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดโครงการใหญ่แบบนี้จึงไม่จัดให้มีการประกวดราคาเพื่อให้บริษัทต่างๆเข้ามาประมูล เหตุใดจึงเจาะจงให้นำเข้าจากต่างประเทศ
‘ในเอกสารที่เคยเข้าที่ประชุมครม.และนายกฯได้สั่งให้นำมาพิจารณาใหม่ ระบุว่าเป็นการสั่งซื้อในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือ G to G ผมไปหาเอกสารว่ารัฐต่อรัฐก็ต้องแปลว่ารัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ปรากฎว่าการจัดซื้อครั้งนี้ บริษัที่เสนอเข้ามาไม่ใช่รัฐบาลออสเตรีย แต่เป็นบริษัท สไตเออร์เด็มเลอร์ พุท เอจี แอนด์ โคเคจี ประเทศออสเตรีย เสนอมาเมื่อวันที่ 28 พ.ค.46 ถึงรมว.มหาดไทย คือนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวจะเป็น G to G ได้อย่างไร และในการขออนุมัติครม.ยังมีเงื่อนไขอีกว่าเป็นลักษณะ counter trade คือต้องเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย แต่ปรากฎว่าในรายละเอียดที่เสนอเข้าครม.มันเป็นเงินที่กทม.ต้องจ่าย 30% จำนวน 2,354 ล้านบาท รัฐบาลอุดหนุน 70% จำนวน 5,493 ล้านบาท งบประมาณตั้งแต่ปี 2549-2553 รวม 2 ยอดประมาณ 8,000 ล้าน ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ counter trade แล้ว มันเป็น money trade แล้ว เพราะว่าเราจ่ายเงินอย่างเดียว ไม่ได้ขายของอะไรให้ออสเตรียเลย ข้อพิรุธอีกคือ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพิ่งจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ส.ค.46 และรับโอนภารกิจเมื่อวันที่ 1 พ.ย.46 ผมขอถามว่าบริษัทขายรถดับเพลิงดังกล่าวจะรู้ได้อย่างไรว่ากทม.ต้องการซื้อรถดับเพลิงในลอตนี้จำนวนนี้ เพราะบริษัทดังกล่าวมีหนังสือมาถึงรมว.มหาดไทยเมื่อวันที่ 28 พ.ค.46 ตั้งแต่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นเลย’ นายยุทธพงษ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ค. 2547--จบ--
-ดท-